บนห้องนอนโทนสีฟ้า คริสโตเฟอร์ สแวงค์ เด็กหนุ่มคนหนึ่งเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อน รับกับเส้นผม กำลังเดินวนไปเวียนมารอบห้อง เนื่องจากอีกไม่กี่ชั่วโมงนับจากนี้ เขากำลังจะได้พบกับโทมัส พี่ชายต่างสายเลือด โทมัสเป็นลูกชายบุญธรรมของพ่อเขา ครอบครัวเขาย้ายมาจากอังกฤษ มาทำธุรกิจที่เมืองไทยเป็น10ปีแล้ว เขากับพี่ชายสนิทกันมาก มากกว่าพี่น้องคู่อื่นที่เกิดร่วมท้องกันมาด้วยซ้ำ ถึงแม้ว่าเขาและพี่ชายจะห่างกันถึง10ปีก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าช่องว่างระหว่างวัยจะไม่มีปัญหาอะไรกับเขาทั้งคู่เลย ตอนนี้พี่ชายเขาย้ายกลับอังกฤษไปแล้ว เนื่องจากพี่ชายเขาต้องไปดูแลบริษัทในเครือที่นั้น และพี่ชายเขาก็แต่งงานมีครอบครัวไปแล้ว ภรรยาของพี่ชายเขาชื่อ ลดาเธอเป็นคนไทย ครอบครัวเธอย้ายไปอยู่ที่นั้น เธอเป็นคนสวยและใจดีมากคนหนึ่ง ทั้งคู่มีลูกสาวด้วยกันคนหนึ่ง และหลานสาวคนนี้เขาเป็นคนตั้งชื่อให้เธอว่า โรส หลานสาวเพียงคนเดียว ซึ่งเขาก็เคยเห็นหน้าเธอเพียงครั้งเดียวเช่นกัน วันนี้แหละที่เขาจะได้พบครอบครัวของพี่ชาย หลังจากที่ไม่ได้เจอกันมานานเกือบเจ็ดปี ที่จริงพี่ชายเขามาเมืองไทยได้เกือบอาทิตย์หนึ่งแล้ว หากแต่พ่อของเขาบอกว่า ตอนนี้โทมัสกำลังพาครอบครัวทัวร์กรุงเทพฯอยู่ เพราะฉะนั้นวันนี้แหละ วันที่พ่อบอกว่า พี่ชายของเขาจะมากินข้าวเย็นที่บ้าน ก๊อกๆๆ เสียงเคาะประตู ทำเอาเด็กหนุ่มถลาไปเปิดประตูทันที ก่อนจะได้ยินคำบอกเล่าจากเด็กในบ้านว่า “คุณแกรแฮมกลับมาแล้วค่ะ มากับ...” ยังไม่ทันจบประโยคชายหนุ่มก็วิ่งลงบันไดไปหาผู้เป็นพ่อ เพื่อหวังจะได้พบกับพี่ชายที่รัก หากแต่เขาลงไปถึงห้องนั่งเล่นกลับพบเพียงเด็กผู้หญิงผมสีดำ นัยน์ตาสีเขียวกำลังนั่งอยู่บนตักพ่อของเขา “พ่อฮะ นั้นโรสใช่ไหมครับ” คริสถามอย่างไม่แน่ใจ แต่นัยน์ตาสีเขียวคู่นั้นเป็นหลังฐานชั้นดีว่า เธอคือ ลูกสาวของพี่ชายเขา ก็นัยน์คู่นั้นเหมือนกันราวกับถอดกันออกมาเลย เด็กหนุ่มมองซ้ายขวาหาพี่ชาย แต่ดูเหมือนจะไร้ซึ่งเงาของคนที่รอคอย “พ่อฮะ พี่โทมัสไปไหน” คำถามที่ทำเอาใบหน้าของผู้เป็นพ่อสลดลงทันที ก่อนจะบอกด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า “โทมัสไม่มาแล้วล่ะ คริส” ทำตอบของผู้เป็นพ่อ ดูเหมือนจะไม่ได้ไขข้อข้องใจให้ลูกชายเลยสักนิด “แล้วทำไมไม่มาล่ะฮะ ก็โรสอยู่ที่นี่ พี่เขาก็ต้องมารับลูกสิฮะ” “ต่อไปนี้โรสจะอยู่กับเราที่นี่” คำตอบของผู้เป็นพ่อ ทำเอาเขาถึงกับใจเสีย หวังลึกๆในใจว่า พี่ชายและพี่สะใภ้คงไม่ได้เป็นอะไร “เครื่องบินที่โทมัสกับลดามา ตกกลางมหาสมุทรคริส” คำตอบของผู้เป็นพ่อ ทำเอาเด็กหนุ่มมึนงง ราวกับใครเอาไม้มาตีแสกหน้าเขา ก่อนจะพูดว่า “ไม่จริง! ก็พ่อบอกว่าพี่มาถึงเมื่อาทิตย์ที่แล้ว กำลังทัวร์กรุงเทพ แล้วถ้าเครื่องบินตกจริง ทำไมโรสยังอยู่นี่” “เพราะความจริง ทริปนี้โรสไม่ได้มาพร้อมโทมัสกับลดาน่ะสิ “ คำตอบของผู้เป็นพ่อยิ่งตอกย้ำการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของพี่ชาย เด็กหนุ่มยืนนิ่งไปสักพัก ก่อนจะค่อยๆบอกกับตัวเองว่า พี่ชายเขาจากไปแล้ว ซึ่งดูมันเป็นเรื่องยากเกินไปสำหรับเขา อยู่ดีๆจะให้เขายอมรับว่า พี่ชายตัวเองตาย มันไม่ใช้เรื่องง่ายๆเลย “แล้วเราจะทำยังไงต่อไปฮะ” คำถามที่ดูเหมือนเจ้าตัวจะค่อยๆบอกให้ตัวเองยอมรับความจริงในเรื่องการจากไปของพี่ชาย หากแต่น้ำเสียงยังคงสั่นเครือ แววตาสับสน ครุ่นคิด “โรสจะมาอยู่กับลูกที่นี้ ส่วนพ่อจะไปจัดการเรื่องต่างๆให้มันเรียบร้อย” คนเป็นพ่อผู้จบก็เดินออกจากห้องไป เขาเองก็ไม่อยากให้ลูกชายคนเล็กต้องเห็นน้ำตาเหมือนกัน โทมัสถึงแม้จะเป็นลูกบุญธรรม แต่เขาก็รักราวกับเป็นลูกในไส้ของเขาเอง ความเงียบปกคลุมระหว่างอาหลาน ก่อนคนเป็นหลานจะเดินเข้ามาหาคนเป็นอา และด้วยความเด็กและความไร้เดียงสาของยายตัวเล็ก ทำเอาคนเป็นอาถึงกับยิ้มบางๆกับคำพูดที่ว่า “Who’re you” คำถามภาษาอังกฤษทำเอาเขานึกขึ้นมาได้ว่า แม่ตัวเล็กตรงหน้าคงไม่รู้ภาษาไทยเลยสินะ แบบนี้เขาคงต้องทำตัวเป็นพี่เลี้ยงจำเป็น นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา บ้านหลังนี้ก็มีเพียงเขาและหลานสาว เพราะพ่อและแม่ของเขาตกลงว่าจะกลับไปดูแลกิจการของโทมัสที่อังกฤษ ถึงมอบหน้าที่ดูแลยัยตัวเล็กนี่ให้เขา เด็กหนุ่มเช่นเขา หากแต่มีภารกิจรับส่งที่หลานสาวโรงเรียนนานาชาติทุกวัน กิจกรรมบางอย่างที่นักศึกษามหาวิยาลัยควรจะได้ทำ แต่เขากลับไม่ได้ทำ หากแต่เขาก็ไม่เคยโทษใครเลย กลับรู้สึกดีใจที่ได้ดูแลสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของพี่ชาย
บทที่ 1
ณ คฤหาสน์หลังใหญ่ แถบชานเมือง คงไม่ต้องบอกถึงความอลังการและหรูหรา เนื่องจากเจ้าของบ้านต้องการสิ่งที่ดีที่สุด เพื่อมอบให้คนสำคัญของเขา ซึ่งตอนนี้เหลือคนเดียวในชีวิต ห้องโฮมเทียร์เตอร์ ห้องโปรดของคนสำคัญคนนั้น เขานึกถึงหน้าเธอแล้วถึงกับอมยิ้มบางๆคนเดียว เธอคงประหลาดใจมากที่เขากลับมาจากการไปดูงานที่ฝรั่งเศสเร็วกว่ากำหนด เขาเปิดประตูห้องเงียบๆ เพื่อเป็นการสร้างความประหลาดใจให้คนในห้อง ก่อนจะเดินเข้าไปประชิดที่โซฟาตัวใหญ่ ที่ร่างบางๆกำลังจับจองเป็นเจ้าของเต็มพื้นที่ “นั่งอยู่ตรงนี้กี่ชั่วโมงแล้วค่ะ” เสียงคุ้นๆ หากแต่ไม่น่าจะใช่ เพราะยังไม่ถึงกำหนดกลับของเขาเลย ร่างบางค่อยๆหันหน้ามามองคนถาม ก่อนจะเบิกตากว้างอย่างตกใจ พร้อมกับกระโดดกอดร่างสูง หากเป็นคนอื่นเห็นภาพนี้ มันคงดูไม่งามเท่าไหร่นัก หากแต่ความคุ้นเคยของคนในบ้าน ทำเอาทุกคนต่างเห็นมันเป็นเรื่องปกติไปซะแล้ว “อากลับมาทำไมไม่บอกโรสค่ะ โรสจะได้ไปรับ” หญิงสาวถาม น้ำเสียงติดจะงอนๆเขา “ก็อาจะกลับมาเซอร์ไพร์หลานสาวคนนี้ไง” คนเป็นอาว่า ก่อนหลานสาวตัวดีจะหอมแก้มชายหนุ่มเป็นการต้อนรับกลับ “ยินดีต้อนรับกลับบ้านค่ะ อาคริส” หญิงสาวยิ้มแก้มแทบปริ เมื่อคนที่เธอตั้งหน้าตั้งตารอมาหลายวันกลับมาให้เธอหายคิดถึง “จ๊ะๆ แล้วอาไม่อยู่โรสทำอะไรบ้าง ดื้อกับแม่มารีหรือเปล่า” เขาโอบเอวหลานสาวไว้ ก่อนจะเดินไปนั่งลงบนโซฟาตัวใหญ่ตัวเดิม พร้อมกับกดปิดหนังเรื่องที่หลานสาวกำลังดูอยู่ด้วย เพราะแม่มารีบอกเขามาว่า แม่หลานสาวตัวดี อยู่ในห้องนี้มาตั้งแต่เช้าแล้ว “เปล่านะค่ะ” หญิงสาวว่า ก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่องไป “อามาเหนื่อยๆ โรสไปหาอะไรให้อากินดีกว่า” หลานสาวไม่รอช้า รีบเดินไปทันที ก่อนจะโดนคนเป็นอาซักไซ้ไร่เรียงไปมากกว่านี้ ทำเอาคนเป็นอาได้แต่ส่ายหน้าอย่างจนปัญญา ถ้าจะโทษใครที่เธอเป็นแบบคนๆนั้นคงเป็นเขาเอง เพราะเขาทั้งรัก ทั้งห่วงและทั้งหวงหลานสาวต่างสายเลือดคนนี้ ตอนนี้ในบ้านมีเพียงเขาและเธอเท่านั้น เพราะพ่อและแม่ของเขาต่างเลือกที่จะไปใช้ชีวิตบั้นปลายที่เหลืออยู่ที่บ้านเกิด ทำเอาที่นี่เหลือเพียงเขากับหลานสาวตัวดีเท่านั้น เขาเห็นการเจริญเติบโตของหลานสาวตลอด ดีหน่อยที่ตอนเธอเริ่มเป็นสาว แม่เขายังอยู่ที่นี่ ไม่เช่นนั้นเขาเองก็คงจะแย่ เพราะไม่รู้จะบอกเรื่องราวต่างๆที่สาวแรกรุ่นต้องพบเจออย่างไร ก๊อกๆๆ เสียงเคาะบานประตูสีขาวดังมาจากด้านนอก ทำเอาหญิงสาวที่กำลังสำรวจตัวเองว่าเรียบร้อยดีหรือยัง ถลาไปเปิดประตูทันที เพราะรู้ว่า มีเพียงอาของเธอคนเดียวที่จะมาเคาะประตูเธอตอนเช้าๆแบบนี้ “เสร็จหรือยังค่ะ” คำถามพร้อมรอยยิ้มที่อาของเธอมีให้มาตลอด “เสร็จแล้วค่ะ” หญิงสาวว่า ก่อนจะเดินกลับไปหยิบกระเป๋าและสัมภาระเดินออกมาจากห้อง และลงไปที่ห้องอาหารพร้อมคนเป็นอาเหมือนที่เคยทำทุกวัน เธอยังจำได้ว่า วันแรกที่เธอตอนห้องนี้ อาของเธอเป็นคนพาเธอเข้านอน แล้วตอนเช้าก็มาปลุกเธอ และมันก็เป็นอย่างนี้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา “วันนี้อามีประชุมหรือเปล่าค่ะ” หญิงสาวถามขณะกำลังนั่งยกโกโก้ขึ้นจิบ อาไม่ยอมให้เธอดื่มกาแฟ เพราะกลัวเธอติด อาบอกว่า โกโก้ดีกว่าเยอะ แต่เธอก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ถ้ามันดีกว่าจริง ทำไมอาเธอถึงยังไม่เลิกดื่มกาแฟ “มีค่ะ โรสมีอะไรหรือเปล่า” ชายหนุ่มละสายตาจากหนังสือพิมพ์ หันมาสบกันนัยน์ตาสีเขียวของหลานสาว “เปล่าค่ะ งั้นวันนี้อาไม่ต้องไปรับโรสก็ได้นะค่ะ เดี๋ยวโรสกลับเองก็ได้” หญิงสาวว่า เธอไม่อยากเป็นภาระให้เขา เพราะเท่าที่ผ่านมา ชีวิตของเขาทั้งหมดก็ทุ้มมาที่เธอคนเดียวมากเกินพอแล้ว เธอไม่อยากให้เขาต้องเสียโลกส่วนตัวไปมากกว่านี้ “ไม่เป็นไรหรอก วันนี้อามีประชุมแค่เที่ยง โรสเองมีเรียนถึงเย็นเลยไม่ใช่เหรอ” คนเป็นอาปฏิเสธทันควัน เขารู้ตารางเรียนของหญิงสาวดี จำได้ขึ้นใจ พอๆกับจำตารางงานแต่ละวันของตัวเองได้ รถเก๋งสีดำจอดที่หน้าตึกคณะศิลปกรรม ณ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งเช่นเดิมทุกเช้า และก็กลายเป็นที่จับตามองทุกเช้าตลอดสี่ปีที่ผ่านมาเช่นกัน หญิงสาวยื่นหน้าเป็นหอมแก้มของชายหนุ่มเป็นการบอกลาอย่างที่เธอทำทุกเช้ “ไปนะค่ะ อาคริส เย็นนี้เจอกัน” หญิงสาวยิ้มกว้างให้ชายหนุ่ม ก่อนจะเปิดประตูรถลงไป “ดูแลตัวเองดีๆด้วยนะ” ชายหนุ่มบอกเบาๆให้พอได้ยินกันสองคน ก่อนหลานสาวจะยิ้มรับบางๆอย่างเข้าใจ หลังจากหญิงสาวลงมายืนหน้าตึกเรียบร้อย รถเก๋งคันเดิมก็เคลื่อนที่ผ่านไป หญิงสาวมองตามจนลับตา ก่อนจะเดินไปที่โต๊ะหินอ่อนหน้าคณะ โดยมีบรรดาเพื่อนพ้องนั่งรอกันอย่างพร้อมเพียง หญิงสาวเดินตรงไปหาเพื่อนทันที “มาแล้วเหรอจ๊ะ แม่หลานสาวอาหวง” เสียงแซวจากชุฐิมา สาวอารมณ์ดี เธอเรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มจากเพื่อนๆได้เสมอ “แหมๆ เกินไปแล้วย่ะ ยัยชุ อาคริสไม่ได้หวงอะไรสักหน่อย อาก็แค่เป็นห่วง” หญิงสาวแก้ตัวทันที “จ้า แค่เป็นห่วง ถ้าเธอเป็นเด็กประถมฉันจะไม่ว่าเลยแม่คุณ ที่เธอน่ะเรียนมหาลัยปีสุดท้ายแล้วนะจ๊ะ” ชุฐิมายังว่าต่อ ก็เธอกับโรสน่ะรู้จักกันมาตั้งแต่สมัยที่เรียนม.ปลายแล้ว เธอก็เห็นคุณอาหนุ่มรูปงามคนนี้ คอยไปรับไปส่งหญิงสาวตลอดเวลา “ก็อาเป็นห่วงไง ฉันเป็นหลานสาวคนเดียวนี่หนา อยู่กับอาคริสแค่สองคน อาไม่ห่วงฉันแล้วจะไปห่วงใครล่ะ” หญิงสาวว่า ก่อนแพรวาจะถามขึ้นมา “โรสคิดโปรเจคออกหรือยัง” คำตอบที่หญิงสาวแทบจะพยักหน้าตอบทันที ทำเอาชุฐิมาอดแซวอีกไม่ได้ว่า “ยัยนี่มันคิดออกก่อนจะเข้ามาเรียนที่นี่อีกนะยะ” เสียงกระแน่ะกระแหนของชุฐิมาทำเรียกเสียงหัวเราะจากบรรดาเพื่อนๆ ก่อนจะมีเสียงแทรกของใครบางคนว่า “หัวเราะอะไรกันครับสาวๆ” เสียงทุ้มๆดังมาจากด้านหลังของโรส ซึ่งเจ้าตัวรู้ดีว่าเป็นเสียงของใคร เลยอดทำหน้าเซ็งไม่ได้ ซึ่งไม่ลอดพ้นสายตาเพื่อนสนิทอย่างชุฐิมาได้ “แล้วนายมีปัญหาอะไรมิทราบ” คำถามกวนๆจากชุฐิมา ทำให้หนุ่มอารมณ์อย่างปกรณ์ส่งยิ้มให้ ก่อนจะทรุดตัวนั่งข้างๆโรส โดยไม่สนใจสายตาอาฆาตของชุฐิมาแม้แต่น้อย “วันนี้คุณอามาส่งเหมือนเดิมหรือเปล่าครับโรส” ชายหนุ่มถาม น้ำเสียงทอดความเป็นห่วงอย่างไม่ปกปิด ก็ปกรณ์ตามจีบหญิงสาวตั้งแต่เธอเข้าเรียนปี1แล้ว ซึ่งตอนนั้นเขาเป็นนักศึกษาแพทย์ปี3 และปีนี้ก็เป็นปีจบทั้งของเขาและเธอ “ค่ะ พี่กรมีธุระอะไรกับโรสหรือเปล่าค่ะ” หญิงสาวถามกลับไปอย่างรักษามารยาท ซึ่งชายหนุ่มก็รู้ดี หากแต่ก็ไม่ละความพยายาม ก็เขาน่ะยิ่งใกล้ชิดเธอ เขาก็ยิ่งชอบเธอมากขึ้น ตอนแรกที่เข้ามาจีบเธอ ก็แค่เห็นว่าเธอเป็นคนสวย ก็เรือนผมยาวสีดำ กับนัยน์สีเขียว ทำเอาเขาหรือใครๆก็ต่างพากันหลง “ไม่มีหรอกครับ ก็แค่อยากมาคุยกับโรสบ้าง เดี๋ยวจะหาว่าพี่หายไปไหน” หนุ่มว่า พร้อมยังทำหน้าทะเล้นใส่หญิงสาว “นี่นายปกรณ์ ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆ นักศึกษาแพทย์อย่างนายเนี้ย มันว่างนักหรือไง ถึงได้เสนอหน้ามาหาเพื่อนฉันทุกเช้า” ชุฐิมาเห็นท่าทีกระอักกระอ่วนของเพื่อนก็รีบยื่นมือเข้าช่วยทันที ซึ่งเธอทำหน้าที่นี่มาตลอดตั้งแต่เรียนม.ปลายแล้ว “ขอโทษทีครับที่ผมทำตัวว่าง เอาเป็นว่าไว้เจอกันนะครับโรส” ชายหนุ่มว่า ก่อนจะลุกออกจากวงสนทนา เขากับชุฐิมาเจอหน้ากันทีไรเป็นต้องปะทะฝีปากกันทุกทีไป “ขอบใจมากชุ” โรสหันมายิ้มบางๆให้เพื่อนสนิท หากแต่ชุฐิมากลับบอกว่า “นี่เธอ ฉันเป็นเพื่อนเธอนะย่ะ ไม่ต้องขอบใจกับเรื่องแค่นี้หรอกย่ะ ว่าแต่เมื่อไหร่เธอจะมีแฟนเป็นตัวเป็นตนสักที ฉันจะได้เลิกทำตัวเป็นไม้กันหมาให้เธอสักที” คำเปรียบเปรยตัวเองของชุฐิมา ทำเอาหญิงสาวหัวเราะร่า ก่อนจะบอก “ก็มันยังไม่เจอคนถูกใจ” “ไม่เจออะไรโรส แพรเห็นมีให้เลือกเยอะแยะ แม่ดาวคณะ” แพรวาว่า ทำเอาโรสหน้าแหย่ ก็เพราะเธอถูกเรียกแบบนี้น่ะสิ ถึงได้มาทั้งรุ่นพี่รุ่นน้องรุ่นเดียวกัน แห่แหนมาแจกขนมจีบกันเป็นว่าเล่น ซึ่งปกรณ์เป็นหนึ่งในนั้น และดูจะเป็นคนที่ความอดทนที่สุดด้วยสิ “เอาน่า เอาเป็นว่ามันไม่มีแล้วกัน” หญิงสาวบอกปัด ก่อนจะชวนเพื่อนเดินเข้าตึกเรียน
(โปรดติดตามตอนต่อไป)