Home
Education
Classroom
Knowledge
Blog
TV
ธรรมะ
กิจกรรม
โครงการทรูปลูกปัญญา

ดาวหาง

Posted By Plookpedia | 25 เม.ย. 60
12,563 Views

  Favorite

ในคืนที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง ปราศจากแสงไฟฟ้าและแสงจันทร์รบกวน ไม่มีฝุ่นควันหรือเมฆบดบัง เราจะเห็นดาวเต็มฟ้า เป็นธรรมชาติที่ดูสวยงามยิ่งนัก มีทั้งดาวดวงที่สว่างมากๆ โดดเด่น ท่ามกลางดาวที่สว่างรองลงไปจำนวนมาก บางครั้ง ก็จะเห็นแสงวาบเคลื่อนที่เป็นทางยาวแล้วหายไป ซึ่งเรียกว่า ดาวตก หรือ ผีพุ่งไต้ ดาวตก หรือผีพุ่งไต้ เป็นปรากฏการณ์ ที่เกิดในบรรยากาศโลก แต่ดาวที่ส่องแสงระยิบระยับสวยงามทั้งหลายอยู่นอกโลกห่างไกลจากโลกมาก เราจึงเห็นเป็นจุดสว่างเล็กๆ ส่วนใหญ่เป็นดาวแบบเดียวกับดวงอาทิตย์ ซึ่งเราเรียกว่า ดาวฤกษ์ มีดาวที่เห็นด้วยตาเปล่า เป็นจุดสว่างค่อนข้างมากเพียง ๕ ดวง เท่านั้น ที่เป็น ดาวเคราะห์ แบบเดียวกับโลก ได้แก่ ดาวอังคาร ดาวพุธ ดาวพฤหัสบดี ดาวศุกร์ และดาวเสาร์ ซึ่งมนุษย์นำชื่อดาวเคราะห์เหล่านี้มาตั้งเป็นชื่อวันในสัปดาห์

 

ดาวหาง
หนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ฯ เล่ม 31

 

ดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ ดาวตก หรือผีพุ่งไต้ มีให้เห็นทุกๆ คืน แต่นานๆ หลายปีต่อครั้งหนึ่ง ในเวลากลางคืนดังกล่าว เราอาจเห็นดาวที่ไม่เป็นจุดสว่าง หรือเป็นแสงแวบวับ แต่เป็นดาวที่แปลกประหลาดมาก เพราะเป็นดาวที่มีหาง อยู่ท่ามกลางดาวอื่น ดาวประหลาดนี้ คือ ดาวหาง ซึ่งมีลักษณะต่างๆ กัน บางดวงมีหางยาวคล้ายไม้เรียว บางดวงคล้ายพัด หรือคล้ายไม้กวาด ดาวหางที่เห็นด้วยตาเปล่าชัดเจนมักจะเห็นในเวลาหัวค่ำทางทิศตะวันตกหรือตอนเช้าตรู่ทางทิศตะวันออก เช่น ดาวหางอิเคยา-เซกิ ที่เห็นตอนเช้าตรู่ทางทิศตะวันออก เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๘ เป็นดาวหางที่ชาวญี่ปุ่นชื่อ อิเคยา และ เซกิ เป็นผู้ค้นพบ

 

ดาวหาง
หนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ฯ เล่ม 31

 

ดาวหาง
หนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ฯ เล่ม 31

 

ดาวหางจะมีชื่อตามชื่อผู้ค้นพบดาวหางกับดาวเคราะห์มีลักษณะเหมือนกันอยู่ ๒ อย่าง คือ ไม่มีแสงในตัวเอง แต่เห็นได้ เพราะสะท้อนแสงอาทิตย์อย่างหนึ่ง และเคลื่อนที่รอบดวงอาทิตย์อีกอย่างหนึ่ง ดาวเคราะห์เคลื่อนที่รอบดวงอาทิตย์ เกือบเป็นวงกลมแต่ดาวหางเคลื่อนที่รอบดวงอาทิตย์เป็นวงรีมาก เมื่อเคลื่อนที่เข้าใกล้ดวงอาทิตย์จึงจะเห็นว่ามีหาง ถ้าอยู่ไกล จะมองไม่เห็นเพราะยังไม่มีหาง เนื่องจากเป็นเพียงก้อนของแข็งเล็กๆ ซึ่งอาจจะไม่กลมเหมือนโลก เช่น ดาวหางฮัลเลย์ มีส่วนที่เป็นของแข็งเหมือนหัวมันฝรั่ง กว้างประมาณ ๘ กิโลเมตร ยาวประมาณ ๑๕ กิโลเมตร ดาวหางจึงมีขนาดเล็กมาก เมื่อเทียบกับโลก

 

ดาวหาง
หนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ฯ เล่ม 31

 

ดาวหางฮัลเลย์มีชื่อเสียงที่สุด เพราะเป็นดาวหางที่ปรากฏให้ชาวโลกได้เห็นทุกๆ ประมาณ ๗๖ ปี ตั้งแต่ก่อนคริสต์ศักราช เป็นต้นมา ครั้งสุดท้ายได้เข้ามาใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดเมื่อต้น พ.ศ. ๒๕๒๙ ก่อนหน้านี้ได้ปรากฏให้เห็นใน พ.ศ. ๒๔๕๓ อันเป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต ดาวหางฮัลเลย์จะกลับมาปรากฏให้เห็นอีกครั้งใน พ.ศ. ๒๖๐๕

 

ดาวหาง
หนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ฯ เล่ม 31


อาริสโตเติล นักปราชญ์ชาวกรีกโบราณเชื่อว่า ดาวหางเกิดในบรรยากาศโลก จะนำความแห้งแล้งและภัยพิบัติมาสู่โลก เช่น การเกิดสงคราม การเสียชีวิตของบุคคลสำคัญในประเทศที่เห็นดาวหาง ความเชื่อนี้แพร่กระจายไปทั่วโลก ต่อมา นักดาราศาสตร์ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ดาวหางอยู่ในอวกาศนอกโลก อยู่ไกลจากโลกมาก ดาวหางไม่ใช่สาเหตุของความแห้งแล้งในโลก ดาวหางไม่ได้ทำให้เกิดสงคราม หรือการเสียชีวิตของบุคคลสำคัญ ความเชื่อร้ายๆ เกี่ยวกับดาวหางจึงไม่ถูกต้อง เพราะเป็นความเชื่อที่ไม่มีเหตุผลสนับสนุนทางด้านวิทยาศาสตร์ ดาวหางเป็นดาวที่สวยงาม แต่โอกาสจะเห็นมีได้น้อย จึงเป็นสิ่งมหัศจรรย์บนฟ้า เป็นดาวที่มีประโยชน์ต่อความเข้าใจเรื่องโลก และระบบสุริยะเป็นอย่างยิ่ง

 

ดาวหาง คือ ก้อนน้ำแข็งสกปรก ซึ่ง เฟรด แอล. วิปเปิล (Fred L. Whipple) นักดาราศาสตร์ชาวอเมริกันได้เสนอไว้ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๓ และปัจจุบัน นักดาราศาสตร์ส่วนมากก็เห็นด้วยเช่นนั้น ที่เรียกว่า เป็น ก้อนน้ำแข็งสกปรก เพราะประกอบด้วยน้ำแข็งและก้อนหินขนาดต่างๆ ปนกันจำนวนมาก รวมทั้งแก๊สหลายชนิดที่อยู่ในสถานะของแข็ง

ดาวหาง ถูกดวงอาทิตย์ดึงไว้ด้วยแรงโน้มถ่วง จึงเคลื่อนที่รอบดวงอาทิตย์คล้ายดาวเคราะห์ หรือดาวเคราะห์น้อยทั้งหลาย นักดาราศาสตร์เรียกดาว ที่เคลื่อนที่รอบดวงอาทิตย์ว่า บริวารของดวงอาทิตย์ โลกของเราเป็นดาวเคราะห์ ที่เคลื่อนที่รอบดวงอาทิตย์รอบละ ๑ ปี โลกจึงเป็นบริวารดวงหนึ่งของดวงอาทิตย์ ดวงอาทิตย์ และบริวารทั้งหมด ของดวงอาทิตย์ รวมกัน เรียกว่าระบบสุริยะ ดังนั้น ดาวหางจึงอยู่ในระบบสุริยะ วงโคจรของโลก รอบดวงอาทิตย์ และวงโคจรของดาวเคราะห์ดวงอื่นเป็นวงรี แต่ไม่รีมากเท่ากับวงโคจรของดาวหาง กล่าวคือ เมื่อดาวหางเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด ในระยะดาวพุธ หรือดาวศุกร์ หรือโลกแล้ว ดาวหางส่วนใหญ่จะเคลื่อนที่ไกลออกไป จนเลยวงโคจรของดาวพลูโต หลังจากนั้น จึงวกกลับมา ในเวลาหลายพันปี หรือยาวนานกว่านั้น แต่ดาวหางบางดวง โคจรรอบดวงอาทิตย์ ๑ รอบโดยใช้เวลาน้อยกว่านี้ เช่น ดาวหางเอ็งเก เคลื่อนที่รอบดวงอาทิตย์รอบละเพียง ๓.๓ ปี เท่านั้น

 

โครงสร้างของดาวหาง
ลักษณะที่ปรากฏของดาวหางที่แปลกที่สุด คือ มีหางยาวชี้ไปในทิศทางตรงข้ามกับดวงอาทิตย์ คนไทยจึงเรียกว่า ดาวหาง ส่วนชาวตะวันตกเรียกว่า comet ซึ่งมีรากศัพท์มาจากภาษาละตินว่า coma (ภาษากรีกว่า kome) แปลว่า เส้นผม ดาวหางมีขนาดเล็กมากเมื่อเปรียบเทียบกับดาวเคราะห์ หรือบริวารของดาวเคราะห์ ขณะที่เห็นเป็นดาวหางนั้นจะประกอบด้วย ๒ ส่วน คือ ส่วนที่เป็นของแข็ง กับส่วนที่เป็นแก๊สและฝุ่น ส่วนที่เป็นของแข็ง เรียกว่า ใจกลางหัว หรือนิวเคลียส (nucleus) ซึ่งเล็กมาก อาจมีเส้นผ่าศูนย์กลางเพียง ๑ - ๔๐ กิโลเมตรเท่านั้น จึงไม่สามารถมองเห็นได้จากโลก แม้จากกล้องโทรทรรศน์ขนาดใหญ่ แต่ในขณะที่ดาวหางเข้ามาใกล้ดวงอาทิตย์ ความร้อนจะทำให้น้ำแข็งที่อยู่ผิวนอก ของใจกลางหัวกลายเป็นไอ เรียกว่า การระเหิด จะมีฝุ่นชิ้นเล็กๆ และก้อนหินขนาดต่างๆ กระเด็นออกไป พร้อมแก๊สหลายชนิดด้วย สิ่งเหล่านี้กระจายออกไปอยู่โดยรอบนิวเคลียส กลายเป็น หัว หรือ โคม่า (coma) ของดาวหาง หัวของดาวหางจึงเป็นแก๊สและฝุ่น เฉพาะใจกลางหัวเท่านั้นที่เป็นของแข็ง หัวมีเส้นผ่าศูนย์กลางเป็นแสนกิโลเมตร จึงโตพอ ที่จะสังเกตเห็นได้ในกล้องโทรทรรศน์ หรือถ้าอยู่ใกล้โลก ก็เห็นได้ด้วยตาเปล่า เพราะฝุ่นสะท้อนแสงอาทิตย์มาเข้าตาเรา ไฮโดรเจนซึ่งเป็นแก๊สเบาที่สุดและขยายตัวเร็วกว่าแก๊สอื่นๆ กลายเป็นเมฆไฮโดรเจนอยู่รอบหัว มีขนาดโตกว่าเส้นผ่าศูนย์กลาง ของดวงอาทิตย์ แต่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า นักดาราศาสตร์ตรวจพบเมฆไฮโดรเจนได้ ในแสงอัลตราไวโอเลต

 

ลักษณะของดาวหางที่แตกต่างกัน
ลักษณะของดาวหางที่แตกต่างกัน
จากหนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ฯ เล่ม 31

 

ลักษณะของดาวหางที่แตกต่างกัน
ลักษณะของดาวหางที่แตกต่างกัน
จากหนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ฯ เล่ม 31

 

ลักษณะของดาวหางที่แตกต่างกัน
ลักษณะของดาวหางที่แตกต่างกัน
จากหนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ฯ เล่ม 31

 

ลักษณะของดาวหางที่แตกต่างกัน
ลักษณะของดาวหางที่แตกต่างกัน
จากหนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ฯ เล่ม 31

 

พลังงานจากดวงอาทิตย์ในรูปของลมสุริยะ และพลังงานของการแผ่รังสีจะผลักให้แก๊สและฝุ่นในหัวของดาวหาง ไปในทิศทางตรงข้ามกับดวงอาทิตย์ กลายเป็น หาง หางของดาวหางยาวมากเป็นหลายสิบล้านกิโลเมตร บางดวงมีหางยาว มากกว่าระยะทางระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ วัตถุที่อยู่ในหาง สะท้อนแสงอาทิตย์และเรืองแสง เราจึงมองเห็นหางของดาวหางได้ แต่ทั้งหัว เมฆไฮโดรเจน และหางบางมาก จึงสามารถมองทะลุเห็นดาวอื่น ที่อยู่เบื้องหลังได้

 

การแผ่รังสี
การแผ่รังสีจะผลักให้แก๊สและฝุ่นในหัวของดาวหางพุ่งไปในทิศทางตรงข้ามกับดวงอาทิตย์ กลายเป็นหาง
จากหนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ฯ เล่ม 31

 

หางของดาวหางมี ๒ ลักษณะ คือ หางฝุ่น และ หางแก๊ส หรือ หางพลาสมา หางฝุ่นเป็นหางโค้งและสะท้อนแสงอาทิตย์ มองเห็นได้ชัด มีสีขาวเหลือง ส่วนหางแก๊สเป็นหางตรงและเรืองแสง มีสีน้ำเงินเนื่องจากไอออนของคาร์บอนมอนอกไซด์ ดาวหางจึงไม่สว่างเพราะการเผาไหม้ แม้จะเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากก็ตาม แต่ดาวหางก็ยังปรากฏให้เราเห็นได้ เพราะดาวหางสะท้อนแสงและเรืองแสงจากพลังงานของดวงอาทิตย์

 

ดาวหาง
หัวของดาวหางฮัลเลย์มีลักษณะคล้ายมันฝรั่ง
จากหนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ฯ เล่ม 31

 

มวลส่วนใหญ่ของดาวหางอยู่ที่ใจกลางหัวซึ่งเป็นของแข็ง แต่เมื่อเทียบกับโลกแล้วอาจมีมวลเพียงหนึ่งในร้อยล้านของโลก แม้ว่า จะเล็กมาก เมื่อเปรียบเทียบกับโลก หรือดวงจันทร์ ก็สามารถคำนวณได้ว่า ดาวหางมีมวลเป็นแสนล้านตันเลยทีเดียว นับว่า มากพอๆ กับดาวเคราะห์น้อยขนาดเล็ก ดังนั้น หากดาวหางดวงใหญ่มาชนโลก ย่อมทำให้เกิดความเสียหายแก่โลก ได้มากมายมหาศาล

 

ความแตกต่างระหว่างดาวหางกับดาวเคราะห์น้อย
ดาวหาง และดาวเคราะห์น้อย เป็นวัตถุขนาดเล็ก ที่เป็นเศษเหลือ จากการสร้างดาวเคราะห์ บางดวงเป็นวัตถุอันตรายที่อาจชนโลกได้ แต่มีความแตกต่างกัน ในเรื่องตำแหน่งที่อยู่ ทางโคจร องค์ประกอบ และขนาด

 

องค์ประกอบทางเคมีของดาวหาง
จากการศึกษาวิเคราะห์ฝุ่นของดาวหางฮัลเลย์โดยยานอวกาศ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๙ พบว่า ฝุ่นในหางของดาวหางฮัลเลย์มี ๓ ประเภท คือ 

ประเภทแรก เกือบทั้งหมดเป็นธาตุคาร์บอน (C) ไฮโดรเจน (H) ออกซิเจน (O) และ ไนโตรเจน (N) ซึ่งเรียกรวมๆ กันว่า อนุภาคชอน (CHON)
ประเภทที่ ๒ มีแร่ธาตุซิลิเกต เหมือนในหินที่เป็นเปลือกโลก ดวงจันทร์ ดาวอังคาร และอุกกาบาตส่วนใหญ่
ประเภทที่ ๓ มีมากที่สุด เป็นส่วนผสมของ ๒ ประเภทแรก

 

ส่วนโมเลกุลของแก๊สที่อยู่รอบใจกลางหัวดาวหางฮัลเลย์ เป็นไอน้ำประมาณร้อยละ ๘๐ เป็นคาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) ประมาณร้อยละ ๑๐ เป็นคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2)  ประมาณร้อยละ ๓ - ๕ และเป็นพอลิเมอร์ของฟอร์มาลดีไฮด์ ร้อยละ ๒ - ๓ ที่เหลือเป็นแก๊สอื่นๆ ที่มีปริมาณน้อย

ใจกลางหัวของดาวหางฮัลเลย์ มีความหนาแน่นเพียงประมาณ ๐.๒๕ กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร ส่วนใหญ่เป็นน้ำแข็งและฝุ่น มีรูพรุนมากมาย แก๊สที่อยู่ในสถานะของแข็งอย่างอื่น อาจเป็นน้ำแข็งแห้ง (คาร์บอนไดออกไซด์แข็ง) แอมโมเนียแข็ง มีเทนแข็ง ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของอนุภาคชอนในหางฝุ่น

จากภาพถ่ายโดยยานอวกาศจอตโต (Giotto) ขององค์การอวกาศยุโรป พบว่า บริเวณใจกลางหัวของดาวหางฮัลเลย์ มีพื้นผิวที่ดำมาก ดำกว่าถ่านหิน อาจเป็นสารอินทรีย์สีคล้ายแอสฟัลต์ (asphalt) โดยมีแก๊สและฝุ่น พุ่งออกมาจากเพียงบางจุด ที่มีรอยแตกของพื้นผิว

เว็บไซต์ทรูปลูกปัญญาดอทคอมเป็นเพียงผู้ให้บริการพื้นที่เผยแพร่ความรู้เพื่อประโยชน์ของสังคม ข้อความและรูปภาพที่ปรากฏในบทความเป็นการเผยแพร่โดยผู้ใช้งาน หากพบเห็นข้อความและรูปภาพที่ไม่เหมาะสมหรือละเมิดลิขสิทธิ์ กรุณาแจ้งผู้ดูแลระบบเพื่อดำเนินการต่อไป

Content

1
แหล่งกำเนิดของดาวหาง
ดาวหางเกิดมาจากเนบิวลา (nebula) เดียวกันกับที่ก่อกำเนิดเป็นดวงอาทิตย์ ดาวเคราะห์ และบริวารอื่นๆ ของดวงอาทิตย์ ส่วนใหญ่ของเนบิวลากลายเป็นดวงอาทิตย์ ส่วนเศษที่เหลือ กลายเป็นดาวเคราะห์ ซึ่งมี ๒ พวก คือดาวเคราะห์หิน(rocky planets) ได้แก่
1K Views
  • Posted By
  • Plookpedia
  • 15 Followers
  • Follow