ช่วงนั้นต้องทำการบ้านเยอะมากเพราะฟรังไม่เคยมีประสบการณ์ด้านการแสดงมาก่อน และบทมันก็ค่อนข้างไกลตัวและยาก แต่ทางนาดาวเขามีเวิร์กช็อป ทำให้ได้เรียนการแสดง ทำความเข้าใจตัวละคร และได้รู้ว่าการแสดงที่ดี เราต้องเข้าใจในบทบาทของตัวละครจริง ๆ ต้องรักในตัวละคร คนดูอาจจะคิดว่าออยนิสัยไม่ดี แต่เราเป็นคนแสดงต้องเข้าใจเขา ต้องเป็นเขาจริง ๆ ต้องทำให้คนดูเข้าใจออยเหมือนที่เราเข้าใจ นอกจากจะได้เรียนการแสดงแล้ว ยังได้รับคำแนะนำจากพี่ ๆ ว่าต้องตีความบทไปทางไหน พอหน้าเซตพี่ผู้กำกับและคนในกองก็มีส่วนช่วยเยอะ ทำให้สุดท้ายก็สามารถแสดงออกมาได้ค่ะ
ฟรังว่าไม่ใช่เฉพาะบทของออยนะ แต่ว่าซีรีส์ฮอร์โมนฯ ให้ข้อคิดในหลาย ๆ เรื่องเยอะมาก พี่ผู้กำกับเคยบอกว่าจุดประสงค์ของการสร้างซีรีส์เรื่องนี้เหมือนอยากให้คนเข้าใจกันมากขึ้น อย่างที่เห็นในฮอร์โมนตัวละครทุกตัวต่างก็มีเบื้องหลังชีวิต ทั้งด้านที่บ้าน ด้านปมชีวิตต่าง ๆ พอเราได้เล่นเรื่องนี้ทำให้เข้าใจเลยว่า สิ่งที่เราเห็นมันไม่ใช่ทั้งหมดในชีวิตของคน ๆ หนึ่ง มันยังมีเบื้องหลังในชีวิตของเขาอีก ทำให้เราไม่อยากตัดสินใครหรือเกลียดใครตั้งแต่แรกพบ เพราะว่าทุกคนน่าจะมีเบื้องหลัง มีอะไรที่เราไม่รู้อีกมากมาย ทั้งหมดนี้ทำให้เราไม่ตัดสินใครง่าย ๆ และเข้าใจคนอื่นมากขึ้นค่ะ
บทของออยเป็นเด็กนักเรียน ม.ปลาย อายุ 17 ปี ซึ่งช่วงที่เล่นซีรีส์ ฟรังก็อายุประมาณ 17-18 ปี เป็นช่วงที่เริ่มเข้ามาทำงานในวงการบันเทิง ค่อนข้างเป็นสิ่งที่ตัวเราไม่ได้คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นกับชีวิต ก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดีค่ะ พอมาเล่นซีรีส์แล้ว ถามว่าเคยลังเลว่าจะเรียนด้านการแสดงไหม เอาจริง ๆ ฟรังไม่เคยลังเลเลย ถึงจะมาแสดงแล้วรู้สึกชอบ แต่ว่าหมอเป็นสิ่งที่อยากทำมาตั้งแต่ก่อนเข้าวงการแล้ว พอได้เข้าวงการก็ไม่ได้ทิ้งความฝันนั้น อยากทำไปด้วยกันค่ะ
ตอนได้ยินครั้งแรกนึกถึงเรตที่ขึ้นในทีวีก่อนเข้ารายการ ฟีลแบบ 18+ ต้องโตถึงจะดูได้ ฟีลแบบหนังจะต้องมีวิจารณญาณในการรับชม ถามว่าเคยคิดไหมว่า 18 แล้วอยากทำอะไร ตอนแรกอยากขับรถค่ะ เพราะเป็นอายุที่ขับรถได้พอดี แต่พอถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้เริ่มเลย (หัวเราะ)
ตอนเด็ก ๆ คิดว่าพออายุ 18 ก็จะโตขึ้น กำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย มีอิสระมากขึ้น พออายุ 18 จริง ๆ ก็ไม่ได้รู้สึกว่าโตขึ้นเหมือนตอนที่คิดไว้ แต่เรื่องอิสระ ฟรังมีอิสระมากขึ้นนะ เพราะเราได้เข้ามาทำงานในวงการแล้วก็ไม่ได้ทำอะไรให้เสียหาย และยังรับผิดชอบเรื่องการเรียน ตั้งใจเรียนเหมือนเดิม พอคุณพ่อคุณแม่ได้เห็นว่าเรามีความรับผิดชอบมากขึ้น โตขึ้น ทำให้ท่านไว้ใจและให้อิสระกับเรามากขึ้น สามารถไปเที่ยวกับเพื่อนที่ไหนก็ได้ กลับบ้านดึกได้ ซึ่งแต่ก่อนนอนบ้านเพื่อนยังขอยากเลยค่ะ
ประโยคที่ว่า “โตแล้วจะทำอะไรก็ได้” จริง ๆ เป็นประโยคที่ฟรังและเพื่อนพูดกันอยู่บ่อย ๆ แบบโตแล้วจะทำอะไรก็ได้เพราะมีอิสระมากขึ้น แต่ฟรังคิดว่ามันก็ต้องอยู่ในขอบเขตด้วยแหละ เราควรรู้ตัวว่ากำลังทำในสิ่งที่ดี สิ่งที่ถูกต้อง หรือว่าสิ่งที่กำลังจะทำจะส่งผลกระทบแย่ ๆ ต่อคนอื่นไหม ฟรังเลยคิดว่าโตแล้วจะทำอะไรก็ได้ แต่ว่าก็ต้องอยู่ในขอบเขตด้วย
ปัจจุบันฟรังอายุ 19 ปี เป็นเฟรชชี่คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย การเรียนมหาวิทยาลัยกับมัธยมปลายนั้นแตกต่างกัน เหมือนได้อัพเลเวลโตขึ้น การเรียนมหาวิทยาลัยต้องช่วยเหลือตัวเองเยอะขึ้นมาก ๆ บางวิชาที่เข้าเรียนก็ไม่ได้มีเช็คชื่อ แต่พอสอบเราก็ต้องตามให้ทัน อีกอย่างพอเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ต้องเท่าทันเทคโนโลยี ปกติฟรังเป็นคนค่อนข้างโลว์เทคฯ นิดหนึ่ง ไม่ค่อยเก่งคอมพิวเตอร์ แต่พอเข้ามหาวิทยาลัย การสั่งงานส่งงานต้องผ่านระบบคอมพิวเตอร์ แรก ๆ ทำไม่ค่อยเป็น แต่ตอนนี้เริ่มชินแล้วค่ะ
ตอนนั้นจำได้ว่ามีพี่โทรมาถามว่า รู้จัก TED ไหม ฟรังก็แบบรู้จักค่ะ เท็ดที่เป็นหมีใช่ไหมคะ (หัวเราะ) คือตอนแรกไม่รู้จักว่า TED Talk คืออะไร ไม่เคยดู แล้วพี่เขาก็ส่งลิ้งก์พี่ปู-ไปรยาให้ พอเข้าไปดูปุ๊บก็เลยตอบกลับว่าไม่ดีกว่าค่ะ ฟรังพูดไม่รู้เรื่อง เวลาผ่านไปที่คณะได้จัดโปรโมทคณะไปตามโรงเรียน ม. ปลาย แล้วทำเป็นธีม TED Talk เหมือนกัน เขาก็อยากให้ฟรังไปพูด คิดว่าคงพูดคล้าย ๆ กันแหละ ก็เลยตอบตกลง หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ตอบตกลง เพราะพี่เขาบอกว่ายังมี speaker คนอื่น ๆ อย่างอ.อุ๊ หรือคนที่มีชื่อเสียงอีกหลายคน ฟรังก็แบบ Oh my God ! เราจะได้มีโอกาสรู้จัก ได้เจอตัวจริงของพวกเขา ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีและลึก ๆ ฟรังเป็นคนชอบลองอะไรใหม่ ๆ ด้วย อย่างน้อยเป็นโปรไฟล์ให้เรา ก็เลยตอบตกลงไป แต่พอพูดเสร็จก็รู้สึกดีมาก ถึงแม้ฟรังจะพูดไม่รู้เรื่องแต่เราชอบการทำงาน ทุกคนทุ่มเทมาก ๆ เพราะเป็นของมหาวิทยาลัยด้วย ทุกคนทำเพื่อสิ่ง ๆ เดียวกัน โดยไม่ได้รับอะไรตอบแทนเลยค่ะ
ตอนแรกที่เขาให้คิดประเด็น ก็จะมีพี่ที่คอยดูแลมานั่งคุยกันแบบคอยถามเหตุการณ์ในชีวิตว่ามีอะไรบ้าง ซึ่งชีวิตฟรังก็ไม่ค่อยมีอะไรที่น่าตื่นเต้นเท่าไร จนสุดท้ายเหมือนเราทำงานในวงการนี้เราต้องพยายามมองโลกในแง่ดี เพราะมีคนรักมันก็ต้องมีคนเกลียดอยู่แล้ว สุดท้ายก็เลยจบที่ประเด็นโลกสวยค่ะ ส่วน speaker ที่ชอบนั้น ฟรังชอบทุกคนเลย เพราะทุกคนเก่งมาก ๆ และเป็นกันเอง แต่ที่ชอบมากที่สุดคือ อ.อุ๊ ที่จริงฟรังเป็นศิษย์ของอ.อุ๊อยู่แล้ว เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ฟรังตกลง และอีกคนที่ชอบมากคือ คุณป้าแป๋ว ที่ออกท่องเที่ยว ฟรังได้เห็นทุกการทำงานของเขา ตอนแรกเขาตื่นเต้นมาก ๆ แล้วปรับเปลี่ยนสคริปต์บ่อยมาก ๆ คือทุ่มเทมาก วันที่มาซ้อมเหมือนเขายังตื่นเต้นอยู่ พูดผิดพูดถูกเยอะมาก แต่พอถึงวันจริงเขาทำได้ดีมาก ทุกคนชอบเขามาก ซึ่งฟรังก็ประทับใจในตัวคุณป้ามาก อยากไปเที่ยวแบบนั้นบ้างค่ะ
ฟรังคิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง จากการได้เข้ามาทำงานในวงการบันเทิง หรือได้เข้าเรียนในคณะและมหาวิทยาลัยที่คาดหวัง เคล็ดลับคือ อยากให้ค้นหาตัวเองให้เจอก่อน ควรรู้ว่าตัวเองอยากเข้าคณะอะไร หรืออยากเป็นอะไรในอนาคต แล้วมุ่งไปทางนั้นและอย่าละความพยายามจนกว่าเราจะทำได้ ระหว่างทางอาจจะมีอุปสรรคเยอะมาก ช่วงที่ฟรังเอนท์ยอมรับเลยว่าเหนื่อยมาก และค่อนข้างท้อเหมือนกัน แต่เราไม่หยุด ไม่ยอมแพ้ เหมือนอยากทำให้สำเร็จ สู้ไปเรื่อย ๆ อย่าทิ้งความฝันของตัวเอง ฟรังเชื่อว่าถ้าตั้งใจทุกคนทำได้ สู้ ๆ ค่ะ
เรื่องและภาพ : กัลยาณี แนวเล็ก ภาพประกอบ : อารัมภ์พร เอี่ยมวุฒิ