เมื่อผู้สื่อข่าว BBC ทูลถาม พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ เกี่ยวกับเรื่องของการภาวนา บาป บุญ และพุทธศาสนา รวมถึงระบอบคอมมิวนิสต์ ซึ่งจากวีดีโอชุดนี้ แสดงให้เห็นพระปรีชาสามารถของทั้งสองพระองค์ท่านในด้านศาสนา ว่าลึกซึ้งเพียงใด
ขณะที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จมาที่วัดแห่งนี้ (วัดถ้ำกลองเพล) เพื่อกราบนมัสการพระสงฆ์ผู้ทรงศีลอันบริสุทธิ์ และเปี่ยมด้วยจริยาวัตร อันสงบเยือกเย็น (หลวงปู่ขาว) เสียงเครื่องบินลาดตระเวณบนฟ้า ก็ยิ่งถี่และดังขึ้นเรื่อย ๆ บ่งบอกถึงภัยที่รายล้อมและรุมเร้า องค์กษัตริย์และประเทศไทยยามนี้
ผู้สื่อข่าว BBC :
“พระพุทธศาสนาและหลักพุทธธรรม มีความสำคัญอย่างไรกับพระองค์ ในฐานะกษัตริย์ ?”
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช:
“หลักธรรมในศาสนาพุทธ มีความซับซ้อน และมีหลายระดับ
ระดับสูงสุด คือ การบรรลุซึ่ง ความบริสุทธิ์ สมบูรณ์ ในตัวตนของเรา ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณเรียกว่า “ความเห็นแก่ตัว (selfish)”
มันเป็นแรงจูงใจที่เห็นแก่ตัวก็จริง เป็นความเห็นแก่ตัวโดยแท้ แต่การจะบรรลุซึ่งความบริสุทธิ์ได้ เราต้องกระทำทุกสิ่งที่ไม่เป็นการเห็นแก่ตัว ซึ่งสำหรับคุณอาจมองว่า เป็นแนวคิดที่ขัดแย้งกัน
เราต้องยอมเสียสละ ต้องปล่อยวางทุกสิ่งที่เรายึดมั่นถือมั่นว่า เป็นของเรา
จิตอันกุศล ก็ถือเป็นหนึ่ง ในการละทิ้งซึ่งความเห็นแก่ตัว”
ผู้สื่อข่าว BBC :
“แล้วการทำสมาธิ มีความสำคัญต่อการบรรลุ ถึงระดับนี้แค่ไหน ?”
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช :
“การทำสมาธิ เป็นธรรมปฎิบัติที่สำคัญมาก เพราะว่าคุณต้องเริ่มจากจิตที่มีสมาธิ จิตต้องนิ่ง เพื่อจะได้เกิดความสงบ อาจจะไม่ใช่ความสงบอันยาวนาน แต่เป็นความสงบชั่วขณะ ที่จะช่วยให้ ... ที่จะช่วยให้คุณได้เห็นในหลาย ๆ สิ่ง ได้เข้าถึงความสงบที่แท้จริง
จากนั้น ... ด้วยจิตที่สงบนี้ คุณจะสามารถเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างกระจ่างชัดขึ้น”
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ :
“พระราชสวามีของเรา มักจะเข้ามาที่นี่ก่อนเราเสมอ เพื่อนั่งสมาธิ พระองค์สามารถกำหนดลมหายใจ สามารถตั้งจิตให้สงบเป็นสมาธิ แต่เราเองยังไม่สามารถฝึกจิต ให้สงบขณะนั่งสมาธิได้
เรากำลังฝึกอยู่ จึงทำได้เพียงแค่สวดมนต์ แต่พระราชสวามีบอกว่า ได้เพียงเท่านี้ก็ดีแล้ว สิ่งที่เราทำก็เป็นการฝึกสมาธิเช่นกัน”
ผู้สื่อข่าว BBC :
“พระองค์ทรงมองว่า เป็นไปได้ไหมที่ใครสักคนจะฝักใฝ่ระบอบคอมมิวนิสต์ ศรัทธาอย่างจริงใจในระบอบคอมมิวนิสต์ และในศาสนาพุทธไปพร้อม ๆ กัน”
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ:
“ศรัทธาอย่างจริงใจในระบอบคอมมิวนิสต์ ที่คุณหมายถึงคือแบบไหนล่ะ ?”
ผู้สื่อข่าว BBC :
“คนที่เชื่อมั่นในระบอบคอมมิวนิสต์”
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช :
“คนที่ต้องการอยู่สูงสุดเหนือทุกสิ่งน่ะหรือ ?”
ผู้สื่อข่าว BBC :
“คนที่เชื่อมั่นในอุดมการณ์ และข้อตกลง ของระบอบคอมมิวนิสต์”
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช :
“เราคิดว่า เป็นเรื่องยากที่จะนิยามคำว่า “ศรัทธา” อย่างจริงใจ
คุณอาจมีความ “ศรัทธา” อย่างจริงใจ แต่สิ่งนั้นอาจเป็นเรื่องผิด
ดังนั้น เราไม่แน่ใจว่า “ศรัทธาอย่างจริงใจ” ในที่นี้ จะใช้ได้ไหม
ปกติแล้ว คนที่ทำงานด้านการเมือง ไม่ว่าจะใช้ระบอบแนวคิดใด ย่อมต้องการอยู่สูงสุดเหนือทุกสิ่งทั้งนั้น
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ :
“เราไม่เคยรู้สึกหวาดกลัวต่อความตาย เพราะเราเชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้
ดังนั้นเราจึงสวดมนต์ทุกวัน เพื่อขอให้มีพลังในการดำเนินชีวิตต่อ
ขอให้สามารถทำงานหนัก เพื่อความผาสุกของราษฎรไทย”
ผู้สื่อข่าว BBC :
“พระองค์ทรงเชื่อเรื่องที่ทุกคนต่างเกิดมาพร้อม ความผิดบาปกำเนิด หรือไม่ ?”
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช:
“ไม่มีความผิดบาปหรอก คนเราไม่ได้เกิดมาพร้อมความผิดบาป
อย่างที่เราได้บอกคุณแล้วว่า มีแต่ “ความบริสุทธิ์กำเนิด” ที่ถูกทำลายลง หรือถูกทำให้มัวหมองลง ด้วยสิ่งที่เราเรียกว่า “ความผิดบาป”
มันเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง มีเพียง “ความบริสุทธิ์กำเนิด” เท่านั้น มีเพียงความสว่างอันประเสริฐเท่านั้น”
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ :
เช่นเดียวกับพระสงฆ์รูปนี้ (ท่าน “ธมฺมวิตกฺโก ภิกขุ" หรือ "เจ้าคุณนรฯ" หรือ “พระยานรรัตนราชมานิต”) ท่านมรณภาพด้วยโรคมะเร็งที่ลำคอ
เราเคยถามท่านว่า “ท่านรู้สึกเจ็บปวดหรือไม่ ?”
ท่านตอบว่า
“ถ้าจิตของเรามีความสงบแล้ว เราจะไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลย
ในชีวิตนี้ เราได้ทำดีที่สุดแล้ว เพื่อคนรอบข้าง
ท่านบอกว่า นั่นคือหนทางเดียว ที่จะบรรลุถึงความสุข”
ผู้สื่อข่าว BBC :
“พระองค์ทรงมีวิธีอย่างไร ที่จะใช้พุทธศาสนา ที่ไม่มุ่งการเข่นฆ่า หรือความรุนแรง ร่วมกับการปกครองบ้านเมือง ในฐานะแม่ทัพ ของประเทศและกองทหาร ?”
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช :
“นั่นแหล่ะคือปัญหา
แต่ว่า เมื่อทหารถือปืน ปืนนั้นควรมีไว้สำหรับยิง แล้วยิงอะไรล่ะ ก็ต้องยิงศัตรู
นั่นคือธรรมชาติวิถี
แต่ถ้าทหารคนนั้นถือปืน ถือปืนด้วยเจตนาที่จะ ปกป้องรักษา อธิปไตยของประเทศ
ด้วยเจตนานี้แล้ว ไม่ถือว่าเป็นการผิดบาป
และถ้ามีศัตรูล่วงล้ำเข้ามา เขาก็ต้องยิง
เพราะเหตุใด
เพราะเจตนาของเขา คือ การปกป้อง รักษา อธิปไตยของประเทศ และปกป้องศาสนา
ถ้าศัตรูเข้ามาทำลาย ประเทศหมดสิ้น ศาสนาก็จะถูกทำลายไปด้วยกัน นั่นคงเป็นเรื่องไม่ดีแน่
ความรักและเมตตา คือ สิ่งที่มนุษย์เราควรมอบให้แก่กัน
การให้โดยไม่หวังผลตอบแทน และให้ด้วยความรัก”
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ :
“นั่นคือเหตุผลที่พระราชสวามี และตัวเรา สามารถทำงานเหล่านี้ วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า โดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
เราเคยรู้สึกกลัวความตายเหลือเกิน แต่เมื่อเราได้พบกับพระอาจารย์รูปหนึ่ง
ท่านบอกเราว่า
อย่าได้กลัวความตาย เพราะนั่นเป็นสัจธรรมของชีวิต
ถ้าเรามีจิตที่บริสุทธื คิดดีกับผู้อื่น และเราได้ปฎิบัติต่อผู้คน ต่อประเทศ อย่างเต็มกำลังความสามารถแล้ว
แม้วันหนึ่งที่เราต้องจากโลกนี้ไป วิญญาณหรือจิตของเรา ก็จะสงบและเป็นสุข”