โรคสมาธิสั้นเป็นโรคทางจิตเวชที่เกิดขึ้นในเด็กมากที่สุดจากหลายปัจจัย ทั้งทางชีวภาพ ได้แก่ พันธุกรรม ระบบประสาทซึ่งพบว่าส่วนหน้าทำงานผิดปกติ โดยเฉพาะบริเวณที่เกี่ยวกับการคิด การวางแผน การจัดลำดับ การควบคุมตนเอง รวมถึงมีสารในสมองที่สำคัญบางตัวน้อยกว่าคนทั่วไป นอกจากนี้ การเลี้ยงดูและสิ่งแวดล้อมทำให้เด็กเป็นสมาธิสั้นมากขึ้น เช่น การเลี้ยงดูที่ตามใจมากจนไม่มีระเบียบวินัย และการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ เช่น ไอแพด แท็บเล็ต มือถือ รวมถึงโทรทัศน์ เป็นเวลานาน
โดยจัดเป็นกลุ่ม 3 อาการหลัก ได้แก่
1. พฤติกรรมขาดสมาธิ
2. พฤติกรรมซุกซนไม่อยู่นิ่ง หรือ เด็กไฮเปอร์
3. พฤติกรรมขาดความยับยั้งชั่งใจตนเอง
กลุ่มอาการเหล่านี้มักไม่ค่อยชอบที่ผู้ปกครองเข้าไปบังคับ หรือใส่ใจรายละเอียดมาก ๆ เช่นการใส่หน้ากากอนามัย การล้างมือบ่อย ๆ ไม่เอามือสัมผัสใบหน้า การต้องอยู่ห่างจากคนอื่น หรือการไม่สามารถออกไปข้างนอกเหมือนปกติ ซึ่งเป็นการใช้ชีวิตที่ฝืนธรรมชาติของเด็ก ผู้ปกครองควรหมั่นสังเกตอาการของเด็กและถามความรู้สึกเพื่อให้เด็กได้ระบาย สิ่งสำคัญในการช่วยเหลือเด็กคือผู้ปกครองต้องสามารถจัดการอารมณ์ตัวเอง และใช้วิธีการผ่อนคลายความตึงเครียดให้เด็ก
คำแนะนำในช่วงการแพร่ระบาดของโรค
(1) ถามความรู้สึกเพื่อให้เด็กได้ระบาย พยายามช่วยหาทางออก เช่น หากเด็กอยากจัดงานวันเกิด ให้ลองชวนเพื่อนมาอวยพรผ่านวิดีโอคอล
(2) สร้างบรรยากาศให้ใกล้เคียงปกติ คุยเรื่อง covid-19 เท่าที่จำเป็น อธิบายสถานการณ์ให้เด็กเข้าใจถึงการติดต่อและวิธีป้องกันโรค และไม่พูดให้ดูน่ากลัวว่าความเป็นจริง
(3) คนในครอบครัวไม่ควรวิตกกังวลมากจนเกินไปเช่น เปิดสื่อตลอดเวลา พูดถึงโรคด้วยความตื่นกลัว ใช้แอลกอฮลพ่นเช็ดถี่เกินไปจะทำให้เด็กเครียดไปด้วย
(4) หากิจกรรมทำที่ใกล้เคียงภาวะปกติที่สุด ชวนเด็กทำกิจกรรมที่ชอบ หลีกเลี่ยงการอยู่กับหน้าจอ
(5) หากเด็กอยากออกไปข่างนอกจริง ๆ อาจให้ออกไปในที่มีความเสี่ยงน้อย เช่น สวนสาธารณะในหมู่บ้าน โดยบอกสอนถึงข้อระวังต่าง ๆ
ผู้ปกครองหลายคนมองข้ามภาวะสมาธิสั้นในเด็กเล็ก เพราะอาจจะไม่มีความผิดปกติที่ชัดเจน หรือไม่กล้าพาไปพบแพทย์เพราะกลัวเป็นตราบาป ส่วนใหญ่จะพาพบหมอเมื่ออยู่ประถม 4-5 ที่เริ่มมีปัญหาเพราะต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้น แต่อยากให้มองว่า การไม่รักษาอาจทำให้เด็กสูญเสียโอกาส หากเขานิ่งได้อีกหน่อย จะเรียนรู้ได้มากขึ้น ทำให้เก่งและดีขึ้นกว่านี้ การรักษาโรคสมาธิสั้นในเด็กขึ้นอยู่กับวินิจฉัยของแพทย์ ทั้งการปรับพฤติกรรม และทานยาควบคู่ไปด้วย ซึ่งปัจจุบันมียาหลายชนิด ทั้งมากมาย มีผล 4 ชั่วโมง หรือ 8-12 ชั่วโมง ไม่ต้องกังวลว่าเด็กจะลืมทานยาเมื่ออยู่ที่โรงเรียน แม้ช่วงนี้ ต้องใช้เวลาอยู่ที่บ้านมากขึ้นอาจเกิดความตึงเครียดในครอบครัว แต่ถือเป็นโอกาสที่ดีที่ได้อยู่กับลูกและปรับจูนเข้าหากัน เพราะถ้าเขาโตแล้วจะไม่มีเวลาอยู่กับเรา อย่างไรก็ตาม พ่อแม่คือตัวอย่างที่ดี ไม่ควรใจร้อน เพราะเด็กจะมีพฤติกรรมตามสิ่งแวดล้อม และลองสังเกตพฤติกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ของลูกด้วย
โรคไบโพลาร์ (bipolar disorder) หรือโรคอารมณ์แปรปรวนสองขั้ว เป็นความผิดปกติของทางอารมณ์สองแบบ คือ อารมณ์ดีหรือก้าวร้าวผิดปกติ (mania) และอารมณ์ซึมเศร้าผิดปกติ (depressed) หรือในบางรายอาจมีอารมณ์ผิดปกติเพียงอย่างเดียว โรคไบโพลาร์เกิดจาก พันธุกรรมที่ผิดปกติ และอาจเกิดจากการทำงานที่ผิดปกติของสมอง สารสื่อประสาทที่ไม่สมดุล และจากสภาพแวดล้อม เช่น การเลี้ยงดูในวัยเด็ก หรือความเครียดมาก ๆ และโรคบางอย่าง เช่นไทรอยด์ฮอร์โมนผิดปกติ
ช่วงโควิดทำให้ผู้ป่วยไบโพลาร์ขาดการรักษา ขาดยา ญาติควรสังเกตการเปลี่ยนแปลง ปรึกษาหมอเมื่อมีอาการไม่ดี ผู้ป่วยไบโพลาร์ควรทำ 3 สิ่ง คือ หลีกเลี่ยงความเครียด นอนให้พอ และกินยาให้สม่ำเสมอ เนื่องจากเป็นความผิดปกติของสารสื่อประสาท จำเป็นต้องมีตัวช่วยหากไม่ได้รับยาอารมณ์จะค้างอยู่ขั้วในขั้วหนึ่งนาน ทำให้การใช้ชีวิตแย่ลง และไม่ควรใช้โซเชียลมีเดียมากเกินไปเพราะจะไปกระตุ้นขั้วอารมณ์อ่อนไหว ทำให้อาการกำเริบ ครอบครัวมีความสำคัญมากและการอยู่ใกล้ชิดเกินไป ไม่มีพื้นที่ส่วนตัว อาจทำให้กระทบกระทั่งกัน โดยเฉพาะคนไทยจะมีปัญหาเรื่องการสื่อสาร เช่น รักกันแต่แสดงออกไม่เป็น การตำหนิคือความเป็นห่วง แต่ทำให้คนโดนรู้สึกไม่เติมเต็ม หมอจะทำจิตบำบัดครอบครัว สนับสนุนให้พูดคุยปรับความเข้าใจกัน สิ่งสำคัญ ไม่ควรใช้คำว่า “ไบโพลาร์” มาล้อเล่น หรือบูลลี่กัน
ปัจจุบันเชื่อว่าโรคจิตเภทเกิดจากหลายปัจจัย ทั้งทางด้านร่างกาย เช่น พันธุกรรม สารเคมีในสมองและสมองบางส่วนมีความผิดปกติ และปัจจัยสภาพจิตใจ ได้แก่วิธีคิดที่เป็นปัญหา ความเครียด การสูญเสียครั้งใหญ่ ๆ การอดนอนนาน ๆ และการใช้ยาเสพติด เป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดโรค โรคนี้พบได้ ประมาณร้อยละ 1 ของประชากร
คนไข้จิตเภทส่วนใหญ่ไม่รู้ตัวและไม่ยอมรับว่าตัวเองป่วย การศึกษารายงานว่าเกิดจากสารเคมีในสมอง ดังนั้นยาสำคัญที่สุด จิตบำบัดอย่างเดียวไม่สารถช่วยได้ ในช่วงโควิด ญาติต้องอยู่ในระบบและหมั่นสังเกตผู้ป่วย อาการนอนไม่ค่อยหลับเป็นสัญญาณแรกที่แสดงถึงความผิดปกติ หากคนไข้หลุดจากระบบการรักษาไป แม้จะไม่นาน อาจทำให้กลับไปเป็นปรกติช้า ปัจจุบันมีการพัฒนายาที่มีความจำเพาะ บล็อกเฉพาะสารที่เป็นปัญหาแต่ทำให้คนไข้มีชีวิตที่ดีขึ้นใช้ชีวิตได้ บางตัวดูไม่ออกว่าเคยป่วย มีแบบฉีดเดือนละครั้ง รายสามเดือน ในต่างประเทศจะมียารายหกเดือนช่วยให้อาการไม่ถดถอย ส่วนใหญ่รักษาเร็วแต่เมืองไทยการรักษาไม่ค่อยเห็นผลและทำให้ภาพลักษณ์ผู้ป่วยดูรุนแรง เนื่องจากมารักษาเมื่อเป็นมากเพราะไม่เห็นความสำคัญของการกินยาต่อเนื่อง เช่น กินเฉพาะมีอาการเท่านั้น ความจริงต้องกินยาต่อเนื่องจนสารในสมองกลับเป็นปกติ และรักษาควบคู่กับการทำกิจกรรมบำบัดเพื่อฝึกวิธีคิดที่มีความยืดหยุ่น เชิงบวก สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เลวร้ายได้มากขึ้น
หรือสามารถติดต่อเพื่อขอรับคำปรึกษาได้จากโรงพยาบาลตามรายชื่อดังต่อไปนี้
หมอพัฒนาการเด็ก กับ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น
จิตแพทย์ ผู้ใหญ่ ดูแล ไบโพลาร์ และ จิตเภท