"โลก" เป็นดาวเคราะห์ซึ่งโคจรห่างจาก ดวงอาทิตย์เป็นดวงที่ ๓ ระยะห่างเฉลี่ย ๑๕๐ ล้านกิโลเมตร ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๑๒,๗๕๖ กิโลเมตร พื้นผิวเป็นหินเช่นเดียวกับ ดาวเคราะห์ชั้นในดวงอื่นๆ
โลกมีอายุประมาณ ๔,๖๐๐ ล้านปี ก่อตัวขึ้นจากมวลสารรอบนอกกลุ่มก้อนก๊าซต้นกำเนิดของดวงอาทิตย์ และมีวิวัฒนาการจนมีสภาพปัจจุบัน ลักษณะภายในโลกแบ่งเป็น ๔ ชั้น คือ
๑) แก่นโลกชั้นใน เป็นของแข็งจำพวกเหล็กและนิกเกิล ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๒,๔๐๐ กิโลเมตร อุณหภูมิสูงถึง ๔,๐๐๐ องศาเซลเซียส
๒) แก่นโลกชั้นนอก เป็นชั้นของเหล็กและนิกเกิลหลอมเหลว
๓) เนื้อโลก อยู่ถัดจากแก่นโลกชั้นนอกออกมา เป็นแร่และหินแข็งจำพวกซิลิเกต ซึ่งเกิดจากการรวมตัวกันของธาตุซิลิคอน ออกซิเจน และโลหะชนิดต่าง ๆ
๔) เปลือกโลก ประกอบด้วยดินและหิน หนาประมาณ ๖ - ๔๐ กิโลเมตร ลักษณะของเปลือกโลกประกอบด้วยแผ่นเปลือกโลกหลาย ๆ แผ่นที่เคลื่อนตัวอยู่บนชั้นหินหนืดที่ร้อนเหลวลึกลงไป บางครั้งแผ่นเปลือกโลกเคลื่อนตัวแยกออกจากกัน บางครั้งก็เคลื่อนตัวเข้าหากัน หรือเคลื่อนตัวสวนทางกันเป็นต้นเหตุของการเกิดแผ่นดินไหว และทำให้เกิดสภาพภูมิประเทศแตกต่างกัน บนพื้นผิวโลก เช่น เป็นภูเขา เทือกเขา แอ่งแผ่นดิน ร่องลึกในมหาสมุทร ภูเขาไฟ
บนพื้นผิวของเปลือกโลกมีน้ำปกคลุมอยู่ถึงร้อยละ ๗๑ ของเนื้อที่พื้นแผ่นดิน โลกมีกระบวนการหมุนเวียนเก็บกักน้ำไว้ตามธรรมชาติ คือ เมื่อน้ำได้รับอุณหภูมิสูงขึ้น จะเปลี่ยนสภาพเป็นไอน้ำลอยขึ้นไปในบรรยากาศโลกครั้นไอน้ำคายความร้อนมีอุณหภูมิต่ำลง จึงกลั่นตัวกลายเป็นละอองน้ำที่เราเห็นเป็นเมฆลอยอยู่ในท้องฟ้า และกลายสภาพเป็นฝน ซึ่งเป็นน้ำบริสุทธิ์ตกลงมา น้ำจึงแปรสภาพได้ทั้งในสถานะของของแข็ง ของเหลว และก๊าซ ตามระดับอุณหภูมิบนโลก ทำให้น้ำไม่เหือดแห้งหายไปจากโลก จึงเป็นลักษณะพิเศษที่ไม่มีบนดาวเคราะห์อื่นใดในระบบสุริยะ
มีบรรยากาศที่ห่อหุ้มโลกหนาประมาณ ๕๐๐ กิโลเมตร ประกอบด้วยก๊าซไนโตรเจนประมาณร้อยละ ๗๘ ก๊าซออกซิเจนร้อยละ ๒๑ ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ ๑ เป็นไอน้ำ ก๊าซอาร์กอน ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซอื่น ๆ เหนือชั้นบรรยากาศโลกเป็นชั้นโอโซนซึ่งเป็นก๊าซ ออกซิเจนที่ไม่เสถียรเพราะมีโมเลกุลเพียง ๓ อะตอม มีคุณสมบัติพิเศษ คือ สามารถดูดจับรังสีอัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์ไม่ให้ลงมาถึงพื้นโลกได้ จึงช่วยปกป้องสิ่งมีชีวิตบนโลกไม่ให้เป็นอันตรายจากรังสีดังกล่าว จากการที่โลกมีน้ำและบรรยากาศห่อหุ้มอยู่ ทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตต่างๆ ขึ้นบนโลก ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษของโลกที่ยากจะหาได้บนดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ ในระบบสุริยะ
โลกหมุนรอบแกนตัวเองครบรอบใน ๑ วัน หรือประมาณ ๒๔ ชั่วโมง และเคลื่อนที่รอบดวงอาทิตย์ใน ๑ ปี หรือประมาณ ๓๖๕.๒๖ วัน โดยมีแกนโลกเอียงคงที่จากแนวตั้งฉากกับระนาบทางโคจรรอบดวงอาทิตย์ประมาณ ๒๓.๕ องศา ลักษณะเช่นนี้ทำให้อุณหภูมิในบรรยากาศโลกช่วงเวลากลางวันกับกลางคืนในรอบ ๑ วัน ไม่แตกต่างกันมากนัก และเกิดฤดูกาลต่าง ๆ ในรอบปี ซึ่งค่อย ๆ ปรับอุณหภูมิของท้องถิ่นต่าง ๆ บนโลกอย่างช้า ๆ
ในท้องถิ่นแถบใกล้ขั้วโลกมีการแบ่งฤดูกาลออกเป็น ๔ ฤดู คือ ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว ส่วนในเขตมรสุมใกล้เส้นศูนย์สูตรอย่างเช่นประเทศไทย แบ่งฤดูกาลออกเป็น ๓ ฤดู คือ ฤดูร้อน ฤดูฝน และฤดูหนาว
อย่างไรก็ดีลักษณะการเคลื่อนที่ของโลกดังกล่าวทำให้โลกหันพื้นที่ทุกส่วน ตั้งแต่แถบศูนย์สูตรจนถึงแถบขั้วโลก ทั้งโลกซีกเหนือ และโลกซีกใต้ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเข้ารับพลังงานความร้อนจากดวงอาทิตย์ เกิดเป็นวัฏจักรของฤดูกาลแต่ละท้องถิ่นบนโลก แต่ละฤดูมีช่วงเวลาไม่ยาวนานเกินไป อุณหภูมิบนพื้นผิวโลกโดยเฉลี่ยจึงพอเหมาะและใกล้เคียงกันตลอดทั้งปี
• โลกมีดวงจันทร์เป็นบริวารโคจรอยู่รอบโลกเพียงดวงเดียว มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๓,๔๗๖ กิโลเมตร หรือประมาณ ๑ ใน ๔ ของเส้นผ่าศูนย์กลางโลก โคจรอยู่ห่างจากโลกโดยเฉลี่ย ประมาณ ๓๘๔,๔๐๐ กิโลเมตร และโคจรรอบโลกในระยะเวลาประมาณ ๒๙.๕ วัน เป็นดาวดวงเดียวที่มนุษย์เดินทางไปสำรวจ นำตัวอย่างดินและหินจากดวงจันทร์กลับมาศึกษาตรวจวิเคราะห์บนโลก
• นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถสรุปได้ชัดเจนว่าดวงจันทร์เกิดขึ้นได้อย่างไร มีข้อสมมุติฐานว่าดวงจันทร์น่าจะเกิดจากมีวัตถุขนาดใหญ่พุ่งเข้าชนโลกในอดีต ทำให้ชิ้นส่วนแตกกระจายกระเด็นออกไปรอบโลก ต่อมาชิ้นส่วนเหล่านั้นรวมตัวกันเกิดเป็นดวงจันทร์โคจรรอบโลก ดังปัจจุบัน
• ดวงจันทร์มีขนาดเล็ก มีมวลน้อย ไม่มีบรรยากาศห่อหุ้ม ไม่มีลมพัดพาฝุ่นให้ฟุ้งกระจาย ปราศจากน้ำ และปราศจากการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงในใจกลางดวง จึงกล่าวได้ว่าดวงจันทร์เป็นดาวที่ดับแล้ว
• พื้นผิวของดวงจันทร์เต็มไปด้วยหลุมอุกกาบาตขนาดใหญ่เล็กมากมาย เรามองเห็นพื้นผิวดวงจันทร์เป็น ๒ ส่วน คือ ส่วนที่มืดคล้ำเป็นหย่อม ๆ และส่วนที่ปรากฏสว่าง ส่วนที่มืดคล้ำนั้นความจริงเป็นพื้นที่ราบต่ำ และส่วนที่ปรากฏสว่างเป็นพื้นที่สูง ซึ่งสูงกว่าส่วนพื้นที่ราบต่ำประมาณ ๓ กิโลเมตร
• มนุษย์เดินทางไปลงสำรวจพื้นผิวดวงจันทร์เป็นครั้งแรกโดยยานอะพอลโล ๑๑ ของสหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ ๑๖ - ๒๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๑๒ หลังจากนั้น ในช่วง พ.ศ. ๒๕๑๒ - ๒๕๑๕ โครงการอะพอลโลได้ส่งยานอวกาศ ไปลงดวงจันทร์อีก ๕ ครั้ง รวมมนุษย์อวกาศที่เดินทางไปลงสำรวจดวงจันทร์แล้วทั้งสิ้น ๑๒ คน และได้นำตัวอย่างดินและหินจากดวงจันทร์ ซึ่งมีน้ำหนักรวม ๓๘๒ กิโลกรัม กลับมายังโลก