ก่อนอื่นขอเล่าประวัติวัดนี้อย่างคร่าว ๆ ก่อนนะคะ วัดปทุมวนารามเป็นวัดที่สมเด็จพระจอมเกล้าฯ โปรดฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อพระราชทานเป็นเกียรติแด่สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี พระบรมราชชนนีของพระองค์ และในศาลารายหลังที่อยู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือของพระอุโบสถก็มีพระบรมรูปของล้นเกล้า ร.4 อยู่ภายในด้วยค่ะ
ผู้ใหญ่เล่ากันว่า เดิมทีบริเวณนี้เป็นอุทยานที่มีสระบัวขนาดใหญ่ที่ล้นเกล้า ร.4 โปรดฯ ให้ขุดขึ้น สระบัวนั้นก็คือ “สระปทุม” จึงเป็นที่มาของชื่อวัด “ปทุมวนาราม” เขต “ปทุมวัน” และวัง “สระปทุม” ตั้งแต่เข้าซุ้มประตูวัดมาเราก็จะได้เห็นดอกบัวมากมายตามจุดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นที่เสา หน้าบัน หรือแม้แต่ในภาพจิตรกรรมฝาผนังก็ปรากฏภาพดอกบัวและสระบัว แล้วลองจินตนาการดูสิคะว่าถ้าในสมัยก่อนวัดนี้อยู่กลางสระบัวจะยิ่งงามแค่ไหน
ภาพหน้าบันอุโบสถเป็นลายดอกบัว มีพระมหามงกุฏอันเป็นพระราชลัญจกรประจำพระองค์ของล้นเกล้า ร.4 อยู่ตรงกลาง และใบเสมาที่นี่จะติดกับผนังพระอุโบสถเช่นเดียวกับที่วัดบวรนิเวศวิหาร ไม่ได้อยู่บนซุ้มเสมาเหมือนวัดสมัย ร.1 – ร. 3 อย่างวัดพระแก้ว วัดโพ วัดอรุณ
ทำไมถึงเขียนว่า "วัดโพ" เพราะเดิมชื่อ "วัดโพธาราม" แปลว่า พระอารามที่มี ต้นโพ และ ต้นโพ ที่ไม่ใช้ต้นที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ก็จะเป็น "โพ" ธรรมดา ไม่ใช่ "โพธิ" หรือ "โพธิ์" ที่หมายถึง "ความตรัสรู้" แต่ปัจจุบันหลายๆ คนก็อนุโลมให้เขียนว่า "โพธิ์" ได้ แม้จะไม่ค่อยตรงความหมายนักก็ตามค่ะ
ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระสายน์ พระประธานที่อัญเชิญมาจากล้านช้าง ภาพจิตรกรรมภายในพระอุโบสถนี้เป็นภาพเขียนแบบ perspective ถ่ายทอดบรรยากาศของสุทัศนนคร บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ตามที่มีบรรยายไว้ใน ไตรภูมิกถา พระราชนิพนธ์ของพระมหาธรรมราชาที่ 1 ลิไทตามจินตนาการของจิตรกร และเชื่อกันว่าช่างได้เขียนตามพระราชดำริของล้นเกล้า ร.4 เพราะมีการเขียนอย่างถูกต้องตามทิศและมีรายละเอียดตรงกัน อีกทั้งมีการแฝงปริศนาธรรมไปด้วย
ทิศตรงข้ามพระประธานเป็นทิศตะวันออกตามธรรมเนียมนิยม ที่เวลาสร้างวัดมักให้ด้านหน้าพระอุโบสถและพระประธานอยู่ทางทิศตะวันออก เหนือประตูก็จะเห็นเป็นภาพสระบัว และมีต้นตาลเป็นแนวเขตเมือง
ผนังด้านข้างเป็นภาพอุทยานและสระสี่มุมเมืองอันได้แก่ นันทวัน ปารุสกวัน มิสกวัน และจิตรลดาวัน ดูจากสวนปารุสกวันที่แปลว่าสวนมะปรางก็จะมีต้นมะปรางอยู่ในภาพด้วย
นอกจากนี้ยังมีภาพนกยางในสระ ซึ่งเป็นปริศนาธรรมใน พระไตรปิฎก ที่เล่าเรื่องราวของนางสุชาดา ภรรยาของมฆมาณพ ซึ่งได้มาเป็นพระอินทร์องค์หนึ่งบนสวรรค์พร้อมภรรยาอีก 3 คน ที่ทำบุญร่วมกัน ในขณะที่นางสุชาดาเห็นว่าสามีทำบุญตนก็ย่อมได้อยู่แล้วจึงไม่ต้องทำร่วมกันก็ได้ เลยไปเกิดเป็นนกยางแทน
เมื่อมฆมานพที่ได้เป็นพระอินทร์แล้วก็สงสาร แนะให้รักษาศีลโดยกินปลาที่ตายแล้วแทนปลาเป็น ในภาพจิตรกรรมฝาผนังนี้ก็มีภาพนกยางตัวหนึ่งในน้ำกับนางฟ้า 3 องค์ที่ยืนให้โอวาทอยู่บนริมสระ ซึ่งน่าจะเป็นบรรดาชายาอีก 3 องค์ของพระอินทร์นั่นเอง
ด้านหลังพระประธานในพระอุโบสถของวัดส่วนใหญ่จะเขียนภาพเขาพระสุเมรุในจักรวาล แต่ที่นี่จะเป็นภาพดอกบัวที่อยู่ในสระบัวในงาช้างเอราวัณอีกที
ถัดมาเป็นพระเจดีย์สีขาวซึ่งตั้งอยู่หลังพระอุโบสถ หน้าพระวิหาร ด้านในประดิษฐานพระพุทธบาทจำลอง
พอเข้ามาในพระวิหารจะเห็นพระประธาน 2 องค์คือ พระเสริม องค์ใหญ่ด้านหลัง และพระแสน องค์เล็กด้านหน้า ซึ่งก็อัญเชิญมาจากล้านช้างเช่นกัน
ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า ผู้อาวุโสในครอบครัวท่านเล่ากันอย่างไม่เป็นทางการว่า แต่เดิมแถบนี้มีชุมชนชาวลาวจากล้านช้างอาศัยอยู่ แม้แต่ปัจจุบันเจ้าหน้าที่วัดก็เล่าว่าเมื่อมีงานบุญก็จะมีชาวไทยเชื้อสายลาวและชาวลาวมาทำบุญ เช่นวันนี้ มีชาวไทยเชื้อสายลาวมาถวายเนื่องในโอกาสคล้ายวันเกิดค่ะ
ภาพที่ผนังระหว่างหน้าต่างก็เป็นเรื่องราวจากวรรณกรรมพื้นบ้านเรื่อง ศรีธนญไชยเชียงเมี่ยง ที่นิยมกันทั้งในหมู่ชาวไทยและชาวลาว
ส่วนภาพจิตรกรรมฝาผนังด้านบนนั้นเป็นภาพกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคแบบที่ไม่ได้ใช้เรือพระที่นั่งที่มีโขนเรือเป็นรูปสัตว์ จากรูปจะเห็นทหารซึ่งก็มีที่แต่งชุดอย่างตะวันตกด้วย แสดงให้เห็นถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมในสมัยนั้น
นอกจากนี้เสาแต่ละต้นที่เป็นลายดอกบัวนั้น สีพื้นจะไล่ระดับตั้งแต่สีโทนอ่อนที่อยู่ใกล้พระประธาน จนถึงสีเข้มไกลออกมา ซึ่งหลาย ๆ คนก็ตีความว่าอาจหมายถึงยิ่งใกล้พระธรรม มีคุณธรรม ใจก็จะยิ่งผุดผ่องสว่างใสมากขึ้น
ด้านหลังพระวิหารจะเป็น โพธิฆระ คืออาคารที่ล้อมรอบต้นโพ เป็นสถานที่สำคัญที่ทำให้ระลึกถึงการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า และเป็นสถานที่ทำสมาธิหรือเดินจงกรมด้วยค่ะ
ด้านหลังนอกกำแพงแก้ว (กำแพงล้อมเขตพุทธาวาส คือพวกพระอุโบสถ พระวิหาร ฯลฯ) ออกไปจะมีพระสถูปเจดีย์แห่งราชสกุลมหิดล ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระบรมอัฐิ พระอัฐิ (กระดูก) และพระราชสรีรางคาร (เถ้ากระดูก) ของพระบรมวงศานุวงศ์หรือพระประยูรญาติผู้ที่สืบสายตรงแห่งราชสกุลมหิดล
นอกจากนี้ถ้าเดินย้อนมาทางพระอุโบสถ แล้วออกจากเขตกำแพงแก้วไปทางซ้ายจะเป็นเส้นทางไปสู่ศาลาพระราชศรัทธาซึ่งตั้งอยู่ในสวนที่มีบรรยากาศร่มรื่นมาก ๆ เลยค่ะ ที่นี่จะมีกิจกรรมทางศาสนาพุทธเป็นประจำด้วยค่ะ แต่ถึงไม่ใช่พุทธศาสนิกชน หากเดินเหนื่อยแล้ว ก็หลบมาสูดอากาศบริสุทธิ์ในบรรยากาศอันเงียบสงบนี้ได้ค่ะ