ลองทำตาม “4 ขั้นตอนวางแผนมรดก เพื่อลูกหลาน” ดังนี้
เพื่อให้ทราบถึงสถานะทางการเงินของตัวเราเองว่า มีทรัพย์สินอะไรบ้าง เป็นมูลค่า เท่าไหร่ พร้อมทั้งวางแผนจัดสรรว่า ส่วนใดที่จะนำไว้ใช้ในบั้นปลายชีวิตและส่วนใด ที่จะต้องนำไปวางแผนมรดกเพื่อส่งต่อให้คนรุ่นหลัง โดยทรัพย์สินที่จะต้องเสียภาษี มรดก ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ ยานพาหนะ หลักทรัพย์ตามกฎหมาย เงินฝาก และทรัพย์สินทางการเงิน
เพื่อวางแผนให้เกิดประโยชน์ในการให้มรดกอย่างสูงสุด โดยหลักเกณฑ์ในเบื้องต้น คือ
ภาษีมรดก เกิดขึ้นเมื่อมีการเสียชีวิตของเจ้าของมรดกและส่งต่อทรัพย์สินไปตามพินัยกรรม ซึ่งทรัพย์สินที่ต้องเสียภาษีมรดก จะเสียเฉพาะส่วนเกิน 100 ล้านบาท ในอัตรา 10% เมื่อผู้รับมรดกเป็นบุคคลธรรมดา เช่น ผู้รับตามพินัยกรรม หรืออัตรา 5% เมื่อผู้รับมรดกเป็นบุพการีหรือทายาท โดยถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ให้คำนวณจากราคาประเมิน ส่วนหลักทรัพย์ให้คำนวณจากราคาปิดตลาด ณ วันโอน
ภาษีจากการให้ เกิดขึ้นเมื่อของเจ้าของมรดกได้มอบทรัพย์สินในขณะที่มีชีวิตอยู่ให้กับทายาท ซึ่งการให้ดังกล่าว แบ่งเป็นประเภทสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ โดยส่วนเกินของมูลค่าที่กฎหมายกำหนด จะต้องนำมาคำนวณภาษี
- สังหาริมทรัพย์ : ถ้ามอบให้บุคคลธรรมดา ส่วนเกินมูลค่าทรัพย์สิน 10 ล้านบาท จะเสียภาษี 5% แต่ถ้ามอบให้ทายาท ตามกฎหมาย ทายาทสนิท หรือให้ด้วยความเสน่หา ส่วนเกินมูลค่าทรัพย์สิน 20 ล้านบาท จะเสียภาษี 5%
- อสังหาริมทรัพย์ : เฉพาะการมอบให้บุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ไม่รวม ถึงบุตรบุญธรรม จะเสียภาษี 5% ของส่วนเกิน มูลค่าทรัพย์สิน 20 ล้านบาท
การรับมรดก การรับทรัพย์สินจากผู้ตาย กรณีไม่มีการโอนให้ก่อนเสียชีวิต |
การรับให้ ผู้ตายโอนทรัพย์สินให้ผู้รับก่อนเสียชีวิต |
||
ทายาท | บุคคลธรรมดา | ทายาท | บุคคลธรรมดา |
ส่วนเกินมูลค่า 100 ล้านบาท | ส่วนเกินมูลค่า 20 ล้านนบาท | ส่วนเกินมูลค่า 10 ล้านบาท | |
อัตราภาษี 5% | อัตราภาษี 10% | อัตราภาษี 5% |
โดยการทยอยส่งมอบทรัพย์สินในแต่ละปีเป็นจำนวนเงินที่เหมาะสมและไม่ทำให้เสียภาษีมากจนเกินไป เช่น มีมรดก 40 ล้านบาทและทายาท 1 คน ก็สามารถทยอยมอบให้ปีละ 20 ล้านบาทจำนวน 2 ปี ก็จะไม่เสียภาษีจากส่วนเกินมูลค่าทรัพย์สินที่จะให้เป็นมรดก ทั้งนี้ ในการวางแผนมรดกควรพิจารณารายละเอียดอย่างรอบคอบ ไม่ควรให้มรดกชิ้นเดียวกัน กับทายาทหลาย ๆ คนเพราะอาจจะเกิดปัญหาระหว่างทายาทตามมาได้ รวมทั้งไม่ควรรีบ มอบมรดกเพราะกลัวการจ่ายภาษีจนเราเกิดความลำบากเมื่อทรัพย์สินถูกแจกจ่ายไปแล้ว
หากมีมรดกจำนวนมากและไม่สามารถทยอยมอบให้ในเร็ววันได้ ก็ควรเปลี่ยนทรัพย์สินที่เสียภาษีมรดกเป็นทรัพย์สินที่ได้รับ สิทธิประโยชน์ทางภาษี เช่น การทำประกันชีวิตเพื่อรับสินไหมมรณกรรม โดยระบุผู้รับประโยชน์ในกรมธรรม์เป็นทายาทที่เรา ต้องการมอบทรัพย์สินก้อนสุดท้ายไว้ให้
ตัวอย่างประโยชน์ของการวางแผนภาษีมรดก
ทรัพย์สิน 200 ล้านบาท ทายาท 1 คน
กรณีเสียชีวิตและส่งมอบมรดกทันที
ทายาทจะต้องเสียภาษี ส่วนเกิน 100 ล้านบาท จำนวน 5% รวม (200-100) x 5% = 5 ล้านบาท
กรณีวางแผนมรดกและด้วยการทยอยให้
รูปแบบที่ 1 : นำทรัพย์สินมอบให้กับทายาทไม่เกินขั้นต่ำของการเสียภาษีในแต่ละปีจนครบ
รูปแบบที่ 2 : นำทรัพย์สินมอบให้กับทายาทไม่เกินขั้นต่ำของการเสียภาษี และนำเงินส่วนที่เหลือไปซื้อทรัพย์สินที่ไม่ต้องเสียภาษี
วางแผนภาษี |
ทรัพย์สินที่ต้องเสียภาษี (ให้มอบขั้นต่ำ) |
ทรัพย์สินที่ไม่ต้องเสียภาษี | ภาษีการให้ที่ต้องจ่าย |
แบบที่ 1 |
จำนวน 20 ล้านบาทต่อปี เป็นเวลา 10 ปี |
- | 0 บาท |
แบบที่ 2 |
จำนวน 20 ล้านบาทต่อปี เป็นเวลา 5 ปี |
ซื้อประกันจำนวน 100 ล้านบาท เพื่อให้ทายาท |
0 บาท |
อย่างไรก็ตาม เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินภาษีและเรียกเก็บภาษีให้ครบถ้วน พร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม หากเราไม่เสีย ภาษีตามกำหนด อธิบดีกรมสรรพากรก็จะมีอำนาจสั่งยึด อายัด และขายทอดตลาดทรัพย์มรดกโดยไม่ต้องขอศาล ดังนั้น จึงควรวางแผนภาษีมรดกอย่างถูกต้องตามกฎหมายและอย่าลืมว่า “หลีกเลี่ยงภาษีการรับมรดก ถือเป็นความผิดอาญา”
การวางแผนมรดกที่ดีควรเริ่มต้นจากการรู้สถานะทางการเงินของตัวเองด้วยการ ทำบัญชีทรัพย์สินที่มีอย่างละเอียด การศึกษาข้อกฎหมายและวางแผนให้ส่งต่อมรดก ไปยังทายาทโดยได้รับประโยชน์สูงสุดทางภาษี ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนการทยอยให้ การเปลี่ยนทรัพย์สินที่เสียภาษีเป็นทรัพย์สินที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี เช่น ประกันชีวิต ที่สำคัญคือ ควรพิจารณาความเหมาะสมในการมอบทรัพย์สินมรดก เพื่อไม่ให้เกิดปัญหากับตัวเองและทายาทตามมา
ขอบคุณภาพปก : Pixabay