หนึ่งปีต่อมาในปี 1919 หลังจากก่อตั้งลัทธิฟาสซิสต์แล้ว มุสโสลินีได้ก่อตั้งพรรคสันนิบาตการต่อสู้แห่งอิตาลี (Fasci Italiani di Combattimento) หรือพรรคฟาสซิสต์ขึ้น เพื่อเตรียมเป็นกองกำลังปฏิวัติอิตาลี โดยมีเหล่าทหารผ่านศึก ผู้สนับสนุนสงคราม ศิลปินฟิวเจอริสต์ ปัญญาชน นักข่าว และชาวอิตาเลียนประมาณหนึ่งร้อยคน ต่างมารวมตัวกันที่สมาพันธ์อุตสาหกรรมและพาณิชย์แห่งมิลาน เพื่อเป็นประจักษ์พยานกำเนิดใหม่ของพรรคการเมืองฟาสซิสต์ หรือ "พรรคแห่งนักรบ" อันมีกองกำลังอาสาพลเรือนที่เรียกว่าพวกชุตดำ (Blackshirts) เป็นของตนเอง ชื่อเต็มคือ "กองอาสาเพื่อปกป้องความมั่นคงแห่งชาติ" ประกอบไปด้วยสมาชิกทุกเพศทุกวัย รวมทั้งผู้หญิงและเด็กที่สวมเสื้อเชิ้ตดำ ซึ่งถอดโครงสร้างมาจากยูนิฟอร์มทหาร โดยมีเป้าหมายในการปฏิบัติหน้าที่และใช้กำลังเพื่อปราบปรามผู้คิดต่างหรือมีพฤติกรรมขัดแย้งกับแนวทางการปกครอง
• มุสโสลินีไม่ศรัทธาในการปกครองแบบประชาธิปไตย ด้วยเห็นว่าระบบนี้มีแต่การโต้เถียงซึ่งนำไปสู่ความแตกแยก เป็นการสิ้นเปลืองทั้งเวลาและทรัพย์สินผลสุดท้ายไม่สามารถแก้ไขปัญหาของประเทศได้ เมื่อได้อำนาจมุสโสลินีจึงได้นำความคิดแบบเผด็จการมาใช้
• ฟาสซิสต์คือรูปแบบหนึ่งของเผด็จการ ระบอบที่คนกลุ่มน้อยหรือกระทั่งคนเพียงคนเดียวกุมอำนาจเหนือคนส่วนใหญ่ หากแต่ต้นขั้วอำนาจฟาสซิสต์ไม่ได้มาจากปากกระบอกปืนเพียงอย่างเดียว แต่มาจากความนิยมของมวลชน
•เมื่อฟาสซิสต์ครองอำนาจได้ พวกเขาจะใช้กลไกทุกอย่างของรัฐ การประชาสัมพันธ์ การโฆษณาชวนเชื่อ ขยับขยายจากความนิยมในมวลชนส่วนน้อยไปสู่การครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ
•ฟาสซิสต์ไม่ยอมรับว่าตัวเองมีศัตรูทางการเมือง เพราะปกครองด้วยความเห็นชอบของคนทั้งประเทศ ฟาสซิสต์ผลักศัตรูทางการเมืองให้กลายเป็นศัตรูแห่งชาติ โดยอ้างถึงความสมัครสมานสามัคคี และเรียกความรักชาติว่าเป็น "ความรู้สึกในความเป็นมนุษย์ขั้นพื้นฐาน"
•"เบนิโต มุสโสลินี" เกิดในครอบครัวที่ยากจนในเมืองเปรแดปปิโอ (Predappio) แคว้นเอมิเลีย-โรแมกนา (Emilia-Romagna) ทางตอนเหนือของอิตาลี เมื่อเติบใหญ่เขาได้กลายเป็นนักสังคมนิยมผู้หลักแหลม และเข้าเป็นสมาชิกพรรคสังคมนิยมของอิตาลี (Italian Socialist Party) โดยทำงานเป็นหนึ่งในกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ของพรรคคือ "L’Avvenire del Lavoratore" (อนาคตของกรรมาชีพ) และในฐานะที่เป็นกระบอกเสียงคนสำคัญของพรรคสังคมนิยม เขาพยายามผลักดันให้พรรคเห็นด้วยกับฝ่ายรัฐบาลในการเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่ไม่ได้รับความเห็นชอบ กระทั่งถูกขับออกจากพรรคในที่สุด เขาถูกเกณฑ์เข้าเป็นทหารเพื่อรวมรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 หลังสงครามสงบลง มุสโสลินีจึงสถาปนาลัทธิฟาสซิสม์ขึ้นที่เมืองมิลานเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 1918 และก่อตั้งเป็นพรรคการเมืองในหนึ่งปีต่อมา
•พรรคฟาสซิสต์ได้รับความนิยมจากประชาชนมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดมุสโสลินีจึงตัดสินใจยึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลเดิม โดยยกกองกำลังเชิ้ตดำกว่า 25,000 คน บุกเข้ากรุงโรม การขึ้นมามีอำนาจของมุสโสลินีนั้น "กษัตริย์วิตโตริโอ เอมานูเอลที่ 3" (Vittorio Emanuele III) ให้การยอมรับ และรู้เห็นเป็นใจ พระองค์ทรงปฏิเสธที่จะลงนามในพระราชกฤษฎีกาตามคำแนะนำของคณะรัฐมนตรีเพื่อประกาศกฎอัยการศึก ยับยั้งการยึดอำนาจของกลุ่มฟาสซิสต์ แต่ทรงเลือกให้ข้าราชบริพารต่อสายตรงถึงมุสโสลินีในมิลาน และทรงเชิญให้ผู้นำฟาสซิสต์เข้าเฝ้าเพื่อรับตำแหน่งผู้นำรัฐบาลในกรุงโรม มุสโสลินีจึงได้ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี และเปลี่ยนอิตาลีเป็นรัฐฟาสซิสม์ เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 1922 โดยผู้เลื่อมใสต่างเรียกเขาว่า “il Duce” (ท่านผู้นำ)
•ปี 1925 มุสโสลินีสามารถกุมอำนาจเด็ดขาดในการบริหารประเทศ และสถาปนาตนเองเป็นเผด็จการเต็มรูปแบบ บังคับให้ยกเลิกระบบรัฐสภา ทดแทนด้วย "รัฐบรรษัท" (Corporate State) และวางระบบรวบอำนาจอย่างเป็นทางการ
•มุสโสลินีได้จัดตั้งนครรัฐวาติกันในปี 1929 บุกยึดอะบิสซิเนียเมื่อปี 1936 (ปัจจุบันคือเอธิโอเปีย) และแอลเบเนียในปี 1939 ไว้ในการครอบครอง พร้อมกับเข้าร่วมกับฝ่าย "นายพลฟรังโก" (Francisco Franco) ใน สงครามกลางเมืองสเปน (Spanish Civil War )และยังประกาศเข้าร่วมเป็นฝ่ายอักษะกับอดอล์ฟ ฮิตเลอร์แห่งเยอรมนี ในสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อปี 1940
•หลังจากที่มุสโสลินีทำให้ประเทศพ่ายแพ้ในสงครามอย่างต่อเนื่อง ในวันที่ 25 กรกฎาคม ปี 1943 กษัตริย์วิตโตริโอ เอมานูเอลที่ 3 จึงทรงรับสั่งให้มุสโสลลินีเข้าเฝ้า และปลดอำนาจผู้เผด็จการของเขา หลังจากออกจากพระราชวัง มุสโสลินีถูกจับกุมโดยทันที เขาถูกควบคุมตัวอยู่ในเคหสถานบนภูเขาอันโดดเดี่ยวและตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง
•กระทั่งหน่วยคอมมานโดของเยอรมันได้บุกเข้าชิงตัวเขาออกมา โดยมีฮิตเลอร์ช่วยจัดตั้งรัฐบาลหุ่นให้เขาที่เมืองซาโล (Salo) เขตยึดครองของเยอรมนีริมทะเลสาบการ์ดา (Garda Lake) ทางเหนือของอิตาลี มีชื่อเรียกว่า "สาธารณรัฐสังคมนิยมอิตาลี" นับเป็นการเกิดใหม่ของรัฐฟาสซิสต์อิตาลี ซึ่งอยู่ภายใต้นาซีเยอรมัน
•หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลง ฝ่ายอักษะได้แพ้สงคราม มุสโสลินีจึงถูกฝ่ายต่อต้านเผด็จการจับกุมตัวได้เมื่อวันที่ 27 เมษายน ในปี 1945 และถูกสำเร็จโทษโดยคำตัดสินลับหลังของคณะลูกขุนแห่งคณะกรรมการปลดแอกแห่งชาติ (Comitato di liberazione nazionale - CLN) ในวันถัดมา ด้วยการยิงเป้าในข้อหาทรยศต่อชาติ ร่างของมุสโสลินี อนุภรรยา และผู้นิยมลัทธิฟาสซิสต์คนอื่นๆ ประมาณ 15 คน ได้ถูกนำไปยังเมืองมิลาน เพื่อแขวนประจานต่อสาธารณชน