การต่างประเทศสมัยรัชกาลที่ ๔ (พ.ศ. ๒๓๙๔ - ๒๔๑๑)
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๔ หลังจากที่ได้ทรงผนวชมาเป็นเวลาถึง ๒๗ ปี ตลอดเวลานั้นได้ทรงศึกษาภาษาอังกฤษ วิชาการแผนใหม่ และความเป็นไปของโลกและประเทศใกล้เคียง ทรงเห็นว่า ไทยกล้าเกินไป ที่ตอบปฏิเสธสนธิสัญญาของเซอร์ เจมส์ บรูค อังกฤษน่าจะไม่ยอมอ่อนข้อ ให้กับไทยง่ายๆ และเป็นจริงตามพระราชดำริ กล่าวคือ พ.ศ. ๒๓๙๘ อังกฤษได้ส่งเซอร์ จอห์น บาวริง (Sir John Bowring) ทูตคนที่ ๔ มายังกรุงเทพฯ ทูตผู้นี้เป็นผู้แทน ของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย จึงมีฐานะสูงกว่าทูตที่แล้วๆ มา รัฐบาลไทยได้ให้การต้อนรับเซอร์ จอห์น บาวริง อย่างสมเกียรติ ได้ตกลงทำสัญญากัน เมื่อวันที่ ๑๘ เมษายน พ.ศ. ๒๓๙๘ สัญญาฉบับนี้ ไทยเสียเปรียบอังกฤษหลายประการ เช่น การอนุญาตให้มีศาลกงสุล (หรือที่เรียกว่า สิทธิสภาพนอกอาณาเขต) และภาษีขาเข้าร้อยละ ๓ เป็นต้น อำนาจศาลกงสุลทำให้เราเสียอธิปไตยทางการศาล และสัญญานี้ ยังไม่มีข้อความบอกเลิก เป็นสัญญาที่ไม่เสมอภาค ผูกมัดเมืองไทยมาเกือบร้อยปี แต่ไทยยอมทำสัญญาฉบับนี้ ก็เพราะไทยเปลี่ยนนโยบายของประเทศ หันมา "คบฝรั่ง" และโอนอ่อนผ่อนตามข้อเรียกร้อง ที่อังกฤษเสนอ เพื่อมิให้ต้องเสียเอกราชของบ้านเมือง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นว่า ถึงเวลาที่ไทยจะต้องเปลี่ยนวิเทโศบาย เพื่อประโยชน์ ๒ ประการ คือ เพื่อความปลอดภัยของประเทศ และเพื่อปรับปรุงประเทศให้ทันสมัยแบบตะวันตก หลังจากทำสัญญากับอังกฤษแล้ว ประเทศต่างๆ ในยุโรป รวมทั้งสหรัฐอเมริกา ก็ได้ส่งผู้แทนมาเจรจา ขอทำสัญญาเช่นเดียวกันบ้าง สถานกงสุลของประเทศต่างๆ ก็ตั้งขึ้นในกรุงเทพฯ ตามสัญญา เช่น สถานกงสุลอเมริกันตั้งขึ้น เมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๙ มี สตีเฟน แมททูน (Stephen Mattoon) ที่คนไทยเรียกกันว่า "หมอมะตูน" เป็นกงสุลคนแรก สถานทูตอังกฤษก็ตั้งขึ้นในปีเดียวกัน มีนาย ซี บี ฮิลเลียร์ (C.B. Hillier) เป็นกงสุลคนแรก ต่อมาเปลี่ยนเป็น เซอร์ โรเบิร์ต ชอมเบิร์ก (Sir Robert Schomburgh) และทอมัส ยอร์จ นอกซ์ (Thomas George Knox) ตามลำดับ ในรัชกาลที่ ๔ นี้เอง ที่ไทยได้ส่งราชทูต ไปเจริญทางพระราชไมตรี ยังประเทศในยุโรป เป็นครั้งแรกในสมัยรัตนโกสินทร์ ได้ทรงแต่งตั้งพระยามนตรีสุริยวงศ์ (ชุ่ม บุนนาค) เป็นราชทูตไปลอนดอนเมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๐ และพระยาศรีพิพัฒน์ (แพ บุนนาค) เป็นทูตไปปารีส เมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๓