โลกของเรามีอายุประมาณ 4-6 พันล้านปี โดยช่วงเวลานี้ยังไม่เกิดสิ่งมีชีวิตบนโลก มนุษย์
เราเพิ่งเริ่มถือกำเนิดบนโลกเมื่อประมาณ 0.003 ล้านปีมานี้เอง
โลกของเราก่อกำเนิดจากการรวมตัวของอนุภาคจำนวนมากภายใต้แรงโน้มถ่วงมหาศาล
จากอนุภาคเล็กๆ เป็นมวลขนาดใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้น จนกลายเป็นดาวเคราะห์ในที่สุด
โครงสร้างภายในโลก
รูปร่างของโลกมีลักษณะกลมแป้นคล้ายผลส้มเขียวหวาน ส่วนบนและส่วนล่างที่เป็นขั้ว
โลกเหนืดและขั้วโลกใต้จะแบนเล็กน้อย มีเส้นผ่านศูนย์กลางเฉลี่ย 12700 กิโลเมตร นักวิทยา
ศาสตร์แบ่งโครงสร้างของโลกจากชั้นบรรยากาศไปสู่แก่นโลกออกเป็น 4 ส่วน ดังนี้
1. บรรยากาศ หนาประมาณ 50 กิโลเมตร มีส่วนผสมของแก๊สต่างๆ
2. เปลือกโลก หนาประมาณ 5-70 กิโลเมตร ประกอบด้วยหินบะซอลต์ใต้ทะเล และ
แกรนิตใต้พื้นดิน ซึ่งเกิดจากพลังงานภายใน เช่น ภูเขาไฟและพลังงานภายนอก เช่น
การพังทลาย
3. เนื้อโลก ประกอบด้วยหินหลอมเหลว หรือเรียกว่า หินหนืด อุณหภูมิสูงกว่า 1000
องศาเซลเซียส
4. แก่นโลก เป็นโลหะหลอมเหลวอุณหภูมิสูงกว่า 4300 องศาเซลเซียส ส่วนใหญ่เป็น
เหล็กและนิเกิล ชั้นนอกเป็นของเหลว ชั้นในเป็นของแข็งเนื่องจากมีความกดดันสูง
มาก
เปลือกโลกคือส่วนที่เป็นของเข็งห่อหุ้มโลกอยู่โดยรอบ มีความหนาประมาณ 5 – 70
กิโลเมตร ส่วนที่บางที่สุดคือส่วนที่เป็นภูเขาสูง เปลือกโลกแบ่งเป็น 2 ชั้น คือ เปลือกโลกชั้นนอก
และเปลือกโลกชั้นใน
เปลือกโลกชั้นนอก มีทั้งส่วนที่เป็นพื้นดิน และส่วนที่เป็นพื้นน้ำ
เปลือกโลกชั้นในมีความหนาแน่นมากกว่าเปลือกโลกชั้นนอก ประกอบด้วยหินบะซอลต์
เป็นส่วนใหญ่
เปลือกโลกมีลักษณะเป็นแผ่นหินแข็งต่อกันเหมือนกับภาพต่อ (Jigsaw) ขนาดใหญ่ซึ่งมีอยู่
ประมาณ 13 แผ่น แต่ละแผ่นเรียกว่า แผ่นเปลือกโลก (Plate)
แผ่นเปลือกโลกที่อยู่ใต้ทะเล หรือ มหาสมุทรเรียกว่า แผ่นมหาสมุทร (Oceanic plate) จะมี
ความหนาน้อยกว่าแผ่นเปลือกโลกที่อยู่ใต้ทวีปที่เรียกว่า แผ่นทวีป (Continental plate)
การแบ่งแผ่นเปลือกโลกขนาดใหญ่
- แผ่นอเมริกาเหนือ - แผ่นโคคอส
- แผ่นนาซคา - แผ่นแปซิฟิก
- แผ่นแอนตาร์กติก - แผ่นสคอเทีย
- แผ่นอเมริกาใต้ - แผ่นแคริเบียน
- แผ่นยูเรเซียน - แผ่นอะราเบียน
- แผ่นแอฟริกัน - แผ่นฟิลิปปินส์
- แผ่นอินโดออสเตเลียน
อัลเฟรด เวเจเนอร์ (Alfred Wegener) นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน กล่าวว่าเมื่อประมาณ
เกือบ 300 ล้านปีมาแล้ว ทวีปต่างๆเคยอยู่รวมกันเป็นทวีปใหญ่เพียงทวีปเดียวเรียกว่า แพงเจีย
(Pangea) ต่อมาเมื่อประมาณ 60 ล้านปีที่ผ่านมา แผ่นดินแยกจากกันมากขึ้นจนเห็นเป็นทวีปต่างๆ
เกือบใกล้เคียงกับปัจจุบัน
โลกปัจจุบันประกอบด้วย 7 ทวีป ได้แก่ แอฟริกา เอเชีย แอนตาร์กติก อเมริกาเหนือ
อเมริกาใต้ ยุโรป และออสเตรเลีย โดยมีทะเลและมหาสมุทรคั่นระหว่างทวีป ยกเว้น ทวีปอเมริกา
เหนือต่อกับอเมริกาใต้ และทวีปยุโรปต่อกับทวีปเอเชีย
การเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก
แผ่นเปลือกโลกมีการเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา และแต่ละแผ่นมีทิศทางการเคลื่อนที่ต่างๆ เรา
สามารถแบ่งการเคลื่อนที่ของเปลือกโลกออกเป็น 3 แบบ คือ เคลื่อนที่มาชนกัน เคลื่อนที่แยกจาก
กัน และเคลื่อนที่แบบสวนกัน ซึ่งมีผลทำให้เกิดกระบวนการทางธรณีวิทยาดังต่อไปนี้
1. การคดโค้งโก่งงอ
ในธรรมชาติรอยคดโค้งโก่งงอ เกิดจากแผ่นเปลือกโลก 2 แผ่น เคลื่อนที่ชนกัน ซึ่งมีแรงดัน
มหาศาล ทำให้ชั้นหินตรงบริเวณที่แผ่นเปลือกโลกชนกันเกิดการคดโค้งโก่งงอขึ้น รอยคดโค้งโก่ง
งอนี้ไม่ได้เกิดขึ้นทันที แต่จะต้องใช้เวลาเป็นพันปีและต้องได้รับพลังงานอย่างต่อเนื่อง
ถ้ารอยคดโค้งโก่งอชั้นหินเกิดขึ้นติดต่อกัน เป็นบริเวณกว้างกินพื้นที่มาก ก็อาจกลายเป็น
เทือกเขา เช่น เทือกเขาหิมาลัยในทวีปเอเชีย เทือกเขาภูพานในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย
เทือกเขาแอลป์ในทวีปยุโรป หรือเทือกเขาร็อคกี้ในทวีปอเมริกาเหนือ เป็นต้น
2. การยกตัวและยุบตัว
พลังงานท่สะสมอยู่ภายในเปลือกโลกเมื่อมีมากขึ้นจะไปดันเปลือกโลกให้เกิดรอยแยกหรือรอย
แตกในชั้นหิน เรียกว่า รอยเลื่อน(Fault) ซึ่งจะเกิดขึ้นอย่างรุนแรงกว่าการเกิดคดโค้งโก่งงอ และเป็น
สาเหตุที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหว
รอยเลื่อนที่เกิดขึ้นและทำให้แผ่นเปลือกโลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด คือ การยกตัว
ของแผ่นเปลือกโลกที่เกิดจากรอยเลื่อนแบบปกติกลายเป็นภูเขา เรียกว่า Block mountain โดยยอด
เขาจะมีลักษณะราบและไหล่เขาจะชัน เช่น ภูกระดึง จังหวัดเลย และอีกแบบ คือ การยุบตัวของ
แผ่นเปลือกโลกกลายเป็นแอ่งหรือหุบเขาเรียกว่า rift valleys ซึ่งเกิดจากรอยเลื่อนแบบย้อน
3. การผุพังอยู่กับที่
การผุพังอยู่กับที่ หมายถึง กระบวนการที่ทำให้วัสดุผุสลายออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ โดยมีการเปลี่ยน
แปลงขนาดและองค์ประกอบเคมีของอนุภาคที่สลายตัว เช่น การผุพังหรือการหักพังของหินทั้งบน
พื้นดินและใต้ผิวโลกลงไปซึ่งเป็นผลเนื่องมาจาก ปัจจัยทางกายภาพทางเคมี และชีวภาพ ดังนี้
3.1 ปัจจัยทางกายภาพ
ชั้นหินที่มีรอยแยกหรือรอยแตกจะมีน้ำแทรกอยู่ เมื่ออุณหภูมิเปลี่ยนแปลง เช่น ในเวลา
กลางคืนอากาศเย็นจัด น้ำจะกลายเป็นน้ำแข็งมีปริมาณเพิ่มขึ้น ดันให้รอยแยกขยายตัวมากขึ้น และ
ทำให้ชั้นหินที่อยู่ด้านล่างแตก เมื่อถึงตอนกลางวันน้ำแข็งละลาย น้ำจะแทรกไปตามรอยแตกใหม่
พอตกกลางคืนน้ำแข็งตัว รอยแตกก็ขยายและชั้นหินก็จะเกิดรอยแตกเพิ่มมากขึ้น ในที่สุดชั้นหินจะ
แตกออกเป็นชิ้นๆ เกิดการผุพัง
3.2 ปัจจัยทางเคมี
น้ำฝนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการผุพังทางเคมีได้ง่ายและดีที่สุด โดยเฉพาะในเขตร้อน
ปฏิกิริยาเกิดขึ้นได้รวดเร็ว และการผุพังของหินก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน ได้แก่ ปฏิกิริยาไฮโดร
ไลซิส ปฏิกิริยาออกซิเดชันและปฏิกิริยาคาร์บอเนชัน
3.3 ปัจจัยทางชีวภาพ
พืชเป็นตัวการทำให้ชั้นหินเกิดการผุพังได้มาก เช่น รากพืชที่ชอนไชไปในรอยแตกของ
หิน เมื่อพืชโตขึ้นรากพืชก็โตขึ้นด้วย ทำให้หินแตกเป็นชั้นๆ นอกจากนี้มนุษย์ก็นับเป็นตัว
การที่ทำให้หินผุพังหรือแตกสลายไปได้อย่างรวดเร็วมากกว่าตัวการอื่นๆ
4. การกร่อน
การกร่อน เป็นการพังทลายของชั้นหินเนื่องจากลม ฝน แม่น้ำ ลำธาร ธารน้ำแข็ง คลื่น เป็นต้น
5. การพัดพาและทับถม
ดิน หิน เมื่อถูกกัดกร่อน จะถูกน้ำหรือลมพัดพาไปสู่ที่ต่ำกว่าเกิดการทับถมเป็นลักษณะต่างๆ
หลายแบบ เกิดเป็นดินดอนปากแม่น้ำ เช่น แม่น้ำเจ้าพระยา