จากข้อมูลทางระบาดวิทยาพบว่า ในประเทศไทยพบโรคอุจจาระร่วงที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสโรต้าตลอดทั้งปี แต่จะพบเพิ่มมากขึ้นในช่วงที่อากาศเย็น คือเดือนตุลาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ และด้วยความที่ไวรัสโรต้าสามารถมีชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมรอบ ๆ ตัว จึงส่งผลให้การแพร่กระจายของเชื้อเกิดขึ้นได้ง่ายและรวดเร็ว ทั้งจากการกินอาหาร การดื่มน้ำที่มีเชื้อปนเปื้อน หรือการสัมผัสกับสิ่งของที่มีเชื้อโรคติดอยู่ เช่น ของเล่น ของใช้ เสื้อผ้า นอกจากนี้ อาจติดเชื้อทางการหายใจและกลืนเชื้อลงไปได้อีกด้วย ทำให้เกิดอาการท้องเสียของทารกในที่สุด
เชื้อไวรัสโรต้ามีหลายสายพันธุ์ ดังนั้นเด็ก ๆ จึงอาจเป็นโรคนี้ได้หลายครั้ง ซึ่งการติดเชื้อครั้งแรกจะมีอาการรุนแรงที่สุด แต่เมื่อเป็นซ้ำ ๆ อาการจะลดน้อยลงเรื่อย ๆ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ต้องคอยสังเกตอาการลูกอย่างใกล้ชิด หากพบว่าเด็กเริ่มมีไข้และอาเจียน ซึ่งประมาณ 1-2 วันต่อมาจะเริ่มถ่ายอุจจาระเป็นน้ำ โดยลักษณะของอุจจาระมักไม่มีมูกหรือเลือดปน หรืออาจมีมูกปนได้เล็กน้อย ซึ่งเด็กบางคนอาจจะมีอาการหวัดร่วมด้วย ถ้าลูกมีอาการรุนแรง ถ่ายอุจจาระและอาเจียนมากจะทำให้เกิดภาวะขาดน้ำ
1. คุณพ่อคุณแม่จึงต้องให้ความสำคัญกับการดูแลสุขอนามัยอาหารและน้ำดื่ม การล้างมือ หลังการเปลี่ยนผ้าอ้อม การทำความสะอาดสถานที่ ของเล่น ของใช้ และภาชนะทุกชิ้น
2. หากลูกยังเล็ก หลีกเลี่ยงการพาลูกไปสถานที่แออัด หรือสถานที่ที่ไม่สะอาด เพราะอาจมีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย
3.สำหรับคุณแม่ควรให้ลูกได้ดื่มนมจากเต้าตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 6 เดือนเป็นอย่างน้อย เพราะมีงานวิจัยออกมาแล้วว่า การให้ลูกดื่มนมจากเต้าสามารถลดโอกาสในการเกิดโรคอุจจาระร่วงจากไวรัสโรต้าได้ เพราะในนมแม่มีสารและภูมิต้านทานช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัสโรต้า และยังลดโอกาสสัมผัสเชื้อที่ปนเปื้อนอยู่ตามขวดนมและน้ำดื่มได้ด้วย
4. พาลูกไปรับวัคซีนป้องกันไวรัสโรต้า ซึ่งสามารถเริ่มให้ได้เมื่ออายุ 2 เดือนและ 4 เดือน โดยการหยอด แต่อย่างไรก็ตามวัคซีนนี้ไม่สามารถป้องกันเชื้อไวรัสโรต้าได้ 100 % เพียงแต่ช่วยให้มีอาการท้องร่วงน้อยลง เพราะฉะนั้นการให้วัคซีนจึงเป็นเพียงทางเลือกหนึ่งที่จำเป็นเฉพาะเด็กที่ต้องไปฝากเลี้ยงในสถานเลี้ยงเด็กก่อนวัยเรียน