สังคมที่คนมาอยู่รวมกันเป็นหมู่ จำเป็นต้องมีกฎ มีระเบียบ ซึ่งแต่ก่อนนี้ ถือเป็นเกณฑ์ทางศีลธรรม และจารีตประเพณี ที่ปฏิบัติถ่ายทอดสืบต่อกันมา แต่เมื่อสังคมขยายใหญ่โตขึ้น จะใช้เพียงจารีตประเพณีเป็นกฎเกณฑ์ไม่เพียงพอ จำต้องมีกฎหมายลายลักษณ์อักษรเขียนไว้ให้ชัดเจน
กฎหมายสูงสุดของสังคมไทย คือ รัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายที่กำหนดสิทธิหน้าที่ของประชาชน ที่สำคัญรองลงมา คือ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ประมวลกฎหมายอาญา
ประชาชนทุกคนมีหน้าที่ต้องทำตามกฎหมาย ผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ทำให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย เดือดร้อน เขาอาจถูกฟ้องดำเนินคดีทางแพ่ง หรือทางอาญา แล้วศาลจะเป็นผู้ตัดสินพิพากษา ศาลนี้ มี ๓ ชั้น คือ ศาลชั้นต้น เป็นผู้พิจารณาคดีขั้นแรก หากคู่ความไม่พอใจการพิพากษาของศาลชั้นต้น เขาอาจขอให้ ศาลอุทธรณ์ พิจารณา พิพากษาต่อไป และถ้ายังไม่พอใจอีก เขาก็อาจขอให้ ศาลฎีกา พิพากษาตัดสินเป็นขั้นสุดท้าย
"ที่ไหนมีสังคม ที่นั่นมีกฎหมาย" แปลมาจากภาษาลาตินว่า "Ubi societas, ibijus" หมายความว่า เมื่อมนุษย์อยู่รวมกันเป็นหมู่คณะ จะต้องมีกฎระเบียบ แต่เดิมกฎระเบียบนั้น กำหนดมาจากความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของคนในสังคม คือ เป็นกฎเกณฑ์ทางศีลธรรม และจารีตประเพณีที่ชุมชนนั้น ประพฤติปฏิบัติถ่ายทอดสืบต่อกันมา จนเป็นกฎหมายประเภทหนึ่ง แต่มิได้บันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร เมื่อสังคมนั้นเจริญเติบโตมากขึ้น สภาพของสังคมเปลี่ยนแปลงไป ปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมนั้น สลับซับซ้อน เกินกว่าที่จะตัดสินได้ด้วยจารีตประเพณี จำเป็นต้องบัญญัติกฎหมายบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร สำหรับแก้ปัญหาเป็นเรื่องๆ ไป เหตุฉะนี้ กฎหมายของสังคมสมัยใหม่ จึงมีสองประเภท ประเภทหนึ่ง คือ เป็นกฎหมายที่อยู่ในรูปของจารีตประเพณี อีกประเภทหนึ่งเป็นกฎหมายที่บันทึกไว้เป็น ลายลักษณ์อักษร
กฎหมายไทยนั้น มีช่วงการปรับเปลี่ยนที่สำคัญ เพื่อให้เหมาะสมสอดคลองกับสังคม ๔ ช่วง เริ่มต้นตั้งแต่กำเนิดของสังคมไทย จนถึงสมัยสุโขทัย ช่วงนี้เป็นกฎเกณฑ์ที่มาจากจารีตประเพณีดั้งเดิม นับว่า เป็นกฎหมายของไทยแท้ๆ ต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยา จนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น เรามีกฎหมาย ๒ ลักษณะๆ หนึ่ง คือ "คัมภีร์พระธรรมศาสตร์" เป็นกฎหมายแม่บทที่เรารับมาจากอินเดียผ่านทางมอญ อีกลักษณะหนึ่งคือ "ราชศาสตร์" หรือ พระราชวินิจฉัยมูลคดีต่างๆ ของพระมหากษัตริย์ แล้วรวบรวมเป็นกฎหมายพื้นฐานของแผ่นดิน ช่วงที่ ๓ เป็นช่วงเวลาที่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปรับปรุงระบบกฎหมายให้ทันสมัย โดยอาศัยแบบอย่างจากตะวันตก โดยเฉพาะในรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งกระทรวงยุติธรรม และโรงเรียนกฎหมาย รวมทั้งได้ทรงจัดให้มีการร่างประมวลกฎหมายตามระบบซีวิลลอว์ (CIVIL LAW) จึงทำให้ระบบกฎหมายของไทยทันสมัยมากขึ้น ช่วงสุดท้าย คือ ช่วงที่ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕ ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ซึ่งถือเป็นกฎหมายแม่บทของไทยมาจนถึงทุกวันนี้ | |
ตามหลักพื้นฐานของกฎหมายรัฐธรรมนูญ จำแนกอำนาจการปกครองออกเป็น ๓ ส่วน คือ อำนาจนิติบัญญัติ รัฐสภาเป็นผู้ใช้ อำนาจบริหาร คณะรัฐมนตรีเป็นผู้ใช้ และ อำนาจตุลาการ ศาลเป็นผู้ใช้ ในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขนั้น ถือว่า พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้ตรารัฐธรรมนูญ โดยคำแนะนำ และยินยอมของสภาผู้แทนราษฎร
กฎหมายไทยมีลำดับชั้น คือ รัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายแม่บทต่อไปคือ พระราชบัญญัติ ซึ่งเป็นกฎหมายที่ออกโดยฝ่ายนิติบัญญัติ หรือรัฐสภา ผู้ที่มีอำนาจเสนอพระราชบัญญัติให้รัฐสภาพิจารณา คือ คณะรัฐมนตรี และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยเสนอผ่านพรรคการเมืองที่สมาชิกผู้นั้นสังกัด กฎหมายสำคัญที่ประกาศใช้เป็นพระราชบัญญัติ คือ ประมวลกฎหมายอาญา ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง พระราชกำหนด เป็นกฎหมายที่ออกเป็นกรณีพิเศษ โดยฝ่ายบริหาร เหตุผลพิเศษที่ฝ่ายบริหารจะออกพระราชกำหนดได้มี ๒ กรณี คือ ในกรณีฉุกเฉิน เพื่อรักษาความปลอดภัย และความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือในกรณีที่มีความจำเป็นต้องมีกฎหมายเกี่ยวด้วยภาษีอากร หรือเงินตรา ซึ่งจะต้องพิจารณากันเป็นเรื่องด่วนและลับ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของแผ่นดิน พระราชกำหนดมีผลบังคับเพียงชั่วคราวเฉพาะเรื่องเท่านั้น รัฐธรรมนูญกำหนดให้คณะรัฐมนตรีต้องเสนอขออนุมัติต่อรัฐสภา ถ้ารัฐสภาอนุมัติ พระราชกำหนดนั้นจึงจะมีผลบังคับใช้เป็นพระราชบัญญัติต่อไป
พระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของคนในสังคม ที่ควรทราบมีดังนี้คือ
การประกาศใช้กฎหมายลายลักษณ์อักษร
องค์กรพิจารณาพิพากษาคดี
การดำเนินคดี |