หลาย ๆ คนคงคุ้นตา “โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ” แถบสีลมกันเป็นอย่างดี เพราะเป็นโรงแรมที่อยู่คู่สังคมไทยมากว่า 50 ปีแล้ว ในยุคสมัยนั้น โรงแรมดุสิตนับเป็นต้นแบบของอาคารสถาปัตยกรรมไทยโมเดิร์นยุคแรก ๆ ที่โก้ หรู และทันสมัยมาก ๆ เพราะเป็นโรงแรมขนาดใหญ่ที่สูงที่สุด มีห้องพักกว้างที่สุด และมีสิ่งอำนวยความสะดวกแก่ผู้พักอาศัยพรั่งพร้อมที่สุดเลยทีเดียว
โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ เป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว ก่อตั้งโดย ท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย และเปิดดำเนินกิจการเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2513 ในยุคนั้น โรงแรมดุสิต นับเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ที่สร้างความตื่นตาตื่นใจให้คนยุคนั้นไม่น้อย
โรงแรมดุสิตธานี ก่อสร้างขึ้นจากแนวคิด "การเป็นโรงแรมที่โดดเด่นและดีที่สุดตามมาตรฐานสากล แต่ยึดขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมไทยเป็นหลัก" จึงไม่แปลกใจเลยว่าทุกครั้งที่ก้าวเข้าไปในโรงแรม เราจะสัมผัสกลิ่นอายของความเป็นไทย ผสมกับความโมเดิร์นและความอบอุ่นสะดวกสบายแทบทุกครั้ง
แม้โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ จะปิดตัวไป แต่โรงแรมและรีสอร์ทในเครือดุสิตธานี ยังเปิดให้บริการตามปกติ โดยมีโรงแรมและรีสอร์ททั้งในประเทศและต่างประเทศรวม 27 แห่ง และมีโรงแรมที่กำลังจะเปิดให้บริการในระยะเวลา 3 ปี ข้างหน้าเพิ่มอีกกว่า 50 แห่งทั่วโลก
โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ นับเป็นหน้าเป็นตาของประเทศเลยทีเดียว เพราะเมื่อมีแขกบ้านแขกเมืองมาทีไร เป็นต้องพามาสัมผัสบรรยากาศความเป็นไทยที่โรงแรมแห่งนี้เสมอ (ประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดการประกวด Miss Universe 3 ปี คือ ปี 1992, 2005 และ 2018 โรงแรมดุสิต เป็นโรงแรมที่ใช้เก็บตัวนางงามทั้ง 3 ปีเลยค่ะ) ดังนั้น การประกาศปิดตัวครั้งนี้ จึงชวนให้รู้สึกใจหายอยู่เหมือนกัน
เพราะความเจริญและการเติบโตของธุรกิจโรงแรมรุดหน้าไปมาก โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ จึงต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งใหญ่ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้บริการ ทั้งในเรื่องของขนาดห้องพัก ขนาดห้องอาหาร และการอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ที่จำเป็นต้องดียิ่งขึ้นไปอีก คณะผู้บริหาร จึงจำเป็นต้องตัดสินใจปิดกิจการโรงแรมดุสิต เพื่อปรับปรุง และสร้างโรงแรมดุสิตโฉมใหม่ เพื่อให้สามารถแข่งขันกับโรงแรมระดับโลกได้
แต่เหนืออื่นใด เสน่ห์ของโรงแรมดุสิตธานีจะยังคงอยู่ เพราะยึดถือคำมั่นว่า "สิ่งที่แท้ คือสิ่งที่เราเป็น" โรงแรมดุสิตโฉมใหม่จะยังคงเป็นโรงแรมแบบไทย ออกแบบอย่างไทย และชื่อภาษาไทย เพื่อคงความเป็นดุสิตธานีไว้ แค่เปลี่ยนเสื้อผ้าภายนอกให้ดูทันสมัยขึ้นเท่านั้นเอง
เพื่อให้คงความเป็น "ดุสิตธานี" ไว้ ทางโรงแรมได้จัดทำโครงการบันทึกการเปลี่ยนผ่านหน้าประวัติศาสตร์ของโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ “Preserving Dusit Thani Bangkok’s Artistic Heritage” ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยศิลปากร ในการอนุรักษ์เอกลักษณ์ของโรงแรมดุสิตธานีไว้ ดังนั้น รับรองได้เลยว่าโรงแรมดุสิตธานีโฉมใหม่ จะยังมีกลิ่นอายและบรรยากาศเดิม ๆ เหมือนเอาโรงแรมดุสิตธานีที่เราคุ้นเคยมาปรับโฉมใหม่นั่นล่ะค่ะ (เสาหินจิตรกรรมฝาผนังแสนสวยที่ห้องอาหารเบญจรงค์เขาก็ตัดไปไว้ที่โรงแรมใหม่ด้วยนะคะ)
ระหว่างที่ไปเก็บภาพโรงแรมดุสิตธานี เขากำลังประดับโรงแรมต้อนรับเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่อยู่ค่ะ สวยและน่าประทับใจมาก ๆ บรรยากาศผสมผสานกันระหว่างไทยและเทศอย่างลงตัว ด้วยการใช้โทนสีทอง ลวดลายตกแต่งแบบไทยและเทศผสมกัน ประทับใจและชอบมาก ๆ เลยล่ะค่ะ
เราไปชมภาพบรรยากาศของโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ แบบเต็มอิ่มกันดีกว่านะคะ
ถ่ายรูปไปถ่ายรูปมา หิวซะงั้น เลยเลี้ยวเข้าไปที่ห้องอาหาร Thien Duong (เธียนดอง) ค่ะ เป็นห้องอาหารเวียดนามรสชาติต้นตำรับเลยทีเดียว (เธียนดอง แปลว่าสรวงสวรรค์ในภาษาเวียดนามด้วยนะคะ)
การตกแต่งภายในร้านเน้นบรรยากาศของความเป็นเวียดนามมากเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์ ฉากไม้ มุมถ่ายภาพ หรือกระทั่งชุดพนักงาน เหมือนหลุดมาอยู่ที่เวียดนามยังไงยังงั้นเลยล่ะ
ออเดิร์ฟของเรามาเสิร์ฟแล้วค่ะ ปากหม้อนี้มีทั้งไส้หมูและไส้กุ้งให้เลือกตามชอบ พนักงานจะเสิร์ฟพร้อมซอสแครอท หรือ Nuoc Cham ในภาษาเวียดนาม ที่ทำจากสูตรเฉพาะของทางห้องอาหาร ทำสดใหม่ทุกวัน ปากหม้อรสชาติดีมากค่ะ ไส้หมูเป็นหมูสับรสกลมกล่อม ส่วนไส้กุ้งเป็นกุ้งตัวเล็กชิ้นพอดีคำ กินกับซอสและผักแนมอร่อยมาก ๆ
สังเกตได้ว่าปากหม้อของที่นี่หน้าตาจะแตกต่างจากที่อื่น เพราะเขาทำจากกระทะเทฟล่อนนั่นเองค่ะ หยอดแป้งปุ๊บ ห่อปั๊บ ทำใหม่ ๆ ให้เรากินร้อน ๆ เลย
อาหารขึ้นชื่อของเวียดนาม ไม่สั่งไม่ได้ค่ะ แหนมเนืองของที่นี่พิเศษตรงที่จัดแผ่นแป้งและผักวางซ้อนมาให้เป็นคำ ๆ เลย เราสามารถจีบและใส่เครื่อง โรยน้ำจิ้มตามชอบได้ทันที พิเศษกว่านั้นคือ ไม่มีมะนาวกับมะม่วงนะคะ เป็นสับปะรดกับมะเฟืองแทน ต้นตำรับมาเองเลยนะเนี่ย ส่วนซอสแหนมเนืองไม่ใช่ซอสถั่วแบบที่เราคุ้นเคยกัน เป็นซอสเต้าเจี้ยวค่ะ รสออกหวาน ๆ เค็ม ๆ เผ็ดเล็กน้อย แต่ถ้าใครไม่ชอบ ใส่ซอสแครอทแทนก็ได้ค่ะ อร่อยเหมือนกัน
รสชาติกลมกล่อมมาก ชอบมาก ทำจากกุ้งล้วน ๆ เลยนะคะเนี่ย เขานำมาบดและปรุงรสจนได้รสชาติกลมกล่อม และได้กุ้งที่นุ่มหนุบหนับกำลังดี แถมยังชิ้นใหญ่ด้วย เคี้ยวเพลินแบบเต็มปากเต็มคำเลยล่ะค่ะ
เมนูซิกเนเจอร์ของห้องอาหารนี้ ใครมาห้ามพลาดเด็ดขาดเลยนะคะ เขาใช้ปลาตาเดียวทอดจนเหลืองกรอบด้วยเทคนิคเฉพาะ จึงได้เนื้อปลาที่กรอบนอกนุ่มใน แถมยังไม่อมน้ำมันอีกต่างหาก กินตอนร้อน ๆ หอมและอร่อยมาก ๆ ยิ่งราดซอสตะไคร้ปั่นกับน้ำมะขามลงไปอีกยิ่งฟิน
เครื่องดื่มซิกเนเจอร์ของห้องอาหารนี้เลยค่ะ ควรสั่งเป็นอย่างยิ่ง ด้วยความสดชื่น หอม และหวานอมเปรี้ยวของส้มเช้ง ถ้าระหว่างกินอาหารแล้วรู้สึกฝืดคอหรืออยากปรับรสชาติ ดื่มน้ำส้มเช้งปั่นสักอึกสองอึก จะช่วยให้รู้สึกลื่นคอและสดชื่นขึ้นได้นะคะ
ปิดท้ายด้วยเมนูของหวาน กล้วยหอมทอด ตอนตัดกล้วยหอมทอดรู้สึกเลยว่าทั้งนุ่มทั้งกรอบ ตัวแป้งกรอบและหอมมาก แถมยังหนากำลังดี บวกกับกล้วยหอมหวาน ๆ กินคู่กับไอศกรีมแล้วสดชื่นและลงตัวมากเลยค่ะ นอกจากนี้ยังสามารถเปลี่ยนรสชาติไอศกรีมได้ตามต้องการด้วยนะ
และนี่คือเชฟผู้รังสรรอาหารแสนอร่อยมื้อนี้ของเราค่ะ เชฟภูมิพัสตร์ วัฒิธรรม
มื้อนี้อิ่มอร่อยและคุ้มมากจริง ๆ เพราะเป็นอาหารเวียดนามรสชาติดั้งเดิมที่ถูกปากคนไทย เเละตกแต่งในสไตล์ร่วมสมัยชวนให้รับประทาน ห้องอาหารเธียนดองเปิดปิดเป็นเวลานะคะ โดยเปิดมื้อกลางวัน เวลา 11.30 - 14.30 น. และมื้อค่ำ เวลา 18.00 - 22.00 น.
อีกหนึ่งห้องอาหารที่ควรไปลิ้มลองรสชาติส่งท้าย คือ ห้องอาหารเบญจรงค์ ห้องอาหารอันทรงคุณค่าและอยู่เคียงคู่กับโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ มาอย่างยาวนานค่ะ นอกจากอาหารสไตล์ไทยร่วมสมัยรสเลิศแล้ว ภายในห้องอาหารยังมีเสาไม้สักทอง 2 ต้น วาดด้วยจิตรกรรมงามล้ำฝีมือศิลปินแห่งชาติอีกด้วยค่ะ ทั้งสองอย่างนี้ถือเป็นซิกเนเจอร์ของห้องอาหารเบญจรงค์ เเละจะถูกเก็บรักษาไว้ให้คนรุ่นหลังได้ชื่นชมต่อไป
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับห้องอาหารเบญจรงค์ได้ที่นี่
ลิ้มรสอาหารไทยร่วมสมัย จากห้องอาหารไทย เบญจรงค์ โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ
FB Fanpage : @dusitthani
Instagram : @dusitthanibangkok
Website : https://www.dusit.com/dusitthani/bangkok/th/
Tel : 02 200 9000