โดยเฉพาะ พัฒนาการด้านภาษา และมีโอกาสเสี่ยงเป็นออทิสติกเทียม สมาธิสั้น เพราะเด็กส่วนใหญ่จะถูกปล่อยให้นั่งเล่นคนเดียวเป็นเวลานานทำให้ขาดทักษะการสื่อสารกับผู้อื่นจึงพูดช้า
ส่วนแสงสีที่ปล่อยออกมาจากจอภาพอาจส่งผลเสียต่อสายตา สมอง และ รบกวนการนอนหลับของเด็ก การที่เด็กไม่ได้รับการกระตุ้น พัฒนาการด้านอื่น ๆ อย่างเหมาะสม อาจทำให้การเรียนรู้ช้ากว่าเด็กทั่วไปอีกด้วย เด็กบางคนได้รับการเลี้ยงดูด้วยสมาร์ทโฟน แท็บเล็ตและไอแพดมาตั้งแต่ยังเล็กจนทำให้เกิด “อาการติด” ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถสังเกตว่าลูกมีอาการติดเครื่องมือสื่อสารเหล่านี้หรือไม่ ดังนี้
- เมื่อตื่นขึ้นมามักถามถึงมือถือ แท็บเล็ตและไอแพดเป็นสิ่งแรกก่อนทำอย่างอื่น หรือถามถึงบ่อย ๆ ตลอดวัน
- ใช้เวลาเล่นมือถือ แท็บเล็ตและไอแพดเป็นเวลานาน
- ไม่สนใจคนรอบข้าง แม้แต่พ่อแม่เพราะมัวสนใจแต่จะเล่นมือถือ แท็บเล็ตและไอแพดเท่านั้น
- เลิกทำกิจกรรมอื่น ๆ ที่น่าสนใจ อยากแต่จะเล่นแต่มือถือ แท็บเล็ตและไอแพดเท่านั้น
- แยกตัวจากสังคมในขณะที่เล่นมือถือ แท็บเล็ตและไอแพด
- มีพฤติกรรมก้าวร้าวหรือไม่ชอบใจหากถูกควบคุมหรือห้ามไม่ให้เล่นมือถือ แท็บเล็ตและไอแพด เช่น ร้องไห้ กรีดร้อง กระทืบเท้า ลงไปนอนกลิ้งบนพื้น โมโหรุนแรง ทำร้ายตัวเองหรือผู้อื่น หรืออาการต่อต้านแบบอื่น ๆ
- เมื่อต้องไปทำธุระหรือกิจกรรมอื่น ๆ จะกระวนกระวายใจ เพราะต้องการกลับมาเล่นมือถือ แท็บเล็ตและไอแพด
หากคุณพ่อคุณแม่พบว่าลูกมีอาการเหล่านี้ควรรีบช่วยเหลือและปรับพฤติการติดมือถือ แท็บเล็ตและไอแพด ของลูกอย่างเร่งด่วน เพราะนอกจากจะทำให้ลูกมีปัญหาด้านพัฒนาการแล้ว อาการติดเครื่องมือสื่อสารอาจทำให้เป็นอุปสรรคต่อการเรียน การใช้ชีวิตประจำวัน จนทำให้ขาดความสุขและขาดการเจริญเติบโตตามวัยที่เหมาะสม
1. หากลูกติดมาก ๆ อาจเริ่มต้นด้วยการจำกัดเวลาเล่น โดยทำข้อตกลงว่าในแต่ละวันลูกจะเล่นได้ช่วงไหนบ้าง ซึ่งต้องทำตามอย่างเคร่งครัด แต่ถ้าลูกมีอาการหงุดหงิดก้าวร้าว คุณพ่อคุณแม่ต้องอดทน ไม่ดุด่าหรือลงโทษ แต่ให้เหตุผลด้วยน้ำเสียงจริงจัง จะทำให้ลูกค่อย ๆ ลดเวลาการอยู่หน้าจอลงได้
2. เมื่อลูกเริ่มเล่นเป็นเวลามากขึ้น คุณพ่อคุณแม่อาจลองเอาเทคโนโลยีทุกสิ่งออกให้ห่างจากลูก โดยไม่หยิบมาให้เห็นเลย ซึ่งในตอนแรกลูกอาจจะร้องไห้งอแงขอเล่น คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องใจแข็ง แล้วหากิจกรรมอื่นให้ทำเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ เช่น วาดรูประบายสี ช่วยคุณยายทำขนม หรือจะเปลี่ยนไปเล่นเกมกระดานที่ช่วยเสริมการเรียนรู้ ที่สำคัญคือคุณพ่อคุณแม่ต้องเข้ามามีส่วนร่วมกับกิจกรรมเหล่านั้นด้วย
3. หากิจกรรมอื่นทดแทนที่ใกล้เคียงกับเกมที่ลูกเคยเล่น เช่น หากลูกชอบเล่นเกมปลูกผัก ก็อาจจะพาลูกไปปลูกผักจริง ๆ แล้วพูดถึงประโยชน์จากการปลูกผัก ที่สามารถกินได้จริง ๆ ซึ่งต่างจากในเกม จะทำให้ลูกได้เพิ่มประสบการณ์ด้านอื่น ๆ และยังเป็นการฝึกทักษะความเชื่อมโยงอีกด้วย
4. คุณพ่อคุณแม่ต้องคอยให้กำลังใจและชื่นชมเวลาที่ลูกทำกิจกรรมอื่น ๆ นอกเหนือจากการเล่นมือถือ แท็บเล็ตและไอแพด เพื่อให้เขาเกิดความมั่นใจและอยากที่จะทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้มากขึ้น
5. คุณพ่อคุณแม่และคนในครอบครัวต้องเป็นตัวอย่างที่ดีกับลูก โดยไม่เล่นมือถือ แท็บเล็ตและไอแพดต่าง ๆ ให้ลูกเห็นเพราะเขาจะทำตาม แต่หากจำเป็นต้องใช้งานควรอธิบายให้ลูกเข้าใจว่าต้องใช้เพื่อทำงาน หรือเพื่อสื่อสารเรื่องสำคัญและเมื่อใช้เสร็จต้องรีบเก็บทันที เพื่อปลูกฝังความเข้าใจให้ลูกว่าเทคโนโลยีมีไว้สำหรับใช้งานเท่านั้น