วิธีการเพาะเชื้อไวรัสนี้เป็นวิธีการที่ยุ่งยากมาก มีห้องปฏิบัติการชันสูตรโรคน้อยแห่งที่ทำการเพาะเชื้อโรคได้เพราะจะต้องมีอุปกรณ์ครบครันมีมาตรการในการรักษาความปลอดภัย นอกจากนั้นการเพาะเชื้อยังสิ้นเปลืองทั้งค่าใช้จ่ายและกินเวลาต้องใช้นักวิทยาศาสตร์ที่มีความรู้และประสบการณ์สูงจึงจะทำการแยกเชื้อได้ การเพาะเชื้อจะเพาะได้จากเม็ดเลือดขาว พลาสมา และอวัยวะที่ติดเชื้อ เช่น ต่อมน้ำเหลือง เป็นต้น
การเพาะเชื้อมีประโยชน์อย่างไร
๑. ประเมินว่าบุคคลที่ติดเชื้อจะสามารถแพร่โรคได้มากน้อยเพียงใด
๒. ประเมินผลการรักษาโรค
๓. นำเชื้อที่เพาะได้ไปศึกษาถึงการเปลี่ยนแปลงหรือความผันแปรในส่วนประกอบของไวรัส
๔. เพื่อวินิจฉัยการติดเชื้อ เช่น ในกรณีทารก เป็นต้น
๒.๑ การตรวจเบื้องต้น (Screening test)
ได้มีการพัฒนาการตรวจเบื้องต้นขึ้นมาหลายวิธี โดยอาศัยหลักการของการทดสอบดังต่อไปนี้ คือ
ELISA Test
Gel particle agglutination
Immunofluorescence
Immunoprecipitation
และยังมีวิธีการตรวจอื่น ๆ ที่กำลังจะนำมาใช้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะวิธีการตรวจที่ง่ายและรวดเร็ว (Rapid diagnostic test)
๒.๒ การตรวจเพื่อยืนยัน (Supplementary or Confirmetary tests)
การตรวจเบื้องต้นนั้นจะมีความไวค่อนข้างสูง แต่ความจำเพาะอาจจะไม่ถึงร้อยละ ๑๐๐ (เช่น ตรวจพบว่าให้ผลบวก แต่จริง ๆ แล้วเป็นผลบวกลวงหรือตรวจแล้วให้ผลลบ แต่อันที่จริงแล้วควรจะเป็นบวกซึ่งถือว่า ผลลบลวง) ดังนั้นจึงจำเป็นจะต้องมีวิธีการตรวจยืนยันการตรวจดังกล่าวมีหลายชนิด คือ
Western Blot method
Dot test
การตรวจหาส่วนประกอบบางส่วนของไวรัส หรือแอนติเจนหรือเอนไซม์
การตรวจหา IgM และ IgG จำเพาะ
ตรวจหา RNA หรือ cDNA โดยวิธีปฏิกิริยาลูกโซ่โพลีเมอเรส
๒.๓ การตรวจดูจำนวนเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกัน (ตรวจ T lymphocyte)
คือ ตรวจเม็ดเลือดขาวชนิด T4 หรือ CD 4+ และ T8 หรือ CD 8+
๒.๔ การตรวจทางผิวหนัง (Skin Test)
เป็นการตรวจเพื่อดูการตอบสนองของร่างกายทางด้านภูมิแพ้ ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันเสื่อมการตอบสนองจะต่ำหรือไม่มีเลยก็ได้ โดยใช้แอนติเจนต่าง ๆ เช่น แคนดิดา แอนติเจน ทอกซอยด์ป้องกันบาดทะยัก ฯลฯ