เมื่อ 16.30 น. วันที่ 28 สิงหาคม 2523 สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ พระราชทานพระบรมราชวโรกาส ให้นักข่าวหญิงจากสโมสรนักข่าวหญิงแห่งประเทศไทย จำนวน 29 คน เข้าเฝ้าฯ รับพระราชกระแส ณ พระตำหนักจิตรดารโหฐาน และ ในโอกาสนี้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเลี้ยงน้ำชา แก่คณะที่มาเข้าเฝ้าฯ ด้วย ซึ่งนับเป็นเกียรติประวัติ และเป็นวันประวัติศาสตร์ของวิชาชีพสื่อสารมวลชนไทยวันหนึ่ง ในการนี้ทรงมีพระราชกระแสเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่นักข่าวหญิงบางคนบันทึกไว้มีข้อที่น่าสนใจ ดังนี้
(ทูลถาม) : ในฐานะที่ทรงเป็นแม่บ้าน ทรงดูแล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อย่างไรบ้าง
(ทรงตอบ)
ต้องดูแล เพราะว่าบางครั้งท่านเพลินกับงาน กว่าจะออกมาเสวยก็ช้า ต้องคอยเคาะประตูคอยเข้าไปเฝ้าฯ แล้วก็เวลาหลังจาก ที่ประชวรเป็นปอดบวมเลยคอยห่วง ตอนนี้ท่านก็ย่างพระชนม์มากขึ้น ยิ่งทำงานหนักใหญ่
เมื่อครั้งพระเจ้าอยู่หัวประชวร (ต้นพุทธศักราช 2518) ตอนนั้น หมอที่รักษาร้องไห้ พี่ชายฉัน (นายแพทย์ ม.ร.ว.กัลยาณกิติ์ กิติยากร) ก็เป็นหมออยู่ด้วย หน้าเขียว ไม่นอนทั้งคืน เขาบอกว่า รู้สึกว่าเรากำลังจะเสียท่านไป เพราะว่าหมอให้ยาเท่าไหร่ๆ ไข้ไม่ลงเลย ท่านแบบคล้ายๆ เพ้อๆ คือ ปอดทั้งสองข้างนี่บวม แล้วสุดปรอทอยู่ได้ตั้งเกือบ 10 วัน จนหมอบอกว่า นี่ถ้าเป็นคนหัวใจไม่ดี ก็หัวใจวายแล้ว สมเด็จพระศรีฯ (สมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี) ท่านไปดูเองเลย
พระอาจารย์ต่างๆ ฉันต้องเรียกว่า พระอริยเจ้า เพราะว่าท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ที่ไปกราบท่านอาจารย์ฝั้น ท่านอาจารย์บัว ท่านอาจารย์วัน คือท่านก็ล้วนแต่บอกกับฉันทั้งนั้นว่า "เสด็จฯ ไหนนี่ไม่ต้องกลัวหรอก เพราะพระบารมีของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว"
ท่านอาจารย์วันนี่ กล่าวออกมาเลยว่า เมืองไทยนี่จะอยู่ได้ ถ้าพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้อยู่ในประเทศ อย่าให้ท่านออกนอกประเทศ ถ้าท่านออกนอกประเทศไม่รับรอง
เคยกราบเรียนถามลูกศิษย์หลวงปู่ขาวว่า ทำไมเมืองลาว เมืองเขมรก็เป็นเมืองพุทธศาสนา ทำไมถึงล่มได้ พระท่านบอกว่า มหาบพิตรคิดดูซิ มีไฟนี่ แต่เราไม่เปิดไฟ ก็สักแต่ว่ามีไฟ เราไม่เสียบปลั๊ก ไม่เปิดไฟ ไฟก็ไม่มี มันต่อกันไม่ได้ แม้ว่าเป็นเมืองพุทธศาสนา แต่คนที่ประพฤติธรรมน้อย ก็ช่วยไม่ได้ บารมีของพระพุทธองค์ก็ช่วยไม่ได้ ต้องมีคนที่ประพฤติธรรม โดยเฉพาะพระประมุข ผู้บริหารประเทศนี่ ต้องอยู่ในธรรม ก็เลยเข้าใจว่าทำไมพระเจ้าอยู่หัวปฏิบัติ
ฉันเอง แปลกใจ อันนี้ คุณหญิงสมสุข (คุณหญิงสมสุข ศรีวิสารวาจา นางสนองพระโอษฐ์) ไม่อยู่เป็นพยาน ไม่ทราบใครในห้องนี้เป็นพยานมั่ง ที่เสด็จฯ แล้วเห็นกับตาเลยว่า ทางนี้ (ทรงชี้ซ้าย) ฟ้าผ่า ทางนี้ (ทรงชี้ขวา) พายุมืด แล้วนั่งเฮลิคอปเตอร์ ฟ้าผ่า แปร๊บๆ เห็นเชียวว่าครืนๆ แล้วเฮลิคอปเตอร์นี่กำลังอยู่ในอากาศ ฝนตกแปลกมากเลย ฝนตกเป็นม่านหนักเชียว แต่มาหยุดก่อนที่จะถึงเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์นี่ เปิดเป็นทางแนวเดียวตรงที่เฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งอยู่นี่สว่าง ไม่มีอะไร ฝนก็ไม่สาดถึง เห็นแล้วก็มองตากัน นักบินก็มองกัน ทางด้านหนึ่งเป็นฟ้าแลบแปร๊บๆ อีกทางหนึ่งเป็นฝน แต่หยุดตรงหน้า (ทรงชี้ลงหน้าพระพักตร์) อย่างนี้ก็อธิบายไม่ได้ว่าเพราะอะไร
(นักข่าวกราบบังคมทูล) : เพราะพระบารมีของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพคะ
(รับสั่งถาม) คุณทราบไหมว่า บารมีนี่แปลว่าอะไร เพราะบางคนเขาหมั่นไส้ “พระบารมีปกเกล้า” พระท่านบอกว่า บารมี หมายความว่า ความดีที่สะสมเอาไว้ สะสมไว้ตลอด ท่านบอกว่า สะสมแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่ปางบรรพ์ถึงชาตินี้ สั่งสมไว้มาก นั่นถึงเรียกว่า คนที่มีความดีไว้ในตัว อย่างท่านอาจารย์ฝั้นนี่ ท่านมีบารมีสูงกว่าพวกเราๆ ถึงไปกราบท่าน ท่านสั่งสมไว้มาก
(ทูลถาม) จริงหรือเปล่าเพคะที่มีคนเขาว่า ท่านอาจารย์ฝั้นบอกกับคนอื่นว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นี่คือรัชกาลที่ 4 มาเกิด
(ทรงตอบ) อ้อ ถ้าเผื่อท่านอาจารย์ฝั้นกล่าวก็อาจจะเข้าเค้า ฉันไม่ทราบ เพราะไม่เคยกล่าวกับฉัน ทราบแต่ว่า ท่านบอกว่า พระเจ้าอยู่หัวองค์นี้มีบุญมาก เพราะว่าทำแต่ความดี แล้วก็มุ่งมั่นแต่ความดี ที่หลวงปู่โต๊ะท่านบอกว่า คนโง่ ถึงจะไม่รู้ว่า พระมหากษัตริย์พระองค์นี้เป็นอย่างไร คนโง่เท่านั้นที่จะด่าว่า แล้วท่านบอกว่า ไม่เป็นมงคลเลยกับตัวเขาเอง บอกว่าถึงเขาจะห้อยพระ ถึงเขาจะมีของดีอะไรก็ตาม ท่านบอก ถ้าไม่มีความดีเป็นรากฐานแล้ว สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนจะคุ้มครองได้ บอกคนนี้ต้องมีความดีอยู่ในตัว
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯไปทรงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ณ วัดมหาสมณกิจภาวนา อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร และทรงเยี่ยมราษฎรที่มาคอยเข้าเฝ้าฯ ณ บริเวณวัด เมื่อวันที่ 17 พ.ย. 2523
(จิราภา อ่อนเรือง ทูลถาม) เวลานี้มีคนเล่าว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท่านทรงอุเบกขามากเหลือเกินและในวังเรียกท่านว่า “พระปัจเจกพุทธเจ้า” ไม่ทราบว่าเป็นจริงประการใด
(ทรงตอบ) อุ๊ย ไม่ถึงกับอย่างนั้น คือว่า เมื่อ 2-3 วันนี่ ท่านอาจารย์หลวงปู่โต๊ะ อายุ 94 เห็นพระทุกองค์นี่กราบหมด ไม่ว่าจะเป็นพระสมเด็จชั้นไหนก็กราบหมด ท่านอยู่วัดประดู่ฉิมพลี ท่านอาพาธมาอยู่ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ ก็ไปจัดที่บูชา ตั้งโต๊ะหมู่บูชาถวาย ช่วยกันกับคุณหญิงสุวรีจัดดอกบัวสัตตบงกชไปถวายที่หน้าโต๊ะหมู่บูชา แล้วก็คลานออกมากราบท่าน ท่านก็สอนให้
ท่านสอนว่า มหาบพิตร ไม่มีอะไรแน่หรอกในโลกนี้ อย่าไปถือว่า มีอะไรแน่นอน ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรแน่นอน ยึดไม่ได้ อย่าไปยึด อย่าไปถือ แต่ความดีความชั่วนี่ถือได้ มันติดอยู่กับตัวเรา แหม 94 แล้ว สมองท่านยังดีเยี่ยม ท่านบอกว่า มหาบพิตร แผ่เมตตาไปเรื่อยๆ ทำแต่ความดีเข้า ใครเขาจะว่าอะไร เมตตาเขาไป เขาไม่รู้ความจริง เขาถึงได้ว่า บอกว่า อย่าไปเคืองแค้น แผ่ไป เมตตา แล้วท่านก็กล่าวถึง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า คนที่เขาตำหนิติเตียน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นี่ เขาต้องเป็นคนที่ไม่มี...เป็นคนไม่ฉลาด บอกว่า ต้องดูซิว่า ทำไมท่านถึงได้มาเกิดที่นี่ แล้วก็ต้องดูต่อว่า ทำไมเวลาท่านเกิดที่นี่ ท่านมีแต่ให้ ให้บ้านให้เมือง ท่านไม่มีเอาเลย ทำไมท่านถึงทำอย่างนั้นเสมอต้นเสมอปลายก็ต้องแสดงว่า ท่านเป็นผู้ที่จิตชำระสะอาดมาก แล้วดูซิว่า ท่านเอาไหม บอกถ้าคนฉลาด เขาจะคิดอย่างนี้ ถ้าคนไม่ฉลาดก็อย่าไปเคืองแค้นเลย เพราะว่าเขาคิดได้แค่นั้นเอง ท่านสอนโดยไม่ได้ถามท่านเลย
ขำ เมื่อตอนท่านหนุ่มๆ บอกว่า ท่านดัดผม (ทรงพระสรวล) ในหลวงดัดผม ที่แท้แม้แต่จะส่องกระจกนานๆ ก็ไม่ส่อง ไม่สนพระทัย แล้วก็อย่างกระดุม กระดุมของรัชกาลที่ ๕ ที่ทรงใส่ ๕ เม็ดนี่ สวย เป็นไพลิน งามๆทั้งนั้น ฉันเอามาให้ท่านไว้ใส่ ท่านก็ไม่ชอบใช้ นาฬิกา ซื้อถวายเมื่อวันเฉลิมฯ ซื้อเป็นเรือนทอง ท่านก็ไม่ชอบ เพราะท่านบอกว่า “ต้องแกะเข้าแกะออก ฉันไม่ชอบ ชอบเวลาล้างมืออะไรมันได้ทั้งนั้น” ตกลงเสด็จฯ ออกสเตทวิสิท (การเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศอย่างเป็นทางการ) ก็นาฬิกาเหล็กนั่น เสด็จฯ ลงเรือใบก็นาฬิกาเหล็กเรือนนั้น
ที่แปลก คือเรื่องเสวยนี่ จะเย็นจะร้อน ท่านไม่สนพระทัยเลย เอามาตั้งนี่ ไม่เคยขอเลย เติมน้ำปลา ไม่เคยเลย นี่มหาดเล็กที่อยู่นี่ทราบเป็นพยานได้เลย ท่านไม่เอา ไม่สนพระทัยเลย