เกิดเป็นคน ต้องสู้ทน ต่อคำด่า
แม้ทำดี ทำบ้า ถูกด่าหมด
ทำซื่อ ๆ ก็ถูกด่า ว่าไม่คด
ทำเลี้ยวลด ก็ถูกด่า ว่าไม่ตรง
กับเรื่องราวสมัยพุทธกาล เมือมีหญิงจ้างคนมาด่าว่าพระพุทธเจ้า ทรงเมตตาสอนพุทธวิธีเอาชนะคนเหล่านี้
พระนางคันทิยามีรูปงามดุจนางอัปสร จึงมีเศรษฐี คฤหบดี ตลอดจนพระราชา จากเมืองต่าง ๆ ส่งสารมาสู่ขอมากมาย แต่บิดามารดาของนางก็ปฏิเสธทั้งหมดด้วยคำว่า “พวกท่านไม่คู่ควรแก่ธิดาของเรา” นางจึงครองความเป็นโสดเรื่อยมา
พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาเห็นอุปนิสัยของพราหมณ์สองสามีภรรยา จึงเสด็จมายังแคว้นกุรุ
ฝ่ายพราหมณ์ผู้บิดาพบพระพุทธเจ้าเห็นพระลักษณะถูกตาต้องใจและคิดว่า “บุรุษผู้นี้แหละคู่ควรกับลูกสาวของเรา” จึงเข้ากราบทูลว่า “ท่านสมณะ ข้าพเจ้าจะยกธิดาให้เป็นคู่ชีวิตแก่ท่าน”
พระพุทธเจ้าตรัสห้ามแล้วตรัสต่อไปว่า
อด
“ดูก่อนท่านพราหมณ์ เมื่อตถาคตตรัสรู้ใหม่ ๆ ธิดามาร 3 คน ซึ่งมีร่างกายเป็นทิพย์สวยงามกว่าลูกสาวของท่านหลายเท่านัก มาประเล้าประโลมเรา เรายังไม่สนใจ ไม่พอใจ เหตุไฉนจะมาพอใจยินดีในลูกสาวของท่านลูกสาวของท่านนี้
แม้จะงามในฐานะมนุษย์ก็จริงแล แต่ทว่าความงามไม่ทนนาน อายุมากไปเท่าไร ความแก่เฒ่าก็จะเข้าครอบงำเข้าไปมากเท่านั้น ความเศร้ามากก็จะปรากฏภายนอก ในที่สุดผิวพรรณที่ผ่องใสก็จะกลายเป็นผิวพรรณหม่นหมอง ร่างกายที่มีความสวยสดงดงาม ก็จะโทรมไปทีละน้อย ๆ ถึงวัยกลางคนความงามก็จะสลายไป เหลือมาเล็กน้อยถึงวัยแก่หนังก็จะย่น ความงามก็ไม่ปรากฏ ความที่เป็นคนสวยงดงามก็จะสลายตัวไป
และยิ่งกว่านั้นร่างกายลูกสาวของท่านเธอเต็มไปด้วย มูตร และ กรีส ( มูตร คือ ปัสสาวะ กรีส คืออุจาระ ) ฉะนั้น ในเมื่อร่างกายลูกสาวของเธอแตกต่างกับนางตัณหา นางราคา นางอรดี เพราะนางตัณหา นางราคา นางอรดี นั้น ร่างกายเต็มไปความสวยสดงดงาม เพราะเป็นนามธรรม ไม่มีเหงื่อ ไม่มีไคล ไม่มีน้ำเหลือ น้ำเหลือง น้ำหนอง ไม่มีอุจจาระ ไม่มีปัสสาวะในกาย ตถาคตยังไม่ต้องการ แล้วจะต้องการอะไรกับลูกสาวท่าน ที่ร่างกายเต็มไปด้วยอุจจาระ ปัสสาวะ
ความจริงอย่าว่าแต่ให้ตถาคตเอามาประดับประคองเป็นภรรยาเลย เวลานี้ แม้แต่เท้าของตถาคตก็ยังไม่อยากจะแตะร่างกายลูกสาวของท่านเลย”
เมื่อตรัสดังนี้แล้ว ทรงแสดงธรรมโปรดสองสามีภรรยาจนทั้งสองได้บรรลุเป็นพระอนาคามี
ฝ่ายนางมาคันทิยา ได้ยินพระดำรัสของพระพุทธเจ้าโดยตลอด รู้สึกโกรธที่พระพุทธเจ้า ตำหนิประณามว่าร่างกายของนางเต็มไปด้วยอุจจาระปัสสาวะ ไม่ปรารถนาจะสัมผัสถูกต้องแม้ด้วยเท้า จึงผูกอาฆาตของเวรต่อพระพุทธเจ้าตั้งแต่นั้นมา
ฝ่ายพราหมณ์สองสามีภรรยากราบทูลขออุปสมบทปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ไม่นานนักก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ทั้งสองท่าน ต่อมานางมาคันทิยาถวายเป็นพระมเหสีของพระเจ้าอุเทน ซึ่งทรงมีอัครมเหสีอยู่แล้ว คือ พระนางสามาวดี ซึ่งนางมาคันทิยาก็ได้ดำรงตำแหน่งอัครมเหสี เฉกเช่นพระนางสามาวดี
เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงประทับอยู่ที่เมืองโกสัมพี (เสด็จมาใหม่ ๆ ) พระนางมาคันทิยาซึ่งมีความโกรธพระศาสดา มีความประสงค์จะให้พระองค์ออกจากเมืองโกสัมพี จึงได้ว่าจ้างให้คนที่เป็นมิจฉาทิฏฐ ไม่เลื่อมใสพระรัตนตรัย ช่วยกันรุมด่าให้พระองค์เสด็จหนีไปเมืองอื่น
ครั้นยามเช้าพระศาสดาเสด็จเข้าไปในเมืองเพื่อบิณฑบาต ก็มีพวกทาสกรรมกรบ่าวไพร่ที่ได้รับค่าจ้าง ติดตามด่าว่าพระพุทธองค์ด้วยคำด่า ๑๐ ประการ ซึ่งถือว่าเป็นคำด่าที่แสบที่สุดในยุคนั้น คือ เจ้าเป็นโจร เจ้าคนพาล เจ้าคนหลง เจ้าอูฐ เจ้าโค เจ้าลา เจ้าสัตว์นรก เจ้าสัตว์เดรฉาน สุคติของเจ้าไม่มี เจ้าหวังแต่ทุคติเท่านั้น
พระอานนท์ผู้เดินตามหลังพระศาสดาทนไม่ได้ที่มีบุคคลมากล่าวล่วงเกินพระพุทธองค์ซึ่งเป็นผู้ที่ตนเคารพสูงสุดท่านจึงกราบทูลว่า
"เมืองนี้เขาด่ามากเหลือเกินพระพุทธเจ้าข้า เราไปเมืองอื่นเถิดพระพุทธเจ้าข้า"
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
" ไปเมืองไหนอานนท์"
พระอานนท์ตอบว่า
"ไปเมืองที่เขาไม่ด่า พระพุทธเจ้าข้า"
พระองค์ตรัสถามว่า
"ถ้าคนในเมืองนั้นด่าอีก เราจะไปที่ไหนอานนท์"
พระอานนท์ตอบว่า
"เราก็ไปเมืองอื่นจากเมืองนั้นอีกพระพุทธเจ้าข้า"
พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า
"แล้วคนในเมืองนั้นด่าอีกจะไปไหน"
พระอานนท์ตอบว่า
"ก็ไปเมืองอื่น ๆ อีกพระพุทธเจ้าข้า"
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า
"เราทำอย่างนั้นไม่ควรทำใจร้อนใจ ด่วนไม่สมควรแก่สมณะ เรื่องเกิดขึ้นที่ไหนควรให้ดับที่นั่นก่อนเราค่อยไปที่อื่น คนที่ด่านั้น คือพวกไหนกัน"
พระอานนท์ตอบว่า
"คือเริ่มแต่พวกทาส กรรมกรเป็นต้นไปพระพุทธเจ้าข้า"
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า
"อานนท์ ...
เราเป็นเช่นกับช้างที่เข้าส
การอดทนต่อลูกศรที่แล่นมาจา
เป็นภาระของช้างที่เข้าสู่ส
ฉันใด...
การอดทนต่อถ้อยคำที่คนทุศีล
เราจักอดกลั้นต่อคำล่วงเกิน
เพราะคนเป็นอันมากเป็นผู้ทุ
พวกปากรับจ้างด่าจนเมื่อยปา
เมื่อพระองค์ตรัสจบอย่างนี้ คนมากมายที่รับสินบนมาด่าตามถนน ๓ แพร่ง ๔ แพร่ง เป็นต้น เหล่านั้น ก็ได้บรรลุโสดาบัน เป็นคนดีเลิกด่า เป็นคนดีตั้งแต่บัดนั้นตลอดชีวิต
ชี้ให้เห็นว่า พระพุทธองค์ไม่ได้ทรงเอื้อเฟื้อต่อความผิดของมหาชนเลย มีแต่ทรงมุ่งหมายจะให้เป็นประโยชน์แก่มหาชนเท่านั้น และพระองค์เป็นผู้อดทนทุกอย่าง ทั้งสอนดีและทำดีให้เห็นด้วยว่าทรงสอนอย่างไรก็ทำอย่างนั้น
ท้ายที่สุด นางมาคันทิยาหวังให้พระองค์หนีไปเมืองอื่นก็ผิดหวัง แถมยังมีคนศรัทธาเพิ่มอีก และยิ่งอาฆาตทวีคูณเมื่อรู้ว่า พระนางสามาวดี อัครมเหสีอีกพระองค์ก็เลื่อมใสศรัทธาพระพุทธเจ้าสูงสุด จึงพยายามหาเรื่องทุกหนทาง แต่ท้ายที่สุด เมื่อความจริงทุกอย่างเปิดเผย พระนางก็โดนพระสวามีทำโทษขั้นสูงสุด ด้วยการขุดหลุมฝัง จากนั้นเฉือนเนื้อของพระนาง นำไปทอดในน้ำมันเดือดแล้วนำมาให้พระนางเสวยจนสิ้นพระชนม์และตกลงสู่อเวจี