คือ ดาวเคราะห์ที่โคจรล่องลอยไปในอวกาศ แต่ไม่ได้อยู่ในระบบสุริยะของเรา หรือ ดาวเคราะห์ที่มีวงโคจรรอบดาวฤกษ์ดวงอื่นเป็นของตัวเอง ซึ่งในระบบสุริยะจะประกอบไปด้วยดาวฤกษ์อันเป็นดาวที่มีแสงสว่างในตัวเอง ตั้งอยู่จุดศูนย์กลาง (ดาวฤกษ์เทียบได้กับดวงอาทิตย์ในระบบสุริยะ) และมีดาวเคราะห์หิน (Terrestrial Planets) หรือดาวเคราะห์ก๊าซ (Jovian Planets), ดวงจันทร์ (Moon), ดาวหาง (Comet) และดาวเคราะห์น้อย (Asteroids) โคจรอยู่โดยรอบ
กล้องโทรทรรศน์แทรพพิสต์ "TRAPPIST" (Transiting Planets and PlanetIsmals Small Telescope) เป็นกล้องโทรทรรศน์ขนาดใหญ่บนพื้นโลก ซึ่งตั้งอยู่ที่หอสังเกตการณ์ซีกโลกใต้แห่งยุโรป (ESO) ณ หอดูดาวลาซียา ในประเทศชิลี ได้สำรวจพบดาวฤกษ์ที่มีแสงสลัวดวงหนึ่งชื่อ 2MASS J23062928-0502285 หรือที่เรียกว่า ดาวแทรพพิสต์-วัน (TRAPPIST-1) ดาวดวงนี้เป็นดาวแคระอุณหภูมิต่ำ (Ultra-cool Dwarf) ที่มีดาวเคราะห์ขนาดใกล้เคียงกับโลก 3 ดวงโคจรอยู่โดยรอบ และอยู่ในกลุ่มดาวคนถือหม้อน้ำ (Aquarius) ห่างออกไปจากโลกของเราเป็นระยะทาง 40 ปีแสง ซึ่งการค้นพบดาวเคราะห์บริวารในครั้งนี้เกิดจากการที่นักดาราศาสตร์ได้สังเกตเห็นเงามืด อันเกิดจากการที่มีวัตถุผ่านเข้ามาบดบังแสงจากดาวฤกษ์ และนับเป็นครั้งแรกในตอนนั้นที่มีการค้นพบดาวเคราะห์โคจรรอบดาวฤกษ์ซึ่งเป็นดาวเเคระอุณหภูมิต่ำ
ต่อมากล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล (HUBBLE) ได้เฝ้าสังเกตการณ์ดาวเคราะห์ 2 ดวงที่อยู่ใกล้กับดาวฤกษ์ดวงนี้มากที่สุด แม้จะยังไม่พบหลักฐานเกี่ยวกับชั้นบรรยากาศใด ๆ แต่ผลสำรวจก็ได้หนุนสมมติฐานที่ว่าดาวเคราะห์ดวงที่อยู่ใกล้กับดาวฤกษ์มักจะมีสภาพเป็นก้อนหิน
เกิดการค้นพบดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะดวงใหม่อีก 4 ดวงที่โคจรรอบดาวแทรพพิสต์-วัน (TRAPPIST-1) เมื่อรวมกับดาวเคราะห์ที่เคยสำรวจพบแล้ว ดาวแทรพพิสต์-วัน (TRAPPIST-1) จึงมีบริวารเป็นดาวเคราะห์รวมทั้งสิ้น 7 ดวง การสำรวจครั้งนี้ถูกค้นพบด้วยกล้องโทรทรรศน์อวกาศสปีตเซอร์ (SPITZER) อันเป็นกล้องที่ทำการสังเกตการณ์ในช่วงคลื่นอินฟราเรด และกล้องโทรทรรศน์บนพื้นโลกตัวเดิม คือ กล้องแทรพพิสต์ "TRAPPIST" (Transiting Planets and PlanetIsmals Small Telescope) ที่ใช้ศึกษาเรื่องการเคลื่อนที่ของดาว
_______________________________________________________________________
นักดาราศาสตร์ได้ใช้วิธีการ Transit Method หรือ วิธีการเคลื่อนผ่านหน้า ในการตรวจพบดาวเคราะห์ระบบนี้ โดยใช้การสังเกตแสงของดาวฤกษ์ที่ลดลง เมื่อมีดาวบริวารเคลื่อนที่ผ่านหน้าดาวฤกษ์ดวงแม่ ซึ่งค่าความสว่างที่ลดลงนี้มีความสัมพันธ์กับขนาดของดาวเคราะห์ จึงทำให้เราทราบถึงรัศมีของดาวเคราะห์ โดยกล้องโทรทรรศน์อวกาศสปีตเซอร์นั้น (SPITZER) มีความสามารถในการตรวจวัดรังสีช่วงคลื่นอินฟราเรดจากดาวฤกษ์ได้เป็นอย่างดี และกล้องโทรทรรศน์แทรพพิสต์ (TRAPPIST) ก็ยังใช้ในการสังเกตความสว่างของดาวที่เปลี่ยนไป รวมถึงการเคลื่อนที่ของดาวอีกด้วย
วีดีโอแสดงวิธีการ Transit Method จาก, https://www.youtube.com/user/astrocarrie
_____________________________________________________________________
เป็นดาวแคระอุณหภูมิต่ำ (Ultra-cool Dwarf) ที่มีอุณหภูมิพื้นผิวราว ๆ 2,277 องศาเซลเซียส (ดวงอาทิตย์มีอุณหภูมิที่ผิวสูงถึง 5,500 องศาเซลเซียส) มันจึงมีอุณหภูมิต่ำกว่าดวงอาทิตย์เกือบครึ่งหนึ่ง และมีความสว่างน้อยกว่าดวงอาทิตย์ถึง 2,000 เท่า ดาวดวงนี้มีมวลเพียง 1 ใน 12 เท่าของดวงอาทิตย์เท่านั้น และมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางน้อยกว่า 1 ใน 8 ของดวงอาทิตย์ มันจึงมีขนาดเล็กกว่าดวงอาทิตย์ และใหญ่กว่าดาวพฤหัสบดีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
จากข้อมูลที่นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการสำรวจมวลและความหนาแน่นโดยเฉลี่ยของดาวเคราะห์ทั้ง 7 ดวง พบว่าดาวเคราะห์ทั้งหมดนั้นมีขนาดใกล้เคียงกับโลกของเรา ในจำนวน 6 ดวงที่อยู่ใกล้กับดาวฤกษ์มากกว่านั้นเป็นดาวเคราะห์หิน และดาวอย่างน้อย 3 ดวง คือ แทรพพิสต์-วันดี (TRAPPIST-1d) แทรพพิสต์-วันอี (TRAPPIST-1e) และแทรพพิสต์-วันเอช (TRAPPIST-1h) ยังมีพื้นผิวของสสารที่เป็นของเหลวคล้ายน้ำปกคลุมอยู่ด้วย ทั้งนี้มวลของดาวเคราะห์แทรพพิสต์-วันเอช (TRAPPIST-1h) ซึ่งเป็นดาวเคราะห์ลำดับที่ 7 ยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นดาวเคราะห์ประเภทใด แต่นักวิทยาศาสตร์ได้คาดเดาไว้ว่ามันคงเป็นเหมือนกับลูกบอลหิมะ เนื่องจากอยู่ห่างจากดาวฤกษ์มากที่สุดนั่นเอง
VR 3 มิติ จำลองสภาพแวดล้อมบนดาวเคราะห์ TRAPPIST-1d จาก, https://www.youtube.com/watch?v=o2MgG6KhO1E
_______________________________________________________________________
ดาวเคราะห์ทั้ง 7 ดวง ล้วนมีขนาดและมวลที่ใกล้เคียงกันกับโลก โดยดาวเคราะห์ 3 ใน 7 ดวงนั้นน่าจะมีปัจจัยที่เกื้อหนุนให้เกิดสิ่งมีชีวิตนอกโลกได้ เมื่ออิงจากระยะทางความห่างระหว่างดาวเคราะห์กับดาวฤกษ์ในระบบนี้ จะพบว่าดาวเคราะห์ดวงที่อยู่ห่างจากดาวฤกษ์ในลำดับที่ 4 ถึง 6 น่าจะมีอุณหภูมิที่เหมาะสม ไม่ร้อนและไม่เย็นจนเกินไป ซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมที่น้ำสามารถคงสถานะเป็นของเหลวได้ อาณาเขตดังกล่าวในห้วงอวกาศจึงจัดว่าเป็นพื้นที่ ๆ เอื้อต่อการอยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิต (Habitable Zone) จึงมีความเป็นไปได้ว่าเราอาจได้พบกับสิ่งมีชีวิตจากนอกโลก หรือแม้แต่ค้นพบโลกใบใหม่ของเราในอนาคตก็เป็นได้
_______________________________________________________________________
เนื่องจากดาวฤกษ์ในระบบนี้มีมวลและขนาดที่เล็กกว่าดวงอาทิตย์มาก จึงทำให้ดาวเคราะห์มีวงโคจรอยู่ในระยะที่ไม่ห่างจากดาวฤกษ์นัก โดยดาวเคราะห์แทรพพิสต์-วันเอช (TRAPPIST-1h) ที่เราเห็นว่าอยู่ไกลที่สุด ยังมีวงโคจรที่อยู่ใกล้กับดาวฤกษ์ของมันมากกว่าระยะห่างระหว่างวงโคจรของดาวพุธกับดวงอาทิตย์เสียอีก ส่วนดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ ก็ยังมีวงโคจรที่อยู่ใกล้กันมากกว่าวงโคจรของดาวเคราะห์ในระบบสุริยะของเรา
ดาวเคราะห์ในระบบแทรพพิสต์-วัน (TRAPPIST-1) ที่อยู่ใกล้กับดาวฤกษ์ที่สุดทั้ง 6 ดวง จะใช้เวลาในการโคจรรอบดาวฤกษ์ตั้งแต่ 1.5-12 วัน ส่วนดาวเคราะห์แทรพพิสต์-วันเอช (TRAPPIST-1h) ที่อยู่ไกลออกไปนั้น จะใช้เวลาประมาณ 20 วัน ในการโคจรรอบดาวฤกษ์
เนื่องจากดาวเคราะห์แต่ละดวงนั้นอยู่ใกล้กันมาก ทำให้นักดาราศาสตร์เชื่อว่าหากเราไปยืนอยู่บนดาวเคราะห์ดวงใดดวงหนึ่ง เราจะสามารถมองเห็นพื้นผิวหรือเมฆบนชั้นบรรยากาศของดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ ได้ และเห็นในขนาดที่ใหญ่กว่าการยืนมองดวงจันทร์จากบนโลกเสียอีก
ดาวเคราะห์ในระบบนี้อยู่ใกล้กับดาวฤกษ์ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางมาก นักดาราศาสตร์จึงเชื่อว่าแรงดึงดูดจากดาวฤกษ์อาจทำให้ดาวเคราะห์เหล่านี้อยู่ในสภาวะ “ไทดัลล็อค” (Tidal Lock) คือ สภาวะที่ดาวฤกษ์จะดึงให้ดาวเคราะห์หันหน้าไปทางดาวฤกษ์อยู่เพียงด้านเดียวตายตัว (ลักษณะเดียวกันกับดวงจันทร์ที่หันหน้าเข้าหาโลกเพียงด้านเดียว) ทำให้บนดาวเคราะห์เหล่านี้มีสภาพแวดล้อมที่ถูกแบ่งออกเป็น 2 ด้านอย่างชัดเจน คือ ด้านที่มีอุณหภูมิอบอุ่นและเป็นช่วงกลางวันโดยถาวร กับด้านที่มีอุณหภูมิเย็นเยือกและเป็นช่วงกลางคืนโดยถาวร
TRAPPIST-1 Planets Tidally Locked to Star, Have Short Orbits | Video
Most, if not all, of the 7 Earth-sized planets in the ultra cool dwarf star system may only face one way towards their sun, similar to Earth’s moon. Their orbits range from 1.94 days to about 20.
วีดีโอแสดงให้เห็นถึงสภาวะ“ไทดัลล็อค” จาก, http://www.space.com/35782-trappist-1-planets-tidally-locked-to-star-have-short-orbits-video.html
___________________________________________
หลังจากการค้นพบล่าสุดของกล้องโทรทรรศน์อวกาศสปีตเซอร์ (SPITZER) กล้องโทรทรรศน์อวกาศของนาซ่าตัวอื่น ๆ ก็ยังคงเฝ้าทำการสำรวจระบบสุริยะแทรพพิสต์-วัน (TRAPPIST-1) เพิ่มเติม โดยกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล (HUBBLE) จะเริ่มต้นศึกษาเรื่องการมีอยู่ของชั้นบรรยากาศ โดยสังเกตการณ์ดาวเคราะห์ 4 ดวง ซึ่งรวมถึงดาวเคราะห์ที่อยู่เขตพื้นที่ ๆ เอื้อต่อการอยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตด้วย นอกจากนี้กล้องโทรทรรศน์อวกาศเคปเลอร์ (Kepler) ซึ่งมีเป้าหมายสำคัญในการค้นหาดาวเคราะห์คล้ายโลกที่โคจรรอบดาวฤกษ์ ก็มุ่งศึกษาระบบแทรพพิสต์-วัน (TRAPPIST-1) ด้วยเช่นกัน
กล้องโทรทรรศน์อวกาศเจมส์ เว็บบ์ (James Webb) จะถูกส่งขึ้นสู่ห้วงอวกาศเพื่อสำรวจหลักฐานทางเคมี ร่องรอยของน้ำ มีเทน ออกซิเจน โอโซน และองค์ประกอบอื่นในชั้นบรรยากาศของดาวเคราะห์ รวมถึงวิเคราะห์อุณหภูมิและความดันที่พื้นผิวของดาวเคราะห์อีกด้วย
กล้องโทรทรรศน์ขนาดใหญ่ยักษ์บนพื้นโลก 2 แห่ง คือ The European Extremely Large Telescope (E-ELT) ซึ่งเป็นกล้องโทรทรรศน์ที่ทำงานในย่านความถี่ที่ตามองเห็นได้ของหอสังเกตการณ์ซีกโลกใต้แห่งยุโรป (ESO) ที่จะตั้งอยู่ที่เซอร์โรอาร์มาโซเนส