เนื่องจากโรคอัลไซเมอร์เป็นโรคเรื้อรังจึงต้องดูแลรักษาผู้ป่วยเป็นระยะเวลาต่อเนื่องกันยาวนาน นอกจากนี้อาการต่าง ๆ ของโรคยังมีการเปลี่ยนแปลงไปได้เป็นครั้งคราวและมีการดำเนินโรค ไปในทางเลวลงเรื่อย ๆ ดังนั้นการดูแลรักษาจึงมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนตลอดเวลาเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าหรือรักษาโรคแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นมาใหม่ในแต่ละรายสำหรับวัตถุประสงค์หลักของการรักษา คือ การเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยให้กลับมาใกล้เคียงกับคนปกติให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้โดยต้องคำนึงถึงการเพิ่มประสิทธิภาพด้านความจำ สติปัญญา อารมณ์ และบุคลิกภาพของผู้ป่วยเป็นหลัก
การรักษาผู้ป่วยอัลไซเมอร์มีวิธีการสำคัญ ๒ ประการ คือ การใช้ยาและการรักษาพยาบาลโดยไม่ต้องใช้ยา ปัจจุบันมีการพิสูจน์ชัดเจนแล้วว่ายาที่ใช้รักษาผู้ป่วยอัลไซเมอร์นั้นมีประสิทธิภาพที่จะเพิ่มความสามารถในการรับรู้และแก้ไขพฤติกรรมของผู้ป่วยได้ แต่ควรจะเลือกใช้ยาหลังจากที่ใช้วิธีการรักษาอื่น ๆ แล้วไม่ได้ผล เพราะยาที่ใช้กับผู้ป่วยอาจมีผลแทรกซ้อนตามมาได้เนื่องจากโรคอัลไซเมอร์มักเกิดกับผู้สูงอายุที่มักมีการทำงานของไตบกพร่องและการทำงานของตับในการขับสารต่าง ๆ เป็นไปได้ช้าจึงมีความโน้มเอียงสูงที่จะเกิดอันตรายจากการใช้ยา นอกจากนี้ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ มักมีโรคประจำตัวอยู่หลายอย่างจึงอาจได้รับยาหลายขนานร่วมกัน ดังนั้นก่อนการใช้ยาใด ๆ จึงต้องพิจารณาปัญหาด้านปฏิกิริยาของการใช้ยาร่วมกันด้วย อนึ่งผู้สูงอายุยังมีปัจจัยด้านความตึงตัวของหลอดเลือดที่ลดลงจากเดิม ดังนั้นการใช้ยาต่าง ๆ อาจมีผลทำให้เกิดความดันโลหิตต่ำซึ่งทำให้หกล้มได้ การเริ่มใช้ยาในผู้ป่วยอัลไซเมอร์จึงนิยมใช้ในขนาดที่ต่ำที่สุดก่อนเพื่อจะได้มีผลแทรกซ้อนน้อยที่สุดรวมทั้งการใช้ยากลุ่มกล่อมประสาทจะต้องมีความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งเพราะอาจทำให้เกิดการสับสนหรือมีอาการเลวลงในด้านปริชานได้ นอกจากนี้ยากลุ่มที่ไม่จำเป็นที่ผู้สูงอายุนิยมใช้กันเองซึ่งมีมากมายหลายขนาดนั้นสมควรหลีกเลี่ยงการใช้ในผู้ป่วยอัลไซเมอร์ก่อนที่แพทย์จะสั่งยาให้แก่ผู้ป่วยอัลไซเมอร์จำเป็นต้องได้ประวัติการใช้ยา ประวัติการเจ็บป่วยของโรคอื่น ๆ และมีการตรวจร่างกายผู้ป่วยอย่างละเอียดรอบคอบแล้วจึงพิจารณาปรับยาต่าง ๆ ที่ผู้ป่วยได้รับดัดแปลงขนาดและจำนวนให้เหมาะสมกับผู้ป่วยในแต่ละราย สำหรับแนวทางในการรักษาผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์นั้น มีหลักการดังนี้
การดูแลรักษาผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ต้องประกอบด้วย การปรับสิ่งแวดล้อมที่อยู่อาศัย การดูแลจากครอบครัว และการป้องกันโรค หรือภาวะแทรกซ้อนที่จะเกิดตามมา เช่น หกล้ม อุบัติเหตุต่าง ๆ และการติดเชื้อ นอกจากนี้การดูแลรักษาผู้ป่วยที่บ้านยังเป็นหัวใจสำคัญในการรักษาผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ การเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมจะทำให้ผู้ป่วยวุ่นวายและไม่สงบดังนั้นในด้านกิจวัตรประจำของผู้ป่วยควรมีการเปลี่ยนแปลงน้อยมากโดยจะต้องได้รับการดูแลอย่างดีและถูกต้อง สำหรับปัญหาด้านการออกกำลังการเคลื่อนไหว อาหารการกิน การขับถ่าย และการป้องกันการขาดสารอาหารและน้ำ เป็นสิ่งที่ต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษพร้อมกับการดูแลความสะอาดของร่างกาย อนึ่ง การที่ผู้ป่วยได้รับกำลังใจและการสนับสนุนจากสมาชิกในครอบครัวอย่างดีและเพียงพอมีความสำคัญมาก เพราะผู้ป่วยโรคนี้มีความโน้มเอียงที่จะเกิดอาการซึมเศร้า วิตกกังวล และนอนไม่หลับ ดังนั้นบทบาทของสมาชิกในครอบครัวต่อผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์จำเป็นต้องได้รับการอธิบาย ส่งเสริม และร่วมมืออย่างดีเพื่อประโยชน์ในการดูแลรักษาผู้ป่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีใกล้เคียงกับคนปกติ
ปัจจุบันมียาที่ถือว่ามีประสิทธิผลดีต่อการบำบัดรักษาผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์และเป็นที่ยอมรับในการรักษาผู้ป่วยโรคนี้ คือ ยากลุ่ม acetyl cholinesterase inhibitor และยากลุ่ม NMDA receptor antagonist แต่เนื่องจากยาทั้ง ๒ กลุ่มนี้มีราคาแพงและเป็นยาใหม่จึงต้องมีความระมัดระวังในการใช้ยาให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย
ก. Acetyl cholinesterase inhibitor
ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์โดยการยับยั้งการทำลาย acetyl choline ในสมองซึ่งผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์จะมีการขาดสารนี้ทำให้การติดต่อประสานงานของเซลล์สมองที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับด้านความจำบกพร่องไป เมื่อมีการยับยั้งการทำลายก็จะทำให้ acetyl choline ในสมองมีปริมาณมากขึ้นได้ ยากลุ่มนี้ในปัจจุบันมีหลายชนิด ได้แก่
ข. NMDA receptor antagonist
เป็นยากลุ่มใหม่ที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๕ ให้สามารถนำมาใช้รักษาผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ชนิดที่มีอาการรุนแรงมากถึงรุนแรงปานกลางได้ผลดี ยาชนิดนี้มีจำหน่ายในท้องตลาดโดยมีชื่อเคมี คือ memantine hydrochloride และชื่อการค้า คือ Ebixa ในประเทศไทยได้จดทะเบียนให้จำหน่ายยาชนิดนี้ใน พ.ศ. ๒๕๔๗ ยาชนิดนี้ออกฤทธิ์ยับยั้งการหลั่งสารกลูทาเมต (glutamate) ซึ่งเป็นสารพิษทำลายเซลล์สมองดังนั้นจึงมีฤทธิ์เป็นสารป้องกันเซลล์สมองด้วย สำหรับผลแทรกซ้อนของการใช้ยาชนิดนี้อาจเกิดได้บ้าง เช่น ประสาทหลอน สับสน มึนงง ปวดศีรษะ เมื่อยล้า
เป็นการรักษาอาการทางด้านจิตเวชของผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ซึ่งมีอาการวุ่นวายทางพฤติกรรม (behavioral disturbance) อาการนี้อาจพบในระยะใดของโรคอัลไซเมอร์ก็ได้และไม่สัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงทางด้านปริชาน อาการวุ่นวายทางพฤติกรรมที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่
ก. ภาวะซึมเศร้า (depression)
อาการซึมเศร้าในผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ พบว่าอาจเกิดขึ้นราวร้อยละ ๖๐ ของผู้ป่วย โดยปกตินิยมให้ยาต้านการซึมเศร้า (antidepression) ในขนาดต่ำ ๆ ก่อนและเพิ่มขนาดขึ้นทีละน้อย นอกจากนี้ ในระยะท้ายของผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์อาจจำเป็นต้องใช้ยากลุ่มกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางเพื่อเป็นการรักษาแบบประคับประคองให้แก่ผู้ป่วย
ข. ภาวะโรคจิต (psychosis)
ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการเอะอะโวยวายหรืออาละวาด ยากลุ่มรักษาโรคจิต (neuroleptics) เป็นยาที่ได้ผลดีที่สุดที่จะทำให้ผู้ป่วยสงบ แต่การใช้ยาควรใช้ในขนาดต่ำก่อนเพราะจะมีผลแทรกซ้อนน้อยกว่าขนาดสูง
ค. ภาวะกายใจไม่สงบ (agitation)
อาการนี้พบว่าเกิดขึ้นได้เป็นครั้งคราวในผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์และอาจเกิดเป็นพัก ๆ ยาที่มีรายงานว่าใช้ได้ผลดีมีหลายชนิด เช่น carbamazepine, sodium valproate, buspirone, trazodone และ risperidone
ปัจจุบันมีข้อมูลใหม่ ๆ เกี่ยวกับการใช้ยาที่อาจชะลอการดำเนินโรคอัลไซเมอร์ซึ่งมีหลายชนิด ดังนี้
ก. ฮอร์โมนเอสโทรเจน (estrogen)
จากการศึกษาทางระบาดวิทยา พบว่า การให้ฮอร์โมนเอสโทรเจนทดแทนในหญิงวัยหมดประจำเดือนจะทำให้เพิ่มปริชานและอาจลดการเกิดโรคอัลไซเมอร์ นอกจากนี้เอสโทรเจนยังลดความเสี่ยง ในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ การเสียชีวิตฉุกเฉิน และการเกิดภาวะกระดูกพรุน (osteoporosis) ได้ด้วย ข้อห้ามในการใช้ยาฮอร์โมนชนิดนี้ คือ ไม่ควรใช้กับผู้ป่วยเป็นมะเร็งมดลูก มะเร็งเต้านม หลอดเลือดดำอุดตันและอักเสบ ข้อเสียของยาชนิดนี้ คือ อาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน เลือดออกทางช่องคลอด และอาการปวดศีรษะไมเกรนกำเริบได้ อย่างไรก็ตามข้อมูลล่าสุดพบว่าการใช้ยากลุ่มเอสโทรเจนไม่ได้ผลในผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ในปัจจุบันจึงลดความนิยมใช้กัน
ข. แอนติออกซิแดนต์ (antioxidants)
มีข้อมูลว่าการใช้ยา MAO-B inhibitor เช่น selegiline สามารถช่วยชะลอการดำเนินโรคอัลไซเมอร์ได้แต่ยาชนิดนี้มีปัญหาด้านการให้ยาร่วมกัน ผลแทรกซ้อนของยาชนิดนี้ที่พบบ่อย ได้แก่ อาการปากแห้ง คอแห้ง คลื่นไส้ วิงเวียน ความดันโลหิตต่ำ และนอนไม่หลับ สำหรับวิตามินอีที่เป็นแอนติ-ออกซิแดนต์ที่นิยมใช้กันก็มีการศึกษาวิจัยว่าสามารถนำมาใช้รักษาผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ได้เช่นกัน แต่มีข้อห้ามใช้ในผู้ที่เป็นโรคขาดวิตามินเค
ค. กลุ่มยาต้านการอักเสบไร้สารสเตียรอยด์
(nonsteroidal anti - inflammatory agents : NSAID) ข้อมูลจากการศึกษาทางระบาดวิทยาพบว่า การใช้ยากลุ่มนี้สามารถชะลอการดำเนินของโรคอัลไซเมอร์ได้
ง. วัคซีน
ปัจจุบันได้มีความพยายามในการหาทางป้องกันโรคอัลไซเมอร์ โดยการฉีดวัคซีนซึ่งได้มีการทดลองกับผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ในสหรัฐอเมริกาบ้างแล้วโดยใช้วัคซีนที่ทำจากบีตา-แอมีลอยด์โปรตีน แต่ก็พบว่าวัคซีนชนิดนี้ก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญ คือ เกิดเยื่อหุ้มสมองและสมองอักเสบ (meningoencephalitis) เมื่อได้รับวัคซีนในอัตราที่สูง ส่วนแนวคิดที่จะใช้วัคซีนชนิดที่ทำจากเทาโปรตีน กำลังอยู่ในระหว่างการศึกษาวิจัยอยู่ในปัจจุบัน