ประวัติการเลี้ยงกล้วยไม้ในประเทศไทย
ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีกล้วยไม้ป่าอยู่ตามธรรมชาติ เป็นจำนวนมาก สภาพแวดล้อมธรรมชาติมีความเหมาะสม กับการเลี้ยงกล้วยไม้อย่างกว้างขวาง ประมาณ พ.ศ. ๒๔๖๐ เป็นต้นมา ได้มีการเริ่มสนใจเลี้ยงกล้วยไม้เป็นงานอดิเรกขึ้นในประเทศไทย ในกลุ่มบุคคลสูงอายุและมีฐานะทางเศรษฐกิจดีพอสมควร ในช่วงเวลา ๑๐ ปีระหว่างนี้ ได้มีความเคลื่อนไหว เกี่ยวกับการเลี้ยงกล้วยไม้เกิดขึ้นในกลุ่มบุคคลเล็กๆ อาทิเช่น มีการแปลหนังสือตำราความรู้เกี่ยวกับลักษณะกล้วยไม้ชนิดต่างๆ จากภาษาต่างประเทศมาเป็นตำราภาษาไทย และยังได้เพิ่มข้อแนะนำเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติในการปลูกเท่าที่ประสบการณ์ในสมัยนั้น พึงมีการสั่งกล้วยไม้บางชนิด จากภายนอกประเทศเข้ามาเลี้ยง และได้มีการรวบรวมกล้วยไม้พื้นเมืองภายในประเทศมาเลี้ยงด้วย แต่เนื่องจากสมัยนั้น ความรู้ทางวิชาการ และความเจริญทางด้านเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยยังมิได้ขยายตัวกว้างขวางนัก คนทั่วไปในสังคม ซึ่งได้พิจารณากลุ่มผู้สนใจกล้วยไม้แล้ว ทำให้เข้าใจไปว่า การเลี้ยงกล้วยไม้เป็นกิจกรรมของผู้มีอันจะกิน และผู้สูงอายุ
ประมาณ พ.ศ. ๒๔๘๐ ได้มีกลุ่มนักวิชาการเกษตร อาวุโสพยายามรวมกลุ่มผู้สนใจต้นไม้ทั้งหลาย ซึ่งรวมทั้งกล้วยไม้ด้วย เพื่อจัดตั้งเป็นสมาคม โดยมีวัตถุประสงค์ให้มี การปลูกฝังความรักและสนใจต้นไม้ในหมู่ประชาชน แต่เนื่องจาก กิจกรรมดังกล่าวเป็นงานอาสาสมัคร ประกอบกับการส่งเสริมเผยแพร่ความรู้ในขณะนั้นก็ยังอยู่ในวงแคบ กิจกรรมดังกล่าว จึงยังคงจำกัดตัวเองอยู่อย่างไม่กว้างนัก
ใน พ.ศ. ๒๔๙๐ หลังจากสงครามโลกครั้งที่ ๒ เสร็จสิ้น แล้ว ประเทศต่างๆ ได้มีการเร่งรัดพัฒนาตนเองและประสาน งานร่วมมือกับประเทศอื่นๆ กว้างขวางออกไป วงการกล้วยไม้ ในหลายประเทศได้มีการตื่นตัว เผยแพร่ความรู้และข่าวสาร ตลอดจน กิจกรรมที่เกี่ยวกับการส่งเสริมการปลูกกล้วยไม้ ของประเทศต่างๆ เป็นผลให้ประเทศไทยมีความสนใจกล้วยไม้มากยิ่งขึ้น จึงได้มีการศึกษาค้นคว้าแบบอาสาสมัคร ของบุคคลผู้สนใจเกิดขึ้น และต่อมา ก็ได้มีการรวมกลุ่มประกอบกิจกรรม ทั้งในด้านการศึกษาวิจัย และการส่งเสริมเผยแพร่ความรู้ เมื่อมีการจัดตั้งสถานีโทรทัศน์ขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย รวมทั้งการพัฒนาทางด้านวิทยุกระจายเสียง ก็ได้มีการจัดทำรายการเผยแพร่ความรู้ เรื่องกล้วยไม้ด้วย ซึ่งนับเป็นรายการโทรทัศน์ครั้งแรกของประเทศไทย ที่ได้มีการนำเอาความรู้เกี่ยวกับต้นไม้ออกสู่ประชาชน นอกจากนั้น ยังได้เปิดอบรมเผยแพร่ความรู้เรื่องกล้วยไม้แก่ประชาชนในภาคค่ำ ในรูปอาสาสมัครขึ้นในกรุงเทพฯ เป็นประจำ และผลิตสิ่งพิมพ์ทางวิชาการ ตลอดจน ข่าวสารเกี่ยวกับกล้วยไม้ได้เร็วพอสมควร ทั้งๆที่สมัยนั้น ยังไม่มีการส่งเสริมงานอดิเรกประเภทนี้ ไปสู่ประชาชนแต่อย่างใด | ||
ใน พ.ศ. ๒๕๐๐ ได้มีการรวมกลุ่มผู้สนใจกล้วยไม้จดทะเบียน เป็นสมาคมกล้วยไม้บางเขน ซึ่งต่อมาใน พ.ศ. ๒๕๐๙ ได้สถาปนา เป็นสมาคมกล้วยไม้แห่งประเทศไทย และได้เข้าอยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์ ใน พ.ศ. ๒๕๐๓ ได้ริเริ่มเปิดการสอนการวิจัย เรื่องกล้วยไม้ขึ้น ในคณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อผลิตนักวิชาการในสาขาวิชากล้วยไม้ และทำงานประสานกับสมาคม อันเป็นองค์กรที่จัดการโดยประชาชนผู้สนใจอย่างใกล้ชิด เพื่อหวังผลการพัฒนาวงการกล้วยไม้ บนโครงสร้างสมบูรณ์แบบ
![]()
ประเทศไทยได้เริ่มเข้าไปมีบทบาทในวงการกล้วยไม้สากลอย่าง เป็นทางการ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๖ เมื่องานชุมนุมกล้วยไม้โลกครั้งที่ ๔ ได้มาจัดขึ้นที่สิงคโปร์ ซึ่งขณะนั้น ยังเป็นเมืองหนึ่งของประเทศมาเลเซีย โดยศาสตราจารย์ ระพี สาคริก ได้รับเชิญเข้าร่วมงาน เป็นผู้บรรยายเสนอผลงานเกี่ยวกับกล้วยไม้ของประเทศไทย และได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิก ในคณะกรรมาธิการร่างกฎเกณฑ์ ในการจดทะเบียนตั้งชื่อกล้วยไม้ลูกผสมของสากล จากนั้นเป็นต้นมา ประเทศไทยก็มีบทบาทในวงการกล้วยไม้สากล กระจายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว การที่บุคคลในประเทศไทยเข้าไปมีส่วนร่วมปฏิบัติงาน ในกิจกรรมระหว่างประเทศนี้ นอกจากเป็นการเผยแพร่ความก้าวหน้าของ ประเทศไทยในด้านกล้วยไม้ และในด้านศิลปวัฒนธรรมแล้ว ในมุมกลับ ก็ได้ข้อมูลต่างๆ ไว้เป็นประสบการณ์ เพื่อนำกลับมาพัฒนากิจกรรมกล้วยไม้ของประเทศ ให้สามารถสอดคล้องและทัดเทียม กับสากลประเทศด้วย ดังนั้น ทุกครั้งที่มีงานชุมนุมกล้วยไม้โลกขึ้น ประเทศไทยก็ได้รับเชิญเข้าร่วมกิจกรรม และได้รับความนิยมยิ่งขึ้น เป็นลำดับ
![]()
ภายในประเทศนั้นก็ได้มีการให้การศึกษาเกี่ยวกับกล้วยไม้ทั้งในระดับอาชีวศึกษาและอุดมศึกษา รวมทั้งมีงานวิจัยต่างๆ มากยิ่งขึ้นด้วย พันธุ์ไม้พื้นเมืองของประเทศไทยได้รับความ สนใจนำมาคัดพันธุ์ ผสมพันธุ์ เผยแพร่ยิ่งขึ้นเป็นลำดับ บุคคลผู้ที่ได้รับความรู้จากผลการส่งเสริมเรื่องกล้วยไม้ ซึ่งแพร่กระจาย ไปทั่วประเทศ ได้มีการรวมกลุ่มในท้องถิ่นมากยิ่งขึ้น เพื่อดำเนินกิจกรรมส่งเสริมเผยแพร่การเลี้ยงกล้วยไม้ จนกระทั่งในที่สุด ประเทศไทยก็ได้รับความเห็นชอบจากประเทศต่างๆ ให้เป็นเจ้าภาพจัดงานชุมนุมกล้วยไม้โลกครั้งที่ ๙ ในประเทศไทย เมื่อ เดือนมกราคม พ.ศ. ๒๕๒๑ ซึ่งมีทั้งกิจกรรมการประชุมทางวิชาการ การจัดแสดง และการประกวดกล้วยไม้ที่ส่งมาจากประเทศต่างๆทั่วโลก และการจัดทัศนศึกษาด้านศิลปวัฒนธรรม และสิ่งที่น่าสนใจต่างๆ ของประเทศด้วย ในการชุมนุมครั้งนี้ ปรากฏว่า มีชาวต่างประเทศจาก ๔๑ ประเทศ เป็นจำนวนกว่า ๓,๐๐๐ คน มาร่วมงานนี้ ซึ่งนับเป็นงานชุมนุมนานาชาติครั้งใหญ่ เป็นประวัติการณ์ของประเทศไทย และได้รับการชมเชยจากทั่วโลกว่า เป็นงานชุมนุมกล้วยไม้โลกที่ประสบผลสำเร็จมากที่สุด เท่าที่ได้เคยมีมาแล้ว
![]() ในด้านธุรกิจการค้ากล้วยไม้ หลังจากได้มีการพัฒนากิจกรรมกล้วยไม้มาพอสมควร ประเทศไทยสามารถส่งกล้วยไม้ ทั้งพันธุ์พื้นเมือง และพันธุ์ผสมออกไปสู่ตลาดต่างประเทศอย่างกว้างขวาง การค้าต้นกล้วยไม้ดังกล่าวนั้น ส่วนใหญ่เป็นการเพาะเลี้ยง และผลิตต้นจากสวนในบ้าน โดยใช้แรงงานภายในครอบครัว ซึ่งนับเป็นการเสริมฐานะทางเศรษฐกิจให้ประเทศในแนวที่ถูกต้อง เพราะเหตุว่า การรวบรวมพันธุ์ ผสมพันธุ์ และเพาะเลี้ยงกล้วยไม้เหล่านี้ ได้เติบโตขึ้นมาจากงานอดิเรก ซึ่งกระจายอยู่ทั่วๆ ไป โดยเริ่มจากบริเวณกรุงเทพฯ ก่อน จากนั้น ก็แพร่ออกสู่ต่างจังหวัด ผู้ที่มีงานประจำทำอยู่แล้ว จึงสามารถใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ทั้งในด้านจิตใจ และเสริมสร้างฐานะทางเศรษฐกิจให้แก่ตนเองและครอบครัว
|