นรรัชต์ ฝันเชียร
อาการของโรคสมาธิสั้นนั้น เนื่องจากสมองส่วนหน้าของผู้ป่วยทำงานผิดปกติ ทำให้ผู้ป่วยจึงขาดความรับผิดชอบ ควบคุมตัวเองได้ไม่ดี มีอาการซุกซน วอกแวกง่าย อยู่ไม่นิ่ง ไม่ตั้งใจฟังผู้อื่นพูดและเก็บรายละเอียดไม่ค่อยได้ ซึ่งการที่จะวินิจฉัยว่าใครเป็นหรือไม่เป็นโรคสมาธิสั้นนั้น ผู้ที่สามารถวินิจฉัยได้จะต้องเป็นจิตแพทย์เฉพาะทางเท่านั้น ไม่สามารถระบุได้จากแบบทดสอบหรือการประเมินโดยบุคคลอื่น ปัจจุบันอาการสมาธิสั้นนั้น มีทั้งแบบที่เป็นผลมาจากโรคสมาธิสั้นโดยตรง หรือที่เรียกว่า สมาธิสั้นแท้ กับแบบที่เกิดจากการเลี้ยงดูในสิ่งแวดล้อมที่ต่างไปจากปกติ เช่น การเลี้ยงดูโดยปล่อยให้เด็กอยู่กับสื่อโทรทัศน์ แท็บเล็ตหรือสมาร์ทโฟนมากเกินไป หรือไม่มีการอบรมสั่งสอนอย่างเหมาะสม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้เด็กมีอาการสมาธิสั้น หรือ ที่เรียกว่าสมาธิสั้นเทียมได้ โดยทั้งสองแบบนั้น มีการรักษาหรือดูแลแตกต่างกัน สำหรับสมาธิสั้นเทียม เด็กอาจจะหายได้ เมื่อได้รับการปรับพฤติกรรมอย่างเหมาะสม ส่วนสมาธิสั้นแท้นั้น ยังไม่มีการรักษาที่ทำให้หายขาด แต่มีการให้รับประทานยาเพื่อควบคุมอาการ ซึ่งในกรณีที่มีภาวะไม่มากนัก อาการของโรคอาจจะลดน้อยลงเมื่อโตขึ้นได้
ปัจจุบันนี้มีเด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้น ทั้งที่วินิจฉัยและยังไม่ได้รับการวินิจฉัยอยู่ในระบบโรงเรียนมากมาย ซึ่งพวกเขาเหล่านั้น ส่วนใหญ่เรียนร่วมอยู่ในชั้นเรียนปกติ และมักที่จะประสบปัญหาด้านการเรียนหรือมีปัญหาพฤติกรรม ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาตัวเอง ดังนั้นเพื่อให้พวกเขาสามารถเรียนรู้ได้ตามศักยภาพ ต่อไปนี้คือเทคนิคง่าย ๆ ที่ช่วยให้นักเรียนที่เป็นโรคสมาธิสั้นสามารถเรียนรู้ในชั้นเรียนได้อย่างมีความสุข
ห้องเรียนส่วนใหญ่นั้น มักจะมีการจัดที่สำหรับแสดงสื่อการเรียนการสอนไว้ให้นักเรียนได้สังเกต ซึบซับและสามารถหยิบใช้ได้ง่าย รวมไปถึงห้องเรียนที่มีเสียงดังเกินไปหรือมีสีที่ฉูฉฉาด สิ่งเหล่านี้ล้วนมีผลทำให้สมาธิของนักเรียนลดน้อยลง โดยเฉพาะกับนักเรียนที่เป็นโรคสมาธิสั้น ดังนั้นคุณครูควรจัดหาพื้นที่ในห้องเรียนที่ห่างจากสิ่งเร้าเหล่านี้สำหรับกลุ่มเด็กดังกล่าว เพื่อให้พวกเขามีสมาธินานขึ้น
ระหว่างที่ดำเนินการสอน คุณครูควรสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนอยู่เสมอว่า พวกเขาแสดงออกอย่างไรต่อการเรียน โดยเฉพาะนักเรียนที่ถูกวินิจฉัยว่าเป็นสมาธิสั้น ซึ่งต้องคอยกระตุ้นเตือนเมื่อพบว่านักเรียนมีอาการเหม่อ หรือเริ่มเสียสมาธิไปกับสิ่งอื่น ซึ่งวิธีการอาจจะเดินมาใกล้ ๆ แล้วแตะตัวเบา ๆ หรือเรียกชื่อเขาก็ได้ ซึ่งจะช่วยดึงสมาธิของนักเรียนให้กลับมาที่สิ่งที่กำลังจะสอนได้
การชื่นชมนักเรียน เมื่อเขามีพฤติกรรมที่ดี จะช่วยหนุนจิตใจของเขาให้แสดงพฤติกรรมที่ดีนั้นมากขึ้น ซึ่งตรงกันข้ามกับการตำหนิติเตียน ที่จะทำให้นักเรียนหมดกำลัใจ รู้สึกไม่ดีและทำให้ไม่รู้จักที่จะเคารพตัวเอง และยิ่งสำหรับนักเรียนที่เป็นสมาธิสั้น ซึ่งมีอัตราการทำสิ่งต่าง ๆ ให้ประสบความสำเร็จนั้นน้อยอยู่แล้ว ก็จะยิ่งส่งผลเสียมากขึ้นไปอีก ดังนั้นพยายามชื่นชมเขาในพฤติกรรมดี และพูดคุยอย่างมีเหตุผล โดยมุ่งให้เขาได้คิดไตร่ตรองด้วยตัวเอง ในกรณีที่เขาแสดงพฤติกรรมที่ไม่ดี จะทำให้นักเรียนเหล่านั้นพัฒนาตัวเองได้ดีขึ้น
เมื่อเราวางเป้าหมายให้นักเรียนเดินทาง เมื่อเหล่านักเรียนสามารถเดินทางไปถึงยังจุดหมายที่เราตั้งไว้ได้แล้ว เราก็ควรมอบรางวัลในความพยายามของเขาตามแต่ที่ตกลงไว้ก่อนตั้งแต่เริ่มวางเป้าหมาย ซึ่งวิธีการนี้จะทำให้นักเรียนมีแรงจูงใจที่จะพัฒนาตัวเองมากขึ้น สำหรับวิธีนี้เราสามารถนำมาใช้กับนักเรียนที่มีภาวะสมาธิสั้นได้ โดยการวางเป้าหมายให้เขาไปถึงทีละขั้น แล้วมอบรางวัลในแต่ละขั้นให้เมื่อเขาสามารถมาถึงเป้าหมายได้ เช่น จะให้ขนมเมื่อนักเรียนสามารถทำงานที่มอบหมายให้เสร็จเรียบร้อย เป็นต้น โดยอาจใช้ควบคู่กับการลงโทษ เช่น การตัดคะแนนหรือไม่ให้รางวัล เมื่อเขาแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม แต่ควรเน้นวิธีการให้รางวัลมากกว่าที่จะลงโทษ
คุณครูไม่ควรกล่าวโทษ หรือแสดงกริยาที่ไม่พอใจในพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของนักเรียนที่เป็นสมาธิสั้น เพราะนักเรียนที่ถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคสมาธิสั้นนั้น หมายความว่ามีความผิดปกติในการทำงานของสมองทำให้ส่งผลต่อพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของเขา ถ้าคุณครูมองเห็นในจุดนี้ เราจะมองพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของเขาอย่างเข้าใจและให้อภัยมากขึ้น เพราะสิ่งที่เขากระทำนั้นไม่ใช่มาจากความต้องการของเขาเอง แต่มาจากความผิดปกติที่ทำให้เขาควบคุมตัวเองไม่ได้
เมื่อคุณครูมีความเข้าใจในเด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้นแล้ว การเลือกที่จะมองเขาในด้านที่ดี จะช่วยให้คุณครูมองข้ามพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของเขา ซึ่งจะส่งผลให้คุณครูดำเนินการสอนได้อย่างสบายใจ ไม่กดดัน และไม่มีความเครียดในการดูแลหรือให้ความช่วยเหลือนักเรียนที่เป็นโรคสมาธิสั้น
คุณครูควรสอนให้นักเรียน โดยเฉพาะนักเรียนที่มีภาวะสมาธิสั้นรู้จักจัดตารางเวลาของตัวเอง โดยการให้พวกเขาจดสิ่งต่าง ๆ ที่ต้องทำลงในสมุด แล้วจูงใจให้เขาทำตามสิ่งที่จดนั้นโดยอาจเป็นการชมเชยหรือให้รางวัลเมื่อเขาสามารถทำได้จนครบ วิธีนี้คือการวางเงื่อนไขให้เขาจดจ่อกับงานหรือสิ่งที่ต้องทำมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้เขามุ่งมั่นและรับผิดชอบมากยิ่งขึ้น
เอกสารอ้างอิง
https://www.bangkokhospital.com/th/disease-treatment/adhd-disorder
https://www.thaihealth.or.th/Content/41130-7%20%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%81%20'%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99'.html