Home
Education
Classroom
Knowledge
Blog
TV
ธรรมะ
กิจกรรม
โครงการทรูปลูกปัญญา

วีรสตรีไทย

Posted By Plookpedia | 21 เม.ย. 59
78,520 Views

  Favorite

สมเด็จพระสุริโยทัย 

การทำสงคราม ทหารมีหน้าที่ต่อสู้กับข้าศึก ทหารคือพลเมืองชาย แต่สำหรับคนไทยแล้ว ผู้หญิง และผู้ชาย ช่วยกันต่อสู้ข้าศึก เพื่อรักษาเอกราชมาตั้งแต่สมัยโบราณ 

สมเด็จพระสุริโยทัย ทรงเป็นพระอัครมเหสีของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีของไทย 

คนไทยเทิดทูนสมเด็จพระสุริโยทัย เพราะพระองค์ทรงสละพระชนม์ชีพอย่างกล้าหาญ เพื่อป้องกันพระราชสวามีให้พ้นจากอันตรายในสนามรบระหว่างไทยกับพม่า เมื่อ พ.ศ. ๒๐๙๑ 

สงครามครั้งนี้ พระเจ้าตะเบงชะเวตี้ พระเจ้าแผ่นดินพม่ายกทัพใหญ่เข้ามารุกราน จนถึงเมืองหลวงคือ เมืองอยุธยา 

สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เสด็จขึ้นครองราชสมบัติได้เพียง ๗ เดือน ทรงจัดวางระเบียบการปกครองใหม่ ส่วนการทหาร ก็ยังมิได้ตระเตรียม เพื่อทำสงครามกับชาติใด เมื่อทราบข่าวเรื่องสงครามกองทัพพม่าได้ผ่านด่านเจดีย์สามองค์เข้ามาแล้ว พระองค์จึงเตรียมการรับข้าศึก ที่เมืองอยุธยา ทรงกวาดต้อนราษฎร ที่อยู่นอกกำแพงเมืองให้เข้ามาอยู่ในเมือง ปิดประตูเมือง จัดทหารขึ้นประจำป้อมรอบกำแพงเมือง เมืองอยุธยานี้ นอกจากจะมีกำแพงแน่นหนาแข็งแรงแล้ว ยังมีแม่น้ำล้อมรอบอีกชั้นหนึ่ง ต่อจากแม่น้ำออกไป มีทุ่งกว้าง พระองค์ทรงจัดกองทหารออกไปตั้งค่ายสกัดทุกทิศทางที่คาดว่าพม่าจะยกกองทัพเข้ามา 

ทหารและราษฎรไทยไม่เคยพบศึกใหญ่ ซึ่งจะยกมาถึงพระนครเป็นจำนวนมาก จึงเล่าลือด้วยความหวาดหวั่นเป็นอย่างยิ่ง

ถึงแม้ว่าจะทรงใช้กลยุทธ์ตั้งรับอยู่ในเมือง ซึ่งเป็นทางได้เปรียบศัตรู แต่พระองค์ต้องพระประสงค์จะได้ออกไปพระราชทานกำลังใจให้ทหารที่อยู่นอกกำแพงเมือง และจะได้ทอดพระเนตรว่า ข้าศึกมีมากดังคำเล่าลือหรือไม่ พระองค์มิได้ตั้งพระทัยที่จะออกไปต่อสู้กับข้าศึกในวันนั้น 

สมเด็จพระมหาจักรพรรดิเสด็จออกนอกพระนครพร้อมพระราเมศวร และพระมหินทราธิราช พระราชโอรส สมเด็จพระสุริโยทัย ผู้ทรงเป็นผู้มีฝีมือในการใช้อาวุธ และการขับขี่ช้าง ได้แต่งพระองค์เป็นชาย ในเครื่องทรงพระมหาอุปราช ตามเสด็จออกไปด้วย

เมื่อขบวนทัพของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ผ่านพ้นกำแพงเมืองออกไปยังทุ่งภูเขาทอง ก็เห็นกองทัพพม่าตั้งค่ายเรียงรายเต็มท้องทุ่ง

สมเด็จพระสุริโยทัย
หนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ฯ เล่ม 21

 

ฝ่ายพระเจ้าแปร ซึ่งเป็นแม่ทัพหน้า ก็ขับช้างตรงเข้ามาถึงหน้าขบวนทัพไทย สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ จึงทรงขับข้างเข้าต่อสู้กับช้างพระเจ้าแปร แต่ช้างทรงของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิเสียทีหันหนี พระเจ้าแปรจึงขับช้างติดตามอย่างกระชั้นชิด พลางเงื้อของ้าวไล่ฟันสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ

ขณะนั้นพระราชโอรสทั้งสองตกอยู่ในวงล้อมของทหารพม่า สมเด็จพระสุริโยทัยทอดพระเนครเห็นพระราชสวามีตกอยู่ในอันตราย จึงรีบไสช้างออกไปขวางไว้ พระเจ้าแปรจึงจ้วงฟันพระพาหา (บ่า) ขาดถึงพระอุระ (อก) สมเด็จพระสุริโยทัยสวรรคตทันที 

พระราเมศวร และพระมหินทราธิราช พระราชโอรส ฝ่าวงล้อมออกมาต่อสู้กับพระเจ้าแปร แล้วกันเอาช้างและพระศพกลับเข้าเมืองได้ การรบในวันนั้นจึงยุติลง

การเสียสละพระชนม์ชีพของสมเด็จพระสุริโยทัย มิใช่เกิดขึ้น เพราะความรักความกตัญญุต่อพระราชสวามีเท่านั้น แต่เป็นการเสียสละอย่างกล้าหาญ เพื่อชาติไทย เพราะหากว่า สมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงพ่ายแพ้ หรือสวรรคตในวันนั้น ก็หมายถึงการแพ้สงคราม ซึ่งชาติไทยจะต้องสูญเสียเอกราช

 

ท้าวเทพกระษัตรี-ท้าวศรีสุนทร 

เกาะถลางเป็นชื่อเก่าของเกาะภูเก็ต ส่วนเมืองถลางปัจจุบันนี้ เป็นเพียงอำเภอหนึ่งในจังหวัดภูเก็ต 

ในสมัยโบราณ เมืองถลางเป็นที่รู้จักในหมู่พ่อค้าชาวยุโรป ที่จะเดินทางผ่านไปมาในทะเลอันดามัน เพราะมีท่าจอดเรือปลอดภัย ไม่มีโจรผู้ร้าย มีอาหาร และน้ำจืดบริบูรณ์ นอกจากนี้ยังมีสินค้าสำคัญคือ แร่ดีบุก 

พม่าซึ่งมีเมืองท่าคือ มะริด อยู่เหนือเขตแดนไทย จึงคิดว่า จะเข้าตีเอาเมืองถลางได้โดยง่ายเ พราะอยู่โดดเดี่ยว

พม่าส่งกองทัพเรือ เริ่มตีเมืองตะกั่วทุ่ง ตะกั่วป่า (ปัจจุบันอยู่ในจังหวัดพังงา) ซึ่งอยู่บนแผ่นดินใหญ่เหนือเกาะถลาง และสามารถตีได้โดยง่ายทั้งสองเมือง แล้วพม่าจึงมุ่งลงใต้ไปยังเมืองถลาง

ท้าวเทพกระษัตรี-ท้าวศรีสุนทร
หนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ฯ เล่ม 21

ก่อนข่าวศึกพม่าจะมาถึงเมืองถลาง เจ้าเมืองถลางถึงแก่กรรม และยังมิได้แต่งตั้งผู้ใดขึ้นแทน คุณหญิงจัน ภริยาท่านเจ้าเมืองมิได้ย่อท้อเสียขวัญ ท่านชักชวนน้องชาย น้องสาว และเครือญาติ พร้อมพลเมืองเป็นชายหญิง จัดฝึกทหาร หาอาวุธ ตั้งค่ายรับข้าศึกในตำบลที่ทหารเรือพม่าจะยกพลขึ้นบก

เจ้าเมืองถลางถึงแก่กรรม
หนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ฯ เล่ม 21


พลเมืองถลางทั้งหญิงชาย เห็นความองอาจกล้าหาญของคุณหญิงจัน ผู้ไม่หวาดกลัวพม่า ซึ่งตีเมืองตะกั่วป่า ตะกั่วทุ่ง ที่มีเจ้าเมืองเป็นชาย และมีอาวุธมากกว่าเมืองถลาง แตกไปแล้ว 

ชาวเมืองถลางทุกคน ทั้งหญิงชาย จึงพร้อมใจกันสละชีวิต ทำการสู้รบตามแผนของคุณหญิงจัน ด้วยความเคารพในน้ำใจ 

พม่าล้อมเมืองถลางอยู่เดือนกว่า ก็ไม่สามารถตีได้ จึงถอยทัพกลับไป 

เมื่อสงครามสงบลง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงทราบถึงวีรกรรมของคุณหญิงจัน และคุณมุก น้องสาว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานบรรดาศักดิ์ คุณหญิงจัน เป็นท้าวเทพกระษัตรี และคุณมุกน้องสาว เป็นท้าวศรีสุนทร

 

ท้าวสุรนารี

เจ้าอนุวงศ์เจ้าเมืองเวียงจันทน์ ยกกองทัพมายังเมืองนครราชสีมา กวาดต้อนพลเมืองชาย หญิง คนชรา และเด็ก เอาไปเวียงจันทน์ การที่เจ้าอนุวงศ์ใช้กำลังเข้าโจมตีเมืองนครราชสีมาได้โดยง่าย ก็เนื่องจากเจ้าเมือง และพระยาปลัด ที่ปรึกษาเจ้าเมือง ไปราชการ ที่เมืองขุขันธ์ (ปัจจุบันอยู่ในจังหวัดศรีสะเกษ) ดังนั้นเมืองนครราชสีมา จึงไม่มีผู้มีอำนาจจะต่อสู้กับเจ้าอนุวงศ์ได้ 

นายทหารลาวควบคุมพลเมือง เดินทางออกจากเมืองนครราชสีมา มุ่งตรงไปเวียงจันทน์ 

พระยาปลัดทราบว่า พลเมืองนครราชสีมาถูกกวาดต้อนไปแล้ว จึงขออนุญาตเจ้าเมืองนครราชสีมากลับไปหาทางช่วยเหลือ 

เมื่อพระยาปลัดมาถึงนครราชสีมาก็ได้เฝ้าเจ้าอนุวงศ์ และยอมสวามิภักดิ์ เพื่อจะได้เดินทางไปเวียงจันทน์ด้วย 

เจ้าอนุวงศ์ก็ยินยอมให้ติดตามไป และได้เร่งเดินทางไป จนได้พบกับภริยาพระยาปลัดคือ คุณหญิงโม ซึ่งอยู่ในกลุ่มนี้ 

คุณหญิงโมชักชวนให้คนไทยยอมอ่อนน้อม ไม่แสดงการขัดขืนเป็นศัตรู นอกจากนี้ยังให้หญิงไทยช่วยหาอาหารเผื่อแผ่แก่ทหารลาว ในที่สุดทหารลาวก็วางใจ และสงสาร ต่อมาคนไทยจึงขอปืน มีด และขวาน เพื่อเอาไปล่าสัตว์หาอาหารมาเลี้ยงกัน ทหารลาว ผู้ได้ประโยชน์ด้วย ก็ยินยอม 

คนไทยจึงแอบเอามีดและขวานไปตัดไม้มาทำอาวุธ เช่น แหลน หลาว และไม้พลอง ซ่อนไว้ 

คุณหญิงโมแนะนำให้ผู้หญิงไทยทำอาหาร และรับใช้ทหารลาว จนสนิทสนมกันดี

ในที่สุดคุณหญิงโมก็นัดหมายวันสำคัญ คือ จัดงานเลี้ยงอย่างดี มีสุรา อาหาร เป็นพิเศษ เมื่อทหารลาวนอนหลับ เพราะความมึนเมา คนไทยทั้งหญิงชายก็ให้สัญญาณลงมือฆ่าทหารลาวพร้อมกันทุกหน่วย นายทหารผู้ควบคุม และทหารลาวตายเกือบหมด เหลือเพียงเล็กน้อย ก็หนีไปนครราชสีมา คุณหญิงโม และพระยาปลัดสามี จะกลับไปนครราชสีมาก็ไม่ได้ เพราะเจ้าอนุวงศ์ยังอยู่ จึงตัดสินใจช่วยกันตั้งค่ายต่อสู้กับลาว ที่ทุ่งสำริด ไม่ห่างจากเมืองนครราชสีมา 

เจ้าอนุวงศ์ส่งทหารมาสามพันคน เพื่อปราบเชลยไทย แต่พระยาปลัดรวบรวมพลเมืองชายเป็นกองทหาร ใช้อาวุธของลาว ที่ริบไว้ได้ ส่วนคุณหญิงโม ก็คุมพลเมืองหญิงถืออาวุธทำเองบ้าง ของลาวบ้าง เข้าช่วยผู้ชายต่อสู้อย่างกล้าหาญ จนทหารลาวตายไปกว่าสองพันคน ในที่สุดทหารลาวก็ยอมแพ้ ถอยกลับไป 

เมื่อสงครามสงบลง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานบรรดาศักดิ์คุณหญิงโมเป็น ท้าวสุรนารี เพื่อยกย่องความกล้าหาญของสตรี

ท้าวสุรนารี
หนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ฯ เล่ม 21

 

 

 

 สมเด็จพระสุริโยทัย 

วีรกรรมของสมเด็จพระสุริโยทัย เกิดขึ้นในระหว่างสงครามไทยกับพม่า เมื่อ พ.ศ. ๒๐๙๑ นั้น ยังมีข้อความควรทราบ แต่มิได้กล่าวในพระราชพงศาวดารหลายประการ ดังนี้

๑. เคยมีข้อความในพงศาวดารไทยกล่าวว่า พระเจ้าตะเบงชะเวตี้ได้ยกกองทัพมาตีเมืองไทยก่อนสงครามครั้งนี้แล้วครั้งหนึ่ง ข้อความนี้ผิด 

สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอธิบายว่า ผู้เขียนพงศาวดารตอนนั้น คำนวณปีครองราชย์ของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิผิดไป ทรงอธิบายแก้ข้อความนี้ในพระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา ในส่วนคำอธิบาย ในตอนท้ายเล่ม ๑ 

ดังนั้นการยกทัพมาตีเมืองไทยครั้งนี้ จึงเป็นครั้งแรก 

๒. เหตุที่ไทยกับพม่า ไม่เคยทำสงครามกันมาก่อน ทั้งนี้เพราะมีราชอาณาจักรมอญตั้งอยู่ระหว่างไทยกับพม่า และไทยก็มีสัมพันธภาพอันดีกับมอญ ตั้งแต่สมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช 

๓. ในเวลาต่อมา พม่าเริ่มมีอำนาจทางทหารสูงขึ้น ในสมัยพระเจ้าตะเบงชะเวตี้ จนสามารถตีอาณาจักรมอญ ซึ่งมีความเจริญรุ่งเรืองมาช้านาน ตกเป็นเมืองขึ้นของพม่าได้ แสดงว่า พม่ามีอำนาจสูงสุดในภูมิภาคนี้ 

๔. พระเจ้าตะเบงชะเวตี้ ทรงย้ายเมืองหลวงของพม่าจากเมืองตองอู ไปอยู่ที่เมืองหงสาวดี ซึ่งเป็นเมืองหลวงของมอญ ประชาชนพม่า มอญ และชาติอื่นๆ จึงเรียกพระเจ้าแผ่นดินพม่าว่า พระเจ้าหงสาวดี ทำให้บางคนเข้าใจผิดว่า พระเจ้าหงสาวดีเป็นชนชาติมอญ 

ข้อความทั้ง ๔ ประการนี้คงจะทำให้เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นในสงคราม พ.ศ. ๒๐๙๑ ดีขึ้น 

ถึงแม้พระเจ้าตะเบงชะเวตี้ได้ทรงทราบถึงความสำคัญของราชอาณาจักรไทย แต่ทรงเปรียบเทียบว่า พระองค์มีกำลังทหาร พร้อมทั้งแม่ทัพ ซึ่งมีกำลังความสามารถ และจำนวนมากกว่าฝ่ายไทย หากจะยกกำลังมาตีราชอาณาจักรไทยไว้เป็นประเทศราช ก็คงทำได้ไม่ยากนัก 

พระเจ้าตะเบงชะเวตี้ จึงจัดกองทัพใหญ่ประกอบด้วย ช้าง ม้า และทหารสามแสนคน พร้อมทั้งแม่ทัพผู้มีฝีมืออีก ๓ ท่าน คือ 

๑. บุเรงนอง พระมหาอุปราช 
๒. พระเจ้าแปร 
๓. พระยาพะสิม

กองทัพใหญ่ของพม่าผ่านเขตแดนไทย มาจนถึงเมืองกาญจนบุรี และเมืองสุพรรณบุรี ข้าราชการ และพลเมืองทั้งสองเมือง ไม่สามารถต่อต้านทหารพม่าได้

ข่าวกองทัพพม่าที่ใหญ่ยิ่ง ทำให้คนไทยเล่าลือกันด้วยความหวาดกลัวทั่วเมืองอยุธยา 

สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ทรงทราบว่า เมืองหน้าด่านทั้งสอง เสียแก่พม่าแล้ว จึงทรงปรึกษาข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ว่า ควรจะรับศึกอย่างไร ในที่สุดลงความเห็นว่า ให้เตรียมรับศึกที่อยุธยา โดยกวาดต้อนพลเมือง ที่อยู่บริเวณนอกเมือง ให้เข้ามาอยู่ในเมือง จัดทหารขึ้นประจำป้อมบนกำแพงเมือง ซึ่งมีประมาณ ๑๖ ป้อม นอกจากนี้แล้วยังส่งนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ออกไปตั้งค่ายรอบเมืองอีก ๔ ค่าย ในทิศทางซึ่งคาดว่า กองทัพพม่าจะยกเข้ามาคือ ทางเหนือ ทางใต้ ทางตะวันตก และทางตะวันออก 

ที่ทุ่งนารอบเมืองอยุธยานั้นเป็นที่ลุ่ม น้ำจะเริ่มท่วมตั้งแต่ฤดูฝนคือ เดือนกรกฎาคม และจะมีน้ำท่วมขังติดต่อไป จนถึงฤดูน้ำเหนือไหลมาเพิ่มคือ เดือนตุลาคม และเดือนพฤศจิกายน 

กองทัพพม่ายกมาถึงอยุธยาประมาณเดือนมีนาคม ดังนั้นจึงจะมีเวลาเพียง ๕ เดือนจะถึงฤดูฝน ถ้าเข้าเมืองอยุธยาไม่ได้ตามเวลานี้ ก็จะต้องยกทัพกลับ โดยที่ฝ่ายไทยไม่ต้องทำการรบ 

นอกจากนี้ อยุธยายังมีน้ำล้อมรอบต่อจากกำแพง ซึ่งแข็งแรง ในลำน้ำนี้สามารถนำเรือบรรทุกปืนใหญ่ไล่ยิงข้าศึก ซึ่งจะเข้ามาใกล้ฝั่งได้ 

ถ้าหากสมเด็จพระมหาจักรพรรดิจะประทับอยู่ในกำแพงเมือง คงจะไม่มีเหตุภัยเกิดขึ้น

ทุ่งนาที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยามักจะมีน้ำท่วมในฤดูฝน
หนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ฯ เล่ม 21

สาเหตุที่สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ตัดสินพระทัยยกกองทัพออกมานอกกำแพงเมืองก็คือ พระองค์ต้องประสงค์จะเสด็จออก เพื่อบำรุงขวัญทหาร และอยากทรงทราบความจริงว่า ทหารข้าศึกมีจำนวนมากดังคำเล่าลือหรือไม่ 

ในการที่ตัดสินพระทัยจะะเสด็จออกไปนอกเมืองนี้ ทำให้สมเด็จพระสุรโยทัยผู้ทรงมีความสามารถในการใช้อาวุธ และทรงบังคับช้างได้อย่างชำนาญ ทรงมีความห่วงใยพระราชสวามี จึงทูลขอตามเสด็จ โดยแต่งพระองค์เป็นชายในเครื่องทรงพระมหาอุปราช ยังมีพระโอรสทั้งสองพระองค์ คือ พระราเมศวร และพระมหินทราธิราช ตามเสด็จด้วย 

ขบวนทัพของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เคลื่อนออกจากกำแพงเมืองไปทางทิศเหนือเข้าสู่บริเวณทุ่งภูเขาทองกว้างใหญ่ บริเวณนี้เป็นที่ตั้งของกองทัพหน้าของพม่า ซึ่งมีพระเจ้าแปรเป็นแม่ทัพ กองทหารพม่าตั้งค่ายเรียงรายเต็มท้องทุ่ง สมดังคำเล่าลือ 

พระเจ้าแปรประทับอยู่บนคอช้าง เตรียมพบรบพร้อมอยู่ เพราะได้รับข่าวว่า สมเด็จพระมหาจักรพรรดิยกทัพออกมาจากกำแพงเมืองแล้ว เมื่อทั้งสองขบวนเข้ามาใกล้กัน พระเจ้าแปรจึงให้สัญญาณพลรบเข้าโจมตีทันที

ถึงแม้สมเด็จพระมหาจักรพรรดิจะมิได้เตรียมพระองค์ เพื่อออกมาทำศึก แต่ก็ทรงต่อสู้กับพระเจ้าแปรอย่างสมพระเกียรติ หากแต่ว่าสมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงมีโอกาสออกสนามรบน้อยกว่าพระเจ้าแปร เพราะทางพม่ามีการรบพุ่งติดต่อกันมานานแล้ว

ในที่สุดสมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงเสียที ช้างพระที่นั่งหันหลังหนี พระเจ้าแปรจึงขับช้างไล่ฟันสมเด็จพระมหาจักรพรรดิไปอย่างกระชั้นชิด สมเด็จพระสุริโยทัยเห็นพระราชสวามีตกอยู่ในอันตราย จึงรีบขับช้างเข้าขวางไว้ โดยมิได้คำนึงว่า อยู่ในลักษณะเสียเปรียบ

ช้างพระเจ้าแปรเสยช้างสมเด็จพระสุริโยทัย จนเท้าหน้าทั้งสองลอยพ้นพื้นดิน แล้วพระเจ้าแปรจึงใช้ของ้าวฟันสมเด็จพระสุริโยทัยจากพระพาหา (บ่า) ขาดมาถึงกลางพระองค์ จึงสวรรคตบนคอช้าง ส่วนพระราชโอรสทั้งสองขับช้างเข้ากันข้าศึก นำช้างพร้อมทั้งพระศพสมเด็จพระราชชนนีกลับเข้าเมืองไปได้ 

การต่อสู้ในวันนั้นจึงยุติลง ในวันต่อมากองทัพพม่าก็ตีค่ายทหารไทย ที่อยู่รอบนอกเมืองได้หมด แต่ทหารพม่าทุกกองทัพ ไม่สามารถตีเมืองอยุธยาได้ 

เวลาล่วงไป กองทัพพม่าเริ่มขาดเสบียงอาหาร เพราะมีจำนวนมาก ขณะนั้นกองทัพไทยจากพิษณุโลก และหัวเมืองฝ่ายเหนือ เตรียมลงมาช่วยล้อมกองทัพพม่า พระเจ้าตะเบงชะเวตี้จึงตัดสินพระทัยยกทัพกลับทางเหนือผ่านเมืองตาก ในการที่ไม่กลับทางด่านเจดีย์ ๓ องค์ เพราะได้ทำลายแหล่งเสบียงอาหารหมดแล้ว 

สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ได้พระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระสุริโยทัยที่สวนหลวง แล้วสร้างวัดอุทิศพระราชกุศลพระราชทาน วัดนี้มีชื่อว่า วัดสวนหลวงสบสวรรค์ แต่ไม่มีพระนามสมเด็จพระสุริโยทัยปรากฏอยู่ด้วย 

เวลาผ่านไปหลายร้อยปี จนกรุงศรีอยุธยาเสียเอกราชครั้งสุดท้าย เมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๐ บ้านเมืองบอบช้ำมาก บ้านเรือนราษฎร วัด วัง ถูกทำลาย เพราะไฟไหม้ และด้วยการขุดทำลายของโจรผู้ร้าย

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ แห่งราชวงศ์จักรี ทรงสนพระทัยในประวัติศาสตร์ และโบราณคดี ได้ทรงฟื้นฟูการศึกษาประวัติศาสตร์สมัยอยุธยา และจะเสด็จมาทรงประกอบพระราชพิธีบวงสรวงอดีตมหาราช ที่กรุงศรีอยุธยา ในขณะนั้น มีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ท่านหนึ่งชื่อ พระยาโบราณราชธานินทร์ (พร เดชะคุปต์) ตำแหน่งสมุหเทศาภิบาล มณฑลอยุธยา เป็นผู้สนใจในประวัติศาสตร์ และโบราณคดีของกรุงศรีอยุธยา ท่านผู้นี้สามารถสืบหาพื้นที่ ซึ่งเคยเป็นวัดสวนหลวงสบสวรรค์ได้ แต่ไม่มีโบสถ์วิหาร ที่จะแสดงว่า เป็นวัดเหลืออยู่ มีแต่พระเจดีย์องค์เดียว และพระเจดีย์องค์นี้อยู่ในบริเวณกรมทหารบก

ครั้นถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงรื้อฟื้นการค้นหาวัดสวนหลวงสบสวรรค์อีกครั้งหนึ่ง พระองค์ได้เสด็จไปสักการะพระเจดีย์ ซึ่งทรงแน่พระทัยว่า คงเป็นที่เก็บพระบรมอัฐิสมเด็จพระสุริโยทัย และให้เรียกพระเจดีย์นี้ว่า "พระเจดีย์ศรีสุริโยทัย" นอกจากนี้ข้าราชบริพารของพระองค์ ยังขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต จารึกข้อความบนแผ่นศิลาอ่อน กล่าวถึงวีรกรรมของสมเด็จพระสุริโยทัย ตั้งเอาไว้ในบริเวณใกล้เคียงกับพระเจดีย์องค์นี้ด้วย นับว่าเป็นครั้งแรกที่ระบุพระนามของสมเด็จพระสุริโยทัย

พระเจดีย์ศรีสุริโยทัย
หนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ฯ เล่ม 21

กาลล่วงมาจนถึงรัชกาลปัจจุบัน สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงสนพระราชหฤทัยในประวัติศาสตร์ และโบราณสถาน ในอยุธยาเป็นอย่างยิ่ง ทรงมีพระราชปรารภว่า ควรจะสร้างพระราชานุสาวรีย์ถวายสมเด็จพระสุริโยทัยในวโรกาสที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ ๖๐ พรรษา พ.ศ. ๒๕๓๕ รัฐบาลจึงจัดการสร้างพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระสุริโยทัยถวาย เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ

พระราชานุสาวรีย์จารึกวีรกรรมสมเด็จพระสุริโยทัย
หนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ฯ เล่ม 21

คณะกรรมการเลือกทุ่งนาบริเวณทุ่งมะขามหย่อง ทางทิศเหนือของทุ่งภูเขาทอง ซึ่งเป็นสมรภูมิที่สวรรคต เนื่องจากบริเวณทุ่งนานี้ เป็นที่ลุ่ม มีน้ำท่วมขังเกือบตลอดปี จึงมีปัญหาเรื่องการต้องถมที่ ซึ่งต้องใช้ทุนทรัพย์มาก แต่ด้วยพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงพระราชทานคำแนะนำให้ขุดให้ลึกลงไปอีก จนสามารถใช้เป็นอ่างเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง แล้วนำดินที่ขุดขึ้นมาไปถมส่วนหนึ่งให้เป็นเนินดิน เชื่อมต่อไปถึงขอบทุ่ง ซึ่งเป็นที่แห้ง เพื่อสร้างพระราชานุสาวรีย์บนเนินดินแห่งนี้ ส่วนที่เป็นน้ำให้สร้างค่ายพม่าโผล่ให้เป็นปลายรั้วของค่าย และป้อมบนประตูค่าย อนุชนไทยจะได้เห็นของจริงว่า เวลาน้ำท่วมท้องทุ่ง ค่ายพม่าจะต้องแช่อยู่ในน้ำ

พระราชานุสาวรีย์ที่ทุ่งมะขามหย่อง เป็นอุทยานที่สวยงาม ประกอบด้วยสวน ไม้ดอก ไม้ใบ และอ่างเก็บน้ำ

พระราชานุสาวรีย์ที่ทุ่งมะขามหย่อง
หนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ฯ เล่ม 21

พระราชานุสาวรีย์ที่ทุ่งมะขามหย่อง เป็นอุทยานที่สวยงาม ประกอบด้วยสวน ไม้ดอก ไม้ใบ และอ่างเก็บน้ำ

องค์ประธานของพระราชานุสาวรีย์ คือ พระรูปองค์สมเด็จพระสุริโยทัย แต่งพระองค์เป็นพระมหาอุปราชประทับบนคอช้าง มีขนาดพระองค์ และตัวช้างใหญ่ขนาดหนึ่งเท่าครึ่งของขนาดจริง เพราะตั้งอยู่บนพระแท่นสูงโดดเด่น

มีองค์ประกอบพระราชานุสาวรีย์ตั้งอยู่เบื้องหน้า ได้แก่ แม่ทัพทั้ง ๔ ของพม่า นั่งอยู่บนคอช้าง หันหน้าตรงกับพระราชานุสาวรีย์ แต่เนื่องจากองค์ประกอบนี้ตั้งอยู่ บนลานดินเบื้องล่าง จึงสร้างขนาดเท่าของจริง
อนุสาวรีย์แม่ทัพพม่าทั้ง ๔ จากซ้ายไปขวา ได้แก่ 
พระมหาอุปราชบุเรงนอง 
พระเจ้าแปร 
พระเจ้าตะเบงชะเวตี้ 
พระยาพะสิม 
พระราชานุสาวรีย์พร้อมทั้งองค์ประกอบ สร้างเสร็จ เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๘

อนุสาวรีย์แม่ทัพฝ่ายพม่า
หนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ฯ เล่ม 21

ท้าวเทพกระษัตรี - ท้าวศรีสุนทร 

พม่ายกกองทัพเรือมาตีเมืองท่าของไทย ทางฝั่งทะเลอันดามัน ก็เพื่อแย่งเมืองท่า จอดรับส่งสินค้า ที่จะผ่านไปมาระหว่างยุโรปกับประเทศฝรั่งตะวันออก 

จุดมุ่งหมายของพม่า นอกจากจะยึดเมืองท่า ยังต้องการทรัพยากรมีค่าในเมืองเหล่านี้คือ แร่ดีบุก 

พ.ศ. ๒๓๒๘ กองทัพเรือพม่าจึงเดินทางมาตีเมืองตะกั่วทุ่ง เมืองตะกั่วป่า (ปัจจุบันอยู่ในจังหวัดพังงา) พม่าตีเมืองทั้งสองได้ในเวลาไม่ช้า แล้วเดินทางมุ่งไปยังเมืองถลาง ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะถลาง (ในปัจจุบันนี้คือ เกาะภูเก็ต) 

เมื่อมีข่าวว่า พม่ากำลังยกทัพจะตีเมืองถลาง ท่านเจ้าเมืองซึ่งป่วยอยู่ก็ได้ถึงแก่กรรม ทางราชการยังมิได้ตั้งผู้ใดขึ้นดำรงตำแหน่งแทน คุณหญิงจันภริยาของท่าน เป็นผู้องอาจกล้าหาญ ถึงแม้จะทราบว่า เมืองตะกั่วป่า เมืองตะกั่วทุ่ง ซึ่งมีเจ้าเมืองเป็นชายได้แพ้แก่พม่าไปแล้ว ท่านก็ยังไม่คิดจะยอมให้กองทัพพม่าเข้ายึดเมืองเอาง่ายๆ 

ท่านเป็นผู้นำชักชวนน้อง หญิง ชาย เครือญาติ และพลเมืองหญิงชายให้สละ ชีวิตป้องกันบ้านเมืองไว้จนวาระสุดท้าย ท่านจัดหาอาวุธ ฝึกหัดพลเมืองให้ใช้อาวุธใน ระยะเวลาอันสั้นด้วยความรีบด่วน แบ่งแยกกันทำค่ายไว้รับกองทัพเรือพม่า ในจุดที่จะยก พลขึ้นบก 

การจัดกองทัพพลเรือนหญิงชายที่ไม่เคยเป็นทหารมาก่อน เป็นงานที่ยาก แต่เมื่อทุกคนรักชาติ และนับถือคุณหญิงจัน กองทัพพลเรือนก็สามารถควบคุมการรบได้อย่างดี 

พม่าล้อมจุดสำคัญของเมืองถลางเป็นเวลาเดือนกว่า จนขาดเสบียงอาหาร และไม่สามารถทำสงครามคืบหน้าไปได้ จึงต้องยกกองทัพกลับ 

ภายหลังเมื่อสงครามสิ้นสุดลง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงทราบถึงวีรกรรมของคุณหญิงจัน และคุณมุก น้องสาว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานบรรดาศักดิ์ คุณหญิงจัน เป็นท้าวเทพกระษัตรี และคุณมุก น้องสาว เป็นท้าวศรีสุนทร 

ท้าวเทพกระษัตรีมีบุตรชายเป็นต้นสกุล ประทีป ณ ถลาง 
น้องชายของท่านเป็นต้นสกุล ณ ถลาง 
ส่วนท้าวศรีสุนทร ไม่ปรากฏว่า มีบุตรชายสืบสกุล 

ท้าวสุรนารี 

เมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๙ ต้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีเหตุการณ์ ที่ไม่มีผู้ใดเชื่อว่า จะเป็นไปได้ คือ เจ้าอนุวงศ์แห่งเมืองเวียงจันทน์ ผู้ซึ่งมีความสัมพันธ์อันดีกับเมืองไทย ได้ยกกองทัพมาถึงเมืองนครราชสีมา แล้วออกคำสั่งให้กวาดต้อนพลเมืองทั้งหมด เดินทางไปเวียงจันทน์ 

ในขณะนั้นเจ้าเมืองนครราชสีมา และพระยาปลัด (ที่ปรึกษาเจ้าเมือง) เดินทางไปราชการที่เมืองขุขันธ์ (ปัจจุบันเป็นอำเภอในจังหวัดศรีสะเกษ) ข้าราชการที่เหลืออยู่ จึงมีแต่ชั้นผู้น้อย ไม่มีอำนาจจะต่อสู้เจ้าอนุวงศ์ได้ ดังนั้นทหารลาวจึงนำพลเมืองนครราชสีมา เดินทางออกไปเมืองเวียงจันทน์ ส่วนเจ้าอนุวงศ์อยู่ในเมืองเพราะเลือกเมืองนครราชสีมา เป็นศูนย์กลางการชุมนุมกองทัพลาว เนื่องจากเป็นเมืองที่มีอาหารบริบูรณ์และกึ่งกลางทาง เข้ามายังกรุงเทพมหานคร 

ฝ่ายพระยาปลัด ซึ่งอยู่ที่เมืองขุขันธ์ทราบเรื่องว่า เจ้าอนุวงศ์เข้าเมืองนครราชสีมา ได้แล้ว กำลังให้ทหารนำพลเมืองไปนครเวียงจันทน์ พระยาปลัดเป็นห่วงพลเมือง และครอบครัว จึงขออนุญาตเจ้าเมืองนครราชสีมาไปหาเจ้าอนุวงศ์ ยอมเป็นเชลยเพื่อเดินทางไปกับ ครอบครัวชาวนครราชสีมา 

เมื่อพระยาปลัดไปถึงนครราชสีมา ทหารลาวคุมเชลยออกไปแล้ว พระยาปลัดจึงติดตามไปจนพบกัน พระยาปลัดมีคู่คิดคือ คุณหญิงโม ซึ่งเป็นภริยาของท่าน ได้วางแผนให้คนไทยอ่อนน้อมเกรงกลัวทหารลาว ไม่แสดงความโกรธแค้นเป็นศัตรู พวกผู้หญิงก็ให้ช่วยทำอาหารเลี้ยงพวกลาว เมื่อนายทหารลาวต้องการหญิงไทยคนใด ก็ให้ยินยอมไม่ขัดขืน ทหารลาวจึงเห็นใจและสงสารคนไทย ครั้นแล้วคนไทยก็ขอมีด ขวาน และปืน เพื่อไปล่าสัตว์ หาผักมาทำอาหารเลี้ยงทหารลาว ซึ่งทางทหารลาวก็ยินยอมให้ตามคำขอร้อง 

คนไทยแอบนำมีด ขวาน ไปตัดไม้ทำหอก หลาว และไม้พลอง แอบซ่อนไว้ 

เมื่อมีโอกาสเหมาะ วันหนึ่งจึงเลี้ยงอาหาร และสุราพวกทหารลาวเป็นพิเศษ เมื่อทหารเมาสุรา และนอนหลับ คนไทยหญิงชายก็จับอาวุธขึ้นฆ่าทหารลาวตายเป็นอันมาก และได้อาวุธทหารลาวไว้ใช้ต่อไป ทหารที่รอดตายก็หนีไปเมืองนครราชสีมา ฝ่ายไทยจึงมีกำลัง ใจรวมกันตั้งค่ายต่อสู้ลาวที่ทุ่งสำริด เพราะจะกลับเมืองนครราชสีมาก็ไม่ได้ เจ้าอนุวงศ์ส่ง ทหารสามพันคนมาปราบ ทางฝ่ายไทยมีอาวุธซึ่งยึดได้จากลาวบ้าง ทำเองบ้าง ลุกขึ้นต่อสู้ อย่างเข้มแข็ง คุณหญิงโมเป็นหัวหน้าฝ่ายผู้หญิง เข้าต่อสู้ข้าศึกอย่างกล้าหาญทัดเทียมกับผู้ชาย ทหารลาวเสียชีวิตไปประมาณสองพันคน จึงยอมถอยทัพกลับนครราชสีมา เจ้าอนุวงศ์ไม่ ทราบแน่ว่าทางเชลยไทยมีกำลังขึ้นมาอย่างไร เข้าใจว่าคงมีทัพเจ้าเมืองนครราชสีมามาช่วย หรือกองทัพมาจากกรุงเทพฯ ส่งมา ดังนั้นจึงล้มเลิกความตั้งใจจะมาตีกรุงเทพมหานคร แล้วสั่งให้เผาเมืองนครราชสีมา ถอยทัพกลับไปตั้งรับกองทัพไทยแถวหัวเมืองภาคอีสาน และในที่สุดก็พ่ายแพ้แก่กองทัพไทย 

เมื่อสงครามสงบแล้ว พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงทราบถึงความกล้าหาญของคุณหญิงโม จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นท้าวสุรนารี 

ส่วนพระยาปลัดผู้สามี ก็ได้รับการเลื่อนยศขึ้นเป็น เจ้าพระยามหิศราธิบดี 

ท้าวสุรนารีถึงแก่อสัญกรรม พ.ศ. ๒๓๙๕ เมื่ออายุ ๘๑ ปี ท่านไม่มีบุตรธิดา สืบสกุล

 

อนุสาวรีย์ท้ายเทพกระษัตรี-ท้าวศรีสุนทร ที่อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต
หนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ฯ เล่ม 21

 

เว็บไซต์ทรูปลูกปัญญาดอทคอมเป็นเพียงผู้ให้บริการพื้นที่เผยแพร่ความรู้เพื่อประโยชน์ของสังคม ข้อความและรูปภาพที่ปรากฏในบทความเป็นการเผยแพร่โดยผู้ใช้งาน หากพบเห็นข้อความและรูปภาพที่ไม่เหมาะสมหรือละเมิดลิขสิทธิ์ กรุณาแจ้งผู้ดูแลระบบเพื่อดำเนินการต่อไป
Tags

Content

1
สมเด็จพระสุริโยทัย พระวีรกษัตรีแห่งกรุงศรีอยุธยา
การศึกษาประวัติศาสตร์ชาติไทยนั้น เคยมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า เพราะเหตุใดจึงมีเหตุการณ์ทำศึกสงครามอยู่มาก และในการทำศึกสู้รบนั้น ก็ดูเหมือนจะมีชาติพม่าเป็นคู่กรณี ที่ขับเคี่ยวต่อสู้กันมาอย่างยาวนานหลายร้อยปี ความดังกล่าวอาจอธิบายได้ว่า เพราะในอดีตนั้น ยังเป็
3K Views
4
พิธีเปิดอนุสาวรีย์ท้าวเทพกษัตรีและท้าวศรีสุนทร
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ ทรงเปิดอนุสาวรีย์ท้าวเทพกษัตรีและท้าวศรีสุนทรที่อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต ท้าวเทพกระษัตรี ท้าวศรีสุนทร เป็นวีรสตรีไทยที่ป้องกันเมืองถลางให้พ้นจากข้าศึกชาวพม่าได้ในสงครามเก้าทัพ สมัยรัตนโ
4K Views
  • Posted By
  • Plookpedia
  • 15 Followers
  • Follow