กาญจนบุรีคือดินแดนแห่งธรรมชาติ อันอุดมสมบูรณ์ด้วยผืนป่า พรรณไม้ โถงถ้ำ น้ำตก และประเพณีวัฒนธรรมอันหลากหลายของผู้คนหลากเชื้อชาติที่อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างเอื้ออารี ทั้งไทย พม่า มอญ ปากะญอ (กะเหรี่ยง) ฯลฯ ยิ่งไปกว่านั้น กาญจนบุรียังเต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะเหตุการณ์ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งมีอนุสรณสถานหลายแห่งปรากฏให้เห็นเป็นหลักฐาน เช่น สะพานข้ามแม่น้ำแคว สุสานทหารสัมพันธมิตร พิพิธภัณฑ์ช่องเขาขาด ฯลฯ ด้วยความหลากหลายของพื้นที่และเรื่องราวที่สั่งสมอยู่ในจังหวัดชายแดนตะวันตกแห่งนี้ กาญจนบุรีจึงเป็นจุดหมายปลายทางที่เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวทุกสไตล์ ทุกวัย และทุกฤดูกาล วันนี้ขอนำเสนอสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตในจังหวัดกาญจนบุรี
วัดถ้ำเสือ อำเภอท่าม่วง
ภาพจาก : shutterstock.com
เป็นวัดที่มีความงดงาม ทัศนียภาพและสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบๆ วัด มีท้องทุ่งเขียวขจี ถัดไปเป็นภูเขาปกคลุมด้วยหมอกเมฆบางๆ บรรยากาศน่าเที่ยวมากเลยครับ วัดถ้ำเสือตั้งอยู่ตำบลม่วงชุม อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี วัดถ้ำเสืออยู่ห่างจากเขื่อนวชิราลงกรณ์ ประมาณ 4 กิโลเมตร และอยู่ห่างจากเขื่อนแม่กลอง ประมาณ 5 กิโลเมตร หลายท่านที่มาเที่ยวที่นี้นอกจากจะได้ไหว้สักการะหลวงพ่อชินประทานพรแล้ว ยังจะได้ชมเจดีย์เกษแก้วมหาประสาท ที่มีขนาดใหญ่ทั้งหมด 9 ชั้น ซึ่งมีความงดงามของสถาปัตยกรรม ควบคู่กับการรับอากาศบริสุทธิ์ที่รายล้อมไปด้วยธรรมชาติท้องทุ่งและภูเขา
ภาพจาก : shutterstock.com
หากพูดถึง “อำเภอสังขละบุรี” เชื่อว่า ภาพแรกที่แวบเข้ามาในหัวของทุกคนต่างเห็นเป็นรูปเดียวกัน นั่นคือ รูปสะพานไม้ที่ทอดตัวยาวอยู่เหนือแม่น้ำ ที่ฉากหลังรายล้อมด้วยธรรมชาติและขุนเขาอันเขียวขจีของต้นไม้นานาพันธุ์ และมีหมอกจางๆ ปกคลุมไปทั่วบริเวณ ซึ่งสะพานไม้แห่งนี้ สะท้อนถึงมนต์เสน่ห์แห่งวิถีชีวิตของชาวบ้านที่นี่ คือ สะพานอุตตมานุสรณ์ หรือเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายว่า “สะพานมอญ” นั่นเองแต่เดิม สะพานอุตตมานุสรณ์ หรือที่นิยมเรียกกันว่า สะพานมอญ เป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทยมีความยาว 850 เมตร และเป็นสะพานไม้ที่ยาวเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากสะพานไม้อูเบ็ง ในประเทศพม่า เป็นสะพานที่ข้ามแม่น้ำซองกาเรีย ที่ตำบลหนองลู อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี
ทางรถไฟสายมรณะ
ภาพจาก : shutterstock.com
ทางรถไฟสายมรณะ สร้างขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยใช้แรงงานจากเชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตรและกรรมกรชาวเอเชียที่กองทัพญี่ปุ่นเกณฑ์เข้ามาสร้างในประเทศไทย ในสมัยนั้นประเทศไทยได้เป็นพันธมิตรกับจักรวรรดิญี่ปุ่น และให้การสนับสนุนเป็นอย่างดี เส้นทางรถไฟสายมรณะใช้เป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ของจักรวรรดิญี่ปุ่นเข้าสู่ประเทศพม่า เพื่อเดินทางเข้ารุกรานประเทศอินเดีย ในการต่อสู้กับอังกฤษ ญี่ปุ่นทราบดีว่าหากใช้เส้นทางเดินเรือในการขนอาวุธ และยุทโธปกรณ์ จะเสี่ยงต่อการถูกโจมตีทางอากาศจากฝ่ายสัมพันธมิตร จึงได้ตัดสินใจสร้างทางรถไฟสายนี้ขึ้น
ภาพจาก : shutterstock.com
ปัจจุบันเส้นทางรถไฟสายมรณะได้เปิดให้บริการแก่นักท่องเที่ยว แต่ในบางส่วนของทางรถไฟสายนี้ได้ถูกทิ้งร้างไว้ตั้งแต่อดีต เพราะเมื่อญี่ปุ่นแพ้สงคราม อังกฤษได้รื้อถอนทางรถไฟไปบางส่วนจึงเหลือแต่ทางเดินรถไฟที่ยังใช้และสามารถเห็นได้ในปัจจุบัน โดยการถไฟแห่งประเทศไทยเปิดเดินรถบนเส้นทางสาย ธนบุรี-น้ำตก โดยเปิดให้บริการทุกวันและยังได้จัดรถไฟขบวนพิเศษสายกรุงเทพ-น้ำตกทุกวันเสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดราชการ
สุสานทหารสัมพันธมิตรดอนรัก
ภาพจาก : shutterstock.com
ตั้งอยู่ริมถนนแสงชูโต (ทางหลวงหมายเลข 323) ก่อนจะเข้าตัวเมือง สุสานแห่งนี้เป็นสุสานของเชลยศึกสัมพันธมิตรที่เสียชีวิตในระหว่างการสร้างทางรถไฟสายมรณะ บริเวณสุสานมีเนื้อที่กว้างขวางสวยงามและเงียบสงบ ชวนให้รำลึกถึงเหตุการณ์การสู้รบและผลลัพธ์ที่ตามมา สุสานแห่งนี้บรรจุศพทหารเชลยศึกถึง 6,982 หลุม สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร. 0 3451 1500
อุทยานแห่งชาติเอราวัณ
ภาพจาก : shutterstock.com
น้ำตกเอราวัณ อยู่ห่างจากตัวเมือง 65 กิโลเมตร เป็นน้ำตกที่ใหญ่และสวยงาม บนฝั่งแม่น้ำแควใหญ่ ต้นน้ำเกิดจากลำห้วยม่องไล่ไหลผ่านลงจากยอดเขาและผาสูง 2,100 เมตร น้ำตกเอราวัณมีความยาว 1,500 เมตร แบ่งเป็น 7 ชั้น แต่ละชั้นมีลักษณะเป็นอ่างสามารถเล่นน้ำได้ และยังมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติเอราวัณ ระยะทาง 1,060 เมตร ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ผ่านป่าดิบเขา จุดชมวิวและป่าผลัดใบที่สวยงาม ท่านจะได้รับความเพลิดเพลินในการชื่นชมธรรมชาติและได้ความรู้จากป้ายสื่อความหมาย
ค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานแห่งชาติเอราวัณ คนไทย ผู้ใหญ่ 100 บาท เด็ก 50 บาท ต่างชาติ ผู้ใหญ่ 300 บาท เด็ก 200 บาท
รูปภาพปก : pixabay.com