การ “ถือ” ศีลแปด นั้น แค่ฟังก็เหนื่อยหนักแล้ว เพราะอะไรที่เราถือไปนาน ๆ ก็ย่อมเมื่อยเป็นธรรมดา เอาอย่างนี้ดีไหม เปลี่ยนจาก “ถือ “ มาเป็น “รู้สึก” ในศีลให้ได้จะดีกว่า
พระพุทธองค์ตรัสว่า “ผู้ไม่มีศีล ไม่มั่นคงถึงจะเป็นอยู่ตั้งร้อยปี ส่วนผู้มีศีล เพ่งพินิจ มีชีวิตอยู่วันเดียว ประเสริฐกว่า” ตอนแรกเกิดเรามีศีลสมบูรณ์ครบถ้วนได้คะแนนเต็มร้อยอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นก่อนตายอย่าปล่อยให้คะแนนติดลบ
เมื่อรู้ตัวว่ายังไม่มีศีล จงใช้ศีลห้าหรือศีลแปดเป็นเครื่องเตือนใจ แต่ละวันให้เราตรวจสอบตัวเองว่าละเมิดศีลห้าข้อใดบ้าง และท้าทายตัวเองด้วยการรักษาศีลแปดเดือนละ 1 - 2 ครั้ง
ในคำสมาทานศีลจะมีคำว่า “วิสุง วิสุง” แปลว่า แยกออกจากกัน ต่อท้าย เป็นการตั้งเจตนาเพื่อรับและประพฤติปฏิบัติตามศีลเป็นข้อ ๆ หมายความว่า ถ้าเราผิดศีลข้อใดข้อหนึ่ง ข้อที่เหลือก็ยังคงอยู่ครบ เพราะศีลแต่ละข้อ ไม่ได้เป็นเหตุแห่งการผิดศีลในข้ออื่น ๆ นั่นเอง
ตัวอย่างเช่น ถ้าเราเข้าใจและรู้สึกในศีลอย่างถ่องแท้ เราก็จะเลิกตั้งคำถามว่า ข้าวมื้อแรกต้องกินตอนพระอาทิตย์ขึ้นและเห็นลายมือแล้วใช่ไหม จะนอนฟูกบางๆ ได้ไหมจะทาแป้งเพื่อลดอาการคันได้หรือเปล่า ฯลฯ เพราะความสำคัญของศีลอยู่ที่ข้อปฏิบัตินั้นๆ ช่วยให้เราควบคุมจิตใจได้ดีขึ้นหรือไม่มากกว่า และแม้ว่าเราจะไม่ฆ่ามด ไม่ตบยุง ไม่กินเนื้อสัตว์ แต่ถ้าในใจไม่เกิดความเมตตากรุณา จะบอกว่าปฏิบัติศีลข้อแรกสมบูรณ์แล้วไม่ได้
เราสามารถสมาทานศีลใหม่ได้ทุกลมหายใจ ทุกครั้งที่ทำผิดพลาดหรือรู้ตัวว่าทำผิด เราสามารถบอกตัวเองให้เริ่มต้นใหม่ได้เรื่อยๆ ความตั้งใจจะส่งผลดีต่อตัวเราโดยธรรมชาติ
เรื่องนี้ไม่เชื่อต้องพิสูจน์ค่ะ