การรักใคร่ชอบพอกัน เป็นธรรมดาของมนุษย์ที่เริ่มเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกขับเคลื่อนด้วยอารมณ์ทางเพศตามธรรมชาติ เพื่อให้มนุษย์มีการสืบพันธุ์และดำรงเผ่าพันธุ์ต่อไปเฉกเช่นเดียวสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ แต่สิ่งที่แตกต่างกันระหว่างสิ่งมีชีวิตอื่นกับมนุษย์นั้น คือสติปัญญา ในการคิดไตร่ตรองอย่างรอบคอบ การยับยั้งชั่งใจ และการจัดการกับอารมณ์ดังกล่าวได้อย่างเหมาะสม จึงทำให้มนุษย์ส่วนใหญ่นั้นสามารถหาทางออกเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้อย่างดี และไม่ปล่อยให้มันอยู่เหนือเหตุผล
สำหรับความเข้าใจของใครหลาย ๆ คน อาจมองว่าความสัมพันธ์ทางเพศคือการมีเพศสสัมพันธ์ แต่ความจริง การแสดงออกเช่น การจูงมือ กอด จูบ หรือเล้าโลม ก็ถือเป็นการแสดงออกในความสัมพันธ์ทางเพศแล้ว เพียงแค่มีผลกับความรู้สึกน้อยกว่ากว่าเมื่อเทียบกับการมีเพศสสัมพันธ์
สำหรับผู้ใหญ่ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาแล้ว อาจมองว่าการมีเพศสัมพันธ์กันนั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดา แม้ว่าสมัยก่อนจะมองว่าการมีเพศสัมพันธ์คือกิจกรรมที่ควรมีขึ้นหลังแต่งงานกับคู่สามีภรรยาของตัวเอง แต่ในปัจจุบันค่านิยมในเรื่องนี้กลับเปลี่ยนแปลงไปและเปิดกว้างมากขึ้น โดยมองว่ากิจกรรมทางเพศนั้น ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของทั้ง 2 ฝ่าย โดยไม่จำเป็นต้องแต่งงานกันก่อน ซึ่งไม่ได้เฉพาะแต่คู่หญิงชายตามปกติเท่านั้น คู่ที่เป็นกลุ่มเพศทางเลือกก็มีการแสดงออกในเรื่องนี้มากขึ้นด้วยเช่นกัน
ค่านิยมที่เปลี่ยนไปนี้ ต่อมาได้ส่งผลกระทบกับเด็กและเยาวชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะด้วยการนำเสนอของสื่อต่าง ๆ ในรูปแบบความบันเทิง ทำให้เด็กและเยาวชนซึมซับสิ่งเหล่านี้ได้ง่ายและมองมันเป็นเรื่องปกติธรรมดา ประกอบกับอารมณ์ทางเพศที่พลุกพล่านขึ้นตามธรรมชาติ ก็ยิ่งผลักดันให้เด็กและเยาวชนอยากรู้และอยากลองในเรื่องนี้มากขึ้นไปอีก
อย่างไรก็ดี แม้ว่าเด็กและเยาวชนจะมีโอกาสมีเพศสัมพันธ์กันมากขึ้น แต่ด้วยค่านิยมที่เปลี่ยนไป ทำให้ทุกคนเห็นความสำคัญกับการสอนเพศศึกษา ซึ่งแต่เดิมเป็นเรื่องที่มองกันว่าเป็นเรื่องที่น่ารังเกลียด ก่อนที่จะมีการปฏิรูปและปรับปรุงการเรียนการสอนให้เข้ากับยุคสมัย ซึ่งช่วยให้นักเรียนที่เป็นวัยรุ่ยรับมือกับเรื่องนี้ได้ดีมากยิ่งขึ้น
เป้าหมายของการสอนเพศศึกษาในโรงเรียน คือ การให้นักเรียนรู้จักตัวเองและรู้จักเพศตรงข้าม เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง เรียนรู้ที่จะปฏิบัติตัวอย่างเหมาะสมกับบุคคลอื่น ทั้งที่เป็นเพศเดียวกันและต่างเพศ ตลอดเรื่องรู้เกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์ โอกาสที่ส่งผลให้เกิดการมีเพศสัมพันธ์ ผลกระทบ และการป้องกันอย่างเหมาะสม ซึ่งต้องยอมรับว่าการสอนเพศศึกษาในโรงเรียนนั้น แม้ว่าจะไม่ได้ช่วยให้นักเรียนมีเพศสสัมพันธ์กันน้อยลง แต่ก็ช่วยให้นักเรียนมีแนวโน้มที่จะเข้าใจตัวเองและผู้อื่น รวมถึงมีเพศสัมพันธ์กันอย่างปลอดภัยมากขึ้นด้วย
เป็นธรรมดาที่ในโรงเรียนอาจนักเรียนบางคนที่มีสัมพันธ์ทางเพศ และมักที่จะเก็บเรื่องเหล่านี้ไว้เป็นความลับ แต่สำหรับครูประจำชั้นแล้ว ด้วยความที่ทราบถึงนิสัยใจคอของนักเรียนในความดูแลเป็นอย่างดี ก็มักจะมีความระเคาะระคายถึงสิ่งที่นักเรียนกำลังปิดบังอยู่ ซึ่งเรื่องที่นักเรียนแอบมีความสัมพันธ์ทางเพศกันนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่ปกปิดกันได้ง่ายนัก
1. เมื่อทราบว่านักเรียนแอบมีเพศสัมพันธ์มาก่อนหน้านี้ คุณครูผู้สอนควรเรียกนักเรียนคนนั้นมาพูดคุยเป็นการส่วนตัวอย่างเป็นกัลยาณมิตรและเป็นความลับ เพื่อสอบถามข้อมูลถึงความเป็นมาเป็นไปว่า ไปมีสัมพันธ์ทางเพศกับใคร และไปรู้จักกันได้อย่างไร โดยสำคัญที่สุดคือ ต้องถามนักเรียนว่ามีเพศสสัมพันธ์กันเป็นไปในระดับไหนและมีการป้องกันหรือไม่ ซึ่งถ้าไม่ได้ป้องกันก็ควรแนะนำให้นักเรียนรับประทานยาคุมฉุกเฉินในช่วงเวลาที่เหมาะสม เพื่อป้องกันผลกระทบที่จะตามมา เช่น การตั้งครรภ์ ซึ่งจะกลายเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบมากกว่า
2. ในการพูดคุยกับนักเรียน ครูผู้สอนต้องไม่แสดงออกว่าการกระทำของนักเรียนนนั้นเป็นเรื่องที่ผิดหรือเสื่อมเสีย เพราะเรื่องแบบนี้คือเรื่องธรรมดาที่อาจเกิดกับใครก็ได้ แม้ว่าสำหรับวัยเรียนอาจจะไม่เหมาะสมแต่ก็เป็นเรื่องธรรมชาติ จึงควรพูดคุยกับนักเรียนอย่างเป็นมิตรตามปกติ
3. แม้ว่าเรื่องการมีเพศสสัมพันธ์เป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ครูผู้สอนควรแนะนำนักเรียนให้ทำกิจกรรมที่น่าสนใจอื่น ๆ เพื่อเป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ และพยายามให้นักเรียนโฟกัสในเรื่องอื่นนอกจากเรื่องเพศสัมพันธ์ ซึ่งจะทำให้นักเรียนไม่หมกมุ่น แล้วใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข
4. บางครั้งการที่นักเรียนมีเพศสัมพันธ์อาจเกิดจากความไม่ได้ตั้งใจ หรือถูกล่วงละเมิด ซึ่งสังเกตได้จากความกังวลและพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของนักเรียน คุณครูผู้สอนต้องปลอบประโลมและสอบถามข้อมูลของผู้กระทำกับนักเรียน และควรพานักเรียนไปตรวจสุขภาพ และในกรณีที่ถูกละเมิดควรพานักเรียนไปแจ้งความและพูดคุยกับผู้ปกครอง รวมถึงปรึกษาผู้บังคับบัญชาเพื่อหาแนวทางการช่วยเหลือ
5. การพูดคุยกับผู้ปกครองในเรื่องนี้ควรจะเป็นสิ่งสุดท้าย เมื่อพบว่าการมีเพศสสัมพันธ์ที่เกิดจากความสมัครใจของนักเรียนนั้น กลายมาเป็นผลกระทบที่ใหญ่ขึ้น เช่น พบว่านักเรียนมีการตั้งครรภ์ หรือ ติดโรคจากการมีเพศสัมพันธ์ ทั้งนี้เพื่อให้หาแนวทางในการแก้ไขปัญหาอย่างเหมาะสม
6. การแนะนำนักเรียนให้หลีกเลี่ยงสถานการณ์ รวมถึงการปฏิบัติตนที่เสี่ยงต่อการมีเพศสัมพันธ์ยังคงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด เพราะถือเป็นการป้องกันตั้งแต่ต้นเหตุ
7. จัดกิจกรรมให้นักเรียนได้เรียนรู้ความแตกต่างทางเพศในมุมมมองอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากเรื่องความสัมพันธ์ทางเพศ เพื่อให้นักเรียนเรียนรู้ตัวเองและผู้อื่น และสามารถอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างปกติสุข ให้เกียรติซึ่งกันและกัน และเห็นคุณค่าในตัวเอง
8. ติดตามพฤติกรรมของนักเรียนอยู่เป็นระยะ และเปิดโอกาสให้นักเรียนมาขอคำปรึกษาในเรื่องนี้ได้ทุกเวลา
9. ปัจจุบันในความสัมพันธ์ มีความหลากหลายทางเพศมากขึ้น นักเรียนบางคนอาจมีสัมพันธ์ทางเพศในรสนิยมที่แตกต่างกันไป ดังนั้น ในฐานะครูผู้สอน ควรมองสิ่งเหล่านี้อย่างยอมรับและเปิดกว้าง โดยมองว่าเป็นสัมพันธ์ทางเพศทั่วไป โดยไม่แบ่งแยกหรือมองว่าเป็นความผิดปกติ และแนะนำนักเรียนในเรื่องนี้อย่างเหมาะสมเช่นเดียวกัน
10. คุณครูสอนต้องเน้นย้ำนักเรียนว่าถุงยางอนามัยคือสิ่งที่ต้องพกในกระเป๋าเสมอ ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกต้อง โดยเฉพาะกับนักเรียนชาย และใช้ทุกครั้งเมื่อจำเป็น โดยความจำเป็นนั้นต้องมาหลังจากการพยายามหลีกเลี่ยงแล้วเสมอ เพราะการใช้ถุงยางอนามัยนั้นไม่ได้ช่วยให้ปลอดภัยจากการมีเพศสัมพันธ์แบบ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็ช่วยได้มาก
การมีเพศสสัมพันธ์ในวัยเรียน ความกังวลที่สุดคงหนีไม่พ้นเรื่องของผลพวงจากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย เพราะอย่าลืมว่าเด็กและเยาวชนมีโอกาสพลาดพลั้งกับทำนองนี้ได้มากกว่าผู้ใหญ่ และมีแนวโน้มที่จะเกิดปัญหาในการจัดการผลกระทบที่เกิดขึ้นนี้ได้โดยลำพัง เมื่อเทียบกับผู้ใหญ่ พวกเขาจึงจำเป็นต้องได้รับคำแนะนำและการช่วยเหลือที่เหมาะสม
ดังนั้น ก่อนที่ปัญหาจะบานปลายใหญ่โต ครูผู้สอนควรเข้าไปมีบทบาทในการช่วยปรับพฤติกรรมของนักเรียนอย่างสร้างสรรค์ เพื่อให้เขาถอยห่างจากเรื่องความสัมพันธ์ทางเพศ แล้วหันความสนใจไปยังสิ่งอื่นที่มีคุณค่าและเป็นประโยชน์ต่อตัวของนักเรียนในอนาคต
เรียบเรียงโดย : นรรัชต์ ฝันเชียร