ดอกไม้กับไออุ่น
แสงแดดอ่อนๆยามเช้าส่องกระทบผิวน้ำระยิบระยับจับตา จนทำให้ร่างบางที่กำลังใช้แรงในการปั่นจักรยานคันเล็กเพื่อบังคับให้มันขึ้นทางที่ลาดชันเล็กน้อยนั่น ต้องหยุดการปั่นลงแล้วกระโดดลงจากรถจักรยานเพื่อจูงมันไปยืนดูแสงที่ระยิบระยับจากผิวน้ำนั้น
หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดแล้วค่อยๆผ่อนมันออกมาอย่างช้าๆ นานแล้วที่เธอไม่ได้เห็นอะไรแบบนี้ ตั้งแต่ที่เธอต้องจากบ้านไปเรียนที่เมืองหลวงของประเทศนั่นแหละ กี่ปีแล้วนะ อ๋อ… สี่ปีซินะที่เธอไม่ได้มาใช้เวลาอยู่กับธรรมชาตินานๆแบบนี้
ร่างบางที่อยู่ในชุดเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงสามส่วนสีชา มีผ้าเช็ดตัวสีขาวผืนเล็กพาดคออยู่ ผมยาวที่เจ้าตัวรวบเป็นหางม้าขึ้นสูง เผยให้เห็นใบหน้าชมพูหวานเรื่อๆเพราะไอร้อนจากเปลวแดด ถึงแม้แดดยามเช้ายังไม่แรงมากนัก แต่การที่เธอใช้แรงในการปั่นจักรยานทำให้อุณภูมิภายในร่างกายสูงขึ้นเล็กน้อย หญิงสาวยกผ้าผืนน้อยขึ้นเช็ดเหงื่อตามไรผมออก แล้วหย่อนตัวลงนั่งราบไปกับพื้นหญ้า
สายลมพัดเอื่อยๆ ใบไม้ปลิวไสวลู่ไปตามสายลมที่พัดผ่าน ทำให้รู้สึกเย็นสดชื่นและผ่อนคลายอย่างมาก ถ้าไม่ติดว่าวันนี้ตั้งใจจะเข้าไปในตัวอำเภอเพื่อหาอะไรอร่อยๆทานละก็ เธอจะของีบอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่นี้ซักชั่วโมงสองชั่วโมงเลยล่ะ
เสียงรถยนต์แล่นผ่านไปอย่างรวดเร็วทำให้เธอละสายตาหันไปมอง
“จะรีบไปไหนนะ ขับซะเร็วเชียว” เมื่อเธอหันไปก็ได้เห็นแค่เพียงหลังไวๆของเจ้ารถยนต์คันนั้น
“อารมณ์มอดเลยแฮะ” เธอพึมพำคนเดียว ก่อนดีดตัวขึ้นปัดเศษหญ้าที่ติดกางเกงออก แล้วหันไปเลี้ยวคอจักรยานคู่ใจลากมันขึ้นถนนแล้วพาดขาเรียวบางของตัวเองขึ้นไปนั่ง
เมื่อคิดว่าตัวเองพร้อมแล้วขาน้อยๆของเธอก็พร้อมที่จะปั่นมันขึ้นเนินสูงข้างหน้านั้นไป จุดมุ่งหมายคือตัวอำเภอซึ่งอยู่ห่างจากตรงนี้ไปอีกไม่ถึงสองกิโล
ในขณะที่ใช้แรงในการปั่นจักรยานขึ้นเนินที่ชันนั้น สายตาของเธอก็สอดส่องไปตามข้างทางเพื่อดูวิวทิวทัศน์ และบรรยากาศเดิมๆที่เธอห่างหายไปนาน
สองข้างทางของที่นี่เต็มไปด้วยพืชพันธุ์นานาชนิดที่เจ้าของไร่เอามาปลูก หญิงสาวชอบการจัดไร่ของชาวไร่ที่นี่มาก เพราะจัดได้เป็นสัดเป็นส่วนดี ถ้าเป็นไร่องุ่นก็จะมีแต่องุ่นมองไปจนสุดลูกหูลูกตา ไร่ส้มก็จะมีแต่ต้นส้ม แต่ที่เธอชอบมากที่สุดคงจะเป็นสวนกล้วยไม้ กับดอกไม้เมืองหนาวนานาพันธุ์ที่เจ้าของสวนปลูกเป็นพืชเศรษฐกิจของครัวเรือน
ไว้คราวหลังเธอค่อยไปเที่ยวชมก็แล้วกันเช้าวันนี้ขอออกกำลังกายไปเที่ยวในตัวอำเภอซักวันก่อนดีกว่า ดอกไม้เหล่านั้นคงจะไม่หนีเธอไปไหนตอนนี้แน่
“ทำไมทางมันชันแบบนี้นะ” เมื่อปั่นไปเรื่อยๆชักรู้สึกเหนื่อยขึ้นมาบ้างเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะบ่นให้กับทางที่ลาดชันนั้น
กลับมาคราวนี้เธออยู่นานเลยทีเดียว เพราะหญิงสาวเพิ่งเรียนจบมาหมาดๆ ขอพักสมองซักเดือนสองเดือนก่อนกลับไปหางานทำ แต่ไม่แน่ถ้าเธอหางานไม่ได้เลย ก็คงจะขอบริหารงานภายในไร่องุ่นของครอบครัวไปพลางๆก่อนก็แล้วกัน
เมื่อปั่นมาถึงตัวอำเภอแล้วคราวนี้ก็ถึงเวลาที่จะต้องสอดส่ายสายตาหาร้านอาหารที่คิดว่าจะอร่อย เคยได้ยินมาว่าถ้าร้านอาหารที่อร่อยนั้นให้สังเกตจากผู้คนที่มาอุดหนุนนั้นต้องเป็นคนในพื้นที่ซะส่วนใหญ่ เพราะส่วนมากจะเป็นขาประจำ แต่ถ้าคราครั่งด้วยขาจรนี่ไม่แน่ว่าจะอร่อยหรือไม่
แต่วันนี้สิ่งที่เธอต้องการมากที่สุดคือการนั่งละเลียดไอศครีมไปแบบสบายๆซักวัน เมื่อคิดเช่นนั้นหญิงสาวจึงมองหาร้านไอศครีมที่คิดว่าน่าจะดีที่สุด ขาน้อยๆปั่นจักรยานไปตามทางเรื่อยๆ ดีนะที่เมืองที่เธออยู่เป็นเพียงแค่ชุมชนเล็กๆไม่อย่างนั้นการปั่นแบบใจลอยไม่ระมัดระวังแบบนี้คงจะเป็นอันตรายไม่น้อย
สายตาของหญิงสาวไปสะดุดกับร้านไอศครีมเล็กๆแต่จัดได้อย่างน่ารัก เธอมองทะลุกระจกใสเข้าไปข้างในเห็นร่างสูงๆ สงสัยจะเป็นเจ้าของร้านแน่ๆ ยืนตักไอศครีมใส่ถ้วย มือหนาๆของเขากำลังจัดตกแต่งไอศครีมในจานอย่างคล่องแคล่วนี่แหละใช่เลย…. ร้านนี่แหละดูท่าจะเหมาะกับการนั่งละเลียดไอศครีมให้ชุ่มปอดไปเลย
ว่าแล้วเธอก็ชะลอการปั่นให้ช้าลง แล้วจอดมันในที่สุด หญิงสาวกระโดดลงจากเจ้าจักรยานคู่ชีพแล้วใช้เท้าเขี่ยขาตั้งลงเพื่อใช้ในการจอดจักรยาน
ทันทีที่มือบางผลักประตูกระจกใสเข้าไปข้างใน เสียงทุ้มๆนุ่มน่าฟังของเจ้าของร้านก็ดังขึ้น
“ร้านดอกไม้ไอศครีมยินดีต้อนรับครับ”
เมื่อเดินเข้าไปข้างในแล้ว หญิงสาวถึงกับอึ้งกับการตกแต่งภายในร้าน สมแล้วที่เขาใช้ชื่อว่า “ร้านดอกไม้ไอศครีม” เพราะข้างในร้านนั้นตกแต่งไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ ที่เห็นแล้วอยากหยิบกลับบ้านซักต้นสองต้นให้หายอยากไปเลย
หญิงสาวมัวแต่อึ้งกับการจัดร้านของเขา จนมีเสียงทักมาอีกครั้งนั่นแหละเธอถึงสะดุ้งตื่นจากความคิดของตัวเองทันที
“ดอกไม้ไอศครีมยินดีต้อนรับครับ” เขาเอ่ยยิ้มๆให้กับลูกค้าคนใหม่ ที่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน เธออาจจะเป็นนักท่องเที่ยว หรือไม่ก็เป็นคนในพื้นที่ที่เพิ่งหลงเข้ามาในร้านของเขาเป็นครั้งแรกก็เป็นได้
หญิงสาวหันไปส่งยิ้มเก้อๆให้กับชายหนุ่ม เมื่อตระหนักได้ว่าตัวเองเผลอทำเปิ่นอีกแล้ว
“รับอะไรดีครับ” ชายหนุ่มส่งยิ้มบางๆมายังเธอ
เขาถามพร้อมส่งเมนูให้หลังจากที่เธอหย่อนตัวลงนั่งเรียบร้อยแล้ว เก้าอี้ไม้เล็กๆที่จัดเป็นชุดกับโต๊ะไม้น่ารักๆ รสนิยมในการตกแต่งร้านของเขาดีเยี่ยม สงสัยในระหว่างที่เธออยู่ที่นี่ร้านนี้คงจะกลายเป็นร้านโปรดของเธอในที่สุดเป็นแน่
หญิงสาวเอื้อมมือไปรับเมนูจากมือหนานั่น เขาส่งให้เธอเสร็จก็เดินจากไปเพื่อปล่อยให้เธอได้ใช้เวลาในการตัดสินใจในการเลือกว่าจะเอาอะไรดี
หญิงสาวเปิดเมนูเบาๆ พร้อมมองไปรอบๆร้าน วันนี้เธอออกจากบ้านตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า แต่ขณะนี้เวลาเก้าโมงครึ่ง ยังถือว่าเช้าอยู่ ลูกค้าจึงไม่ค่อยมี เพราะดูแล้วมีแค่สองสามโต๊ะแค่นั้น
เมื่อพิจารณาภายในร้านจนคิดว่าเพียงพอแล้ว หญิงสาวจึงก้มหน้าเปิดเมนูอีกรอบ…
เพิ่งรู้แฮะว่าในนี้มีอาหารตามสั่งด้วย กลิ่นเบเกอรี่ลอยปะทะจมูก กลิ่นหอมหวานชวนให้ลิ้มลอง เผอิญเหลือบไปเห็นมุมหนึ่งของร้านที่มีตู้วางขนมเบเกอรี่ด้วย โห.. เห็นร้านแค่นี้ครบวงจรจัง
มีแต่ของโปรดเธอทั้งนั้น…
มือบางยังคงพลิกเปิดเมนูไปอย่างใจเย็น เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นรอยยิ้มอบอุ่นจากชายหนุ่มคนเดิม เขามายืนรอให้บริการข้างๆโต๊ะที่เธอนั่ง
“ถ้าเลือกไม่ถูกลองให้ผมแนะนำให้ไหมครับ” เมื่อเห็นว่าเธอไม่ยอมสั่งซักทีเขาจึงคิดว่าอาจเป็นเพราะเธอเลือกไม่ถูกนั่นเอง อาจเป็นเพราะว่าเธอยังเป็นลูกค้ารายใหม่ ก็เลยยังไม่รู้ว่าที่นี่มีอะไรน่ากินมั่ง
“ก็ดีค่ะ” เธอเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของร้านหน้าคม ที่ดูยังไงๆเขาก็ไม่เหมาะกับร้านไอศครีมแห่งนี้นัก เพราะอะไรเธอถึงรู้ว่าเขาเป็นเจ้าของร้านแห่งนี้น่ะเหรอ? ก็ไม่อยาก… แค่ใช้ความรู้สึกในการตัดสินก็เพียงพอแล้วสำหรับเธอ
เขาแนะนำเธออย่างคล่องแคล่ว หญิงสาวมัวแต่มองปากได้รูปนั้นในยามที่เขาพูด จนไม่ได้ฟังว่าสิ่งที่เขาพูดออกมานั้นคืออะไรบ้าง จนเมื่อเขาถามเธอขึ้นอีกครั้งนั่นแหละสติเธอถึงกลับมาเช่นเดิม
“คุณครับ”
“คะ?” เธอสะดุ้งเล็กน้อย
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” เขาถามอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นว่าลูกค้าหน้าใส บัดนี้หน้าใสๆนั้นระเรื่อเป็นสีชมพูขึ้นมานิดๆตรงแก้มใส ทำให้น่ามองยิ่งขึ้น
ก่อนที่เธอจะหาข้อแก้ตัวได้ เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นเป็นสัญญาณเตือนช่วยชีวิตเธอได้ทัน…
“ไออุ่นพูดจ้า” เมื่อเห็นชื่อที่โชว์อยู่หน้าจอว่าเป็นของเพื่อนสาวเธอก็รีบรายงานตัวทันที แล้วหันไปก้มหัวเป็นการขอโทษคนตัวโตหน้าคมที่ยืนรอฟังคำตอบเก้อๆ
กุมภีมเห็นว่าเธอคงจะคุยอีกนานเขาจึงรีบก้าวออกมาจากที่ตรงนั้น เพื่อไปบริการโต๊ะอื่นแทนก่อน
“อะไรนะ ตอนนี้แกอยู่ไหนนะ” เสียงที่ดูเหมือนเป็นการตะคอกออกมา ทำให้คนทั้งร้านหันมามองยังเธอเป็นตาเดียว จนไออุ่นต้องรีบหันไปพยักหน้าขอโทษ แล้วลดเสียงตัวเองให้เบาลง
“แกบอกว่า ตอนนี้แกอยู่ที่อำเภอของฉันแล้วนี่นะ ทำไมไม่บอกกันให้รู้ก่อนจะมาว่ะ” เธอโวยวายให้กับปลายสาย จะไม่ให้เธอโวยวายได้ยังไงกันเล่า รู้ๆอยู่ว่าถ้าเพื่อนเธอมาละก็เป็นต้องมีการขนย้ายเสื้อผ้าอย่างกับจะมาพักตลอดชีวิตแน่ๆ
แล้วตอนนี้เจ้าหล่อนบอกว่ามาถึงแล้ว โดยที่ไม่มีการบอกกล่าวล่วงหน้าแบบนี้ จะให้เธอทำยังไงกับกระเป๋าใบโตๆของเพื่อน จะให้ขนกลับด้วยเจ้าจักรยานคันน้อยนิดคันที่เธอปั่นมานี่เหรอ?.. เหอๆ แค่คิดก็สยองแล้ว ยิ่งทางที่จะไปบ้านเธอนั้นประกอบไปด้วยทางลาดชันพร้อมทางที่คดเคี้ยวเลี้ยวโค้ง แค่น้ำหนักของกระเป๋าที่คุณเธอแบกมา แล้วไหนจะน้ำหนักของเพื่อนสาวอีกล่ะ ถึงแม้ร่างนั้นจะเล็กนิดเดียวก็ตามเถอะแต่ถ้าสองอย่างนี้บวกกันแล้วก็หนักใช่ย่อย อย่างนี้เธอไม่ปั่นจนขาบิดเลยเหรอ?
“แกช่วยเอารถยนต์มารับฉันที่ บขส.ทีนะอุ่นนะ” เสียงปลายสายดังมาทำ
ให้เธออดไม่ได้ที่จะค้อนประหลับประเหลือกไปในโทรศัพท์
“ตอนนี้ฉันอยู่ในตัวเมืองอยู่”
“อะฮ้า… อย่างนั้นก็ดีซิแกรีบมารับฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ”
“ทำไมแกไม่โทรมาบอกกันก่อน” อดไม่ได้ที่จะต่อว่ากลับไป
“ฉันแค่อยากให้แกแปลกใจเล่น แล้วทำไมต้องทำเสียงแบบนั้นไม่ดีใจที่ฉันมาเหรอ?” แพรไหมถามกลับด้วยเสียงน้อยใจ
“เปล่าๆ ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น อีกสิบนาทีเจอกันนะ” เธอตัดสินใจกดวางสาย แล้วเดินไปหยิบขนมปังในชั้นสองสามชิ้นไปวางเคาท์เตอร์จ่ายเงินของร้าน
เจ้าของร้านหน้าคมยืนส่งยิ้มให้ในยามที่เธอวางขนมปังเหล่านั้นลงเพื่อจ่ายเงิน
“ไว้วันหลังค่อยมาอุดหนุนใหม่นะคะ” ไออุ่นกล่าวยิ้มเก้อๆ เมื่อเห็นว่าเขายังคงยืนยิ้มหวานๆมาให้ตน ทั้งที่ในตอนแรกนั้นตั้งใจว่าจะนั่งละเลียดอาหารกับไอศครีมอยู่ในนี้ซักชั่วโมงสองชั่วโมง แต่แผนดันล่มเลยต้องส่งยิ้มหวานๆกลับคืนไปให้เขา เพื่อเป็นการไถ่โทษที่เขาอุตส่าห์ไปยืนคอยบริการ แต่ลูกค้าอย่างเธอดันจะหนีซะงั้น
“ไม่เป็นไรครับ ไว้คราวหน้ามาอุดหนุนใหม่นะครับ” เขาหยิบขนมปังใส่ถุง แล้วหันไปคิดเงิน ต๊อกแต๊กๆ…. เสียงกดเครื่องคิดเงินของเขาช่างน่าฟังเหลือเกิน เหอ เหอ คิดอะไรอยู่เนี่ยเรา….
“เรียบร้อยครับ” เขาส่งถุงใส่ขนมเหล่านั้นมาให้เธอพร้อมบิลค่าใช้จ่ายพร้อมสรรพ
ไออุ่นส่งเงินค่าขนมไปให้เขาพร้อมหยิบถุงใส่ขนมจากมือหนามาถือไว้
“ขอบคุณครับ โอกาสหน้าเชิญใหม่ครับ” เจ้าของร้านตาคมกล่าวพร้อมโค้งหัวให้น้อยๆพร้อมรอยยิ้มหวานๆเช่นเคย
โอ้ย… แค่นี้ใจก็จะละลายอยู่แล้ว ไม่ต้องมาส่งยิ้มให้บ่อยก็ได้ เดี๋ยวอดใจไม่ไหว เธอจะทิ้งเพื่อนให้รอซักสองชั่วโมงแล้วนั่งอยู่ในร้านนี้เพื่อนั่งมองรอยยิ้มหวานๆนั้นให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย
“ค่ะ” …….. แต่ความเป็นจริงแล้วเธอพูดได้แค่นี้เอง เฮ้อ….
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง…
ไออุ่นหยิบมันขึ้นมาดู เมื่อเห็นว่าเป็นชื่อใครก็กดรับทันที
“เออ… ฉันรู้แล้ว รออยู่ตรงนั้นแหละห้ามไปไหนนะ เดี๋ยวฉันไปรับ สิบนาที… เออๆ แล้วเจอกัน”
เมื่อวางสายกับเพื่อนรักเสร็จแล้ว พอหันกลับมาก็ยังคงเห็นสายตาคมๆยังคงจับจ้องเธออยู่
“เงินทอนครับ”
“ขอบคุณคะ” ไออุ่นหันไปหยิบเงินทอนในมือเขา แล้วเดินออกมาจากร้าน ทั้งที่ยังมีสายตาคมๆยังคงจับจ้องมองตามมา แต่… เธอไม่รู้ตัวหรอก
สิบนาทีผ่านไป ร่างบางของไออุ่นก็ปรากฏกายต่อหน้าเพื่อนสาวพร้อมจักรยานคันน้อย หน้าที่โชกไปด้วยเหงื่อมองหน้าเพื่อนสาวด้วยสายตาพิฆาต
“ใครใช้ให้แกมาโดยไม่บอกกล่าวล่วงนะห่ะ” เมื่อเห็นหน้าคนที่นั่งรออยู่บนเก้าอี้พลาสติกภายใน บขส.แล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะต่อว่าให้หายเคืองซักหน่อย
“ก็ฉันคิดถึงแกนี่หว่า” แน่ะ… มีหน้ามาหยอดคำหวานอีกเพื่อนฉัน รู้ทั้งรู้ว่าเธอแพ้คำเหล่านี้ง่ายอยู่ด้วย
แพรไหมเข้าสวมกอดเพื่อนสาวอย่างเอาใจ
“วันนี้รู้สึกต่อมยิ้มของแกคงจะทำงานบกพร่องแหงๆ ตั้งแต่มาถึงฉันยังไม่เห็นแกยิ้มเลย” แพรไหมใช้สองมือดึงแก้มเพื่อนทั้งสองข้างอย่างหยอกล้อ เมื่อเห็นว่าเพื่อนยังคงหน้าตูมอยู่เหมือนเดิม
“จะให้ต่อมยิ้มฉันทำงานได้ยังไง แค่เห็นกระเป๋าแกฉันก็เหนื่อยแล้ว”
“โห.. ใบนิดเดียวเองนะเว้ย” แพรไหมแก้ต่าง พร้อมหันไปดูกระเป๋าที่เพื่อนบอกว่าเห็นแล้วเหนื่อย แต่เธอว่ามันไม่เห็นจะโตอย่างที่เพื่อนสาวกล่าวหาเลย
“นี่เหรอที่ว่านิดเดียวของแก ถามจริงๆเถอะไหม แกจะมาตั้งหลักปักฐานที่นี่เลยหรือไงว่ะ” ต่อว่าพร้อมส่งสายตาค้อนๆไปยังเพื่อนสาว
“ถ้าแกอนุญาตนะ” แพรไหมว่า
“ให้ได้อย่างนี้ซิเพื่อนฉัน แล้วแกจะเอามาทำไมสองสามใบละนี่” เฮ้อ… แค่เจ้ากระเป๋าใบโตที่วางอยู่บนพื้นนั่นไม่พอ ยังมีกระเป๋าใบขนาดย่อมวางอยู่ข้างๆ แล้วยังมีกระเป๋าขนาดจิ๋วพาดอยู่บนไหล่ของเจ้าหล่อนอีก ให้ได้อย่างนี้ซิเพื่อนฉัน… แล้วจะขนกลับกันยังไงล่ะทีนี้
“ก็อันแรกน่ะกระเป๋าเสื้อผ้า ส่วนอันนั้นกระเป๋าเครื่องสำอางค์ ส่วนเจ้านี่” เธอชี้ใส่กระเป๋าใบจิ๋วที่อยู่บนไหล่ของตัวเอง
“ใช้ใส่ของจิปาถะจ๊ะ”
“แล้วทำไมแกไม่รวมกันมาแค่ใบเดียวว่ะ เห็นแล้วเหนื่อยแทนจริง” ไออุ่นส่ายหน้าระอาให้กับเพื่อนสาว
“ฉันเป็นคนแบกมา ถ้าเหนื่อยฉันก็เหนื่อยเอง แกไม่เห็นจะลำบากเลยนี่นา แล้วไหนล่ะรถที่แกเอามารับฉัน”
“โน่น…” ไออุ่นชี้ใส่จักรยานคันเล็กที่ตนเองใช้แรงถีบมาเมื่อเช้า
“หาาาา… อะไรนะ แกเอาจักรยานคันนี้มารับฉันเนี่ยนะไออุ่น” แพรไหมทำตาโตประหลับประเหลือกจนน่าขัน
“ก็ฉันปั่นมันมาเมื่อเช้า ช่วยไม่ได้แกอยากมาแบบไม่ให้ทันตั้งตัวเองนี่หว่า”
“งั้นแกรีบโทรให้พี่ไอดินมารับด่วนเลย” แพรไหมหมายถึงไอดินพี่ชายคนเดียวของไออุ่นนั่นเอง
“ซอรี่จ๊ะเพื่อนเลิฟ… วันนี้พี่ไอดินไม่อยู่” ไออุ่นยักคิ้วลิ่วตาให้เพื่อนรักอย่างสะใจ
“งั้นแกก็ให้คนที่บ้านมารับซิ พ่อก็ได้ แม่ก็ได้ หรือว่าคนงานในไร่ก็ได้นี่หว่า” แพรไหมพูดรัวเร็ว เพราะเมื่อคิดว่าถ้าจะให้เธอต้องแบกเจ้ากระเป๋าทั้งหลายนี้ขึ้นรถจักรยานคันเล็กคันนี้คงไม่ไหวแน่ๆ
“เสียใจอีกครั้งจ๊ะเพื่อนรัก รถที่บ้านฉันคันหนึ่งพี่ดินเอาไป ส่วนอีกคันอยู่ในอู่ย่ะ”
“งั้นเอามอร์ไซต์ก็ได้” แพรไหมพยายามออดอ้อน
“ไม่ละจ๊ะ วันนี้ฉันไม่ได้เอาโทรศัพท์มา”
“เอาของฉันก็ได้”
“ฉันลืมเบอร์โทรแล้ว”
“ตกลงแกจะให้ฉันแบกกระเป๋าขึ้นจักรยานไปกับแกให้ได้ใช่ไหม” แพรไหมเท้าสะเอวถามเพื่อนสาว อีกฝ่ายพยักหน้าทันที
“แน่นอนอยู่แล้วจ๊ะเพื่อนรัก และอีกอย่างคนที่ปั่นนั้นไม่ใช่ฉันแต่เป็นแกต่างหากเล่า” ไออุ่นหัวเราะอย่างถูกใจเมื่อเห็นเพื่อนสาวทำตาโตตกใจ
“หาาาา อะไรนะไออุ่นแกจะให้ฉันปั่น สิบกิโลเชียวนะแก”
“ก็สิบกิโลน่ะซิ” ไออุ่นทำหน้ากวนๆให้กับเพื่อนสาว ซึ่งอีกฝ่ายทำหน้าเหมือนอยากจะลงไปชักดิ้นชักงอตรงนั้นเสียให้ได้
หญิงสาวเดินไปลากเจ้าจักรยานคันเล็กคู่ใจมาใกล้ๆแล้วบอกให้เพื่อนสาวไปลากกระเป๋ามา…
แพรไหมลากกระเป๋าใบขนาดย่อมมาวางลงตึง… ต่อหน้าเพื่อนสาว
“อ่ะๆๆ อย่าทำกิริยาอย่างนั้นเพื่อนรัก ดูไม่ดีเลยและนั่นน่ะกระเป๋าของเธอเองนะจ๊ะ พังมาอย่าหาว่าไม่เตือนน้าาาา” ประโยคหลังไออุ่นลากเสียงยาวๆ
ไออุ่นยกกระเป๋าใบนั้นใส่ลงไปในตะกร้าหน้ารถ ซึ่งเป็นความโชคดีที่มันพอดีเป๊ะกับขนาดของตะกร้ารถเลย…
“อีกใบจ๊ะเพื่อน” ไออุ่นใช้หางตาชี้ไปยังกระเป๋าใบโตที่ยังคงวางอยู่ที่เดิม ส่วนเธอเองยังคงยืนข้างๆจักรยานมองเพื่อนรักไปลากกระเป๋าใบโตด้วยสีหน้างอนๆ
“ไอ้เรารึ…อุตส่าห์คิดถึงเพื่อน ถ่อสังขารมาหา พอมาถึงเพื่อนต้อนรับแบบนี้น่าน้อยใจจัง” แพรไหมใช้แรงลากกระเป๋าไป ปากก็บ่นให้เพื่อนสาวไป
“ก็อยากมาแบบไม่บอกไม่กล่าวเองนี่นา”
“ก็ใครจะไปรู้ว่าแกจะพิเรนท์ปั่นจักรยานเข้ามาในตัวอำเภอแบบนี้นี่หว่า ตอนแรกที่ได้ยินว่าแกอยู่ในเมืองพอดีอุตส่าห์ดีใจว่าจะได้ถึงบ้านเร็วๆ ที่ไหนได้…” ไม่วายที่จะบ่นอีกรอบ
“เหนื่อยก็เหนื่อย หิวก็หิว” แพรไหมยังคงบ่นไปเรื่อยๆ จนคนที่ยืนข้างจักรยานทนไม่ได้
“แล้วแกจะบ่นหาสวรรค์วิมานอะไรว่ะ” ไออุ่นหยิบขนมที่ซื้อมาเมื่อสักครู่ยื่นให้เพื่อนสาว
“อะไร” แพรไหมเลิกคิ้วถามงงๆ
“ขนมปัง… ก็แกบ่นว่าหิวไม่ใช่เหรอ? พอดีฉันซื้อมาพอดี แกเอาไปกินรองท้องก่อนจะได้มีแรงปั่นจักรยานขึ้นเนิน”
“โห… ไรว่ะ นี่ใจคอแกจะให้ฉันปั่นจักรยานจริงๆเหรอ ฉันเดินทางมาก็เหนื่อยพอทนแล้วนะเว้ย!!” แพรไหมต่อว่าเพื่อนสาวทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น
ไออุ่นมองหน้าเพื่อนสาวที่ทำหน้าตื่นๆอย่างอดขำไม่ได้ เธอก็แค่จะแกล้งเพื่อนสาวจอมเฮี้ยวของเธอแค่นั้นเองแหละ อยากแก้เผ็ดให้หายสะใจบ้าง โทษฐานที่มาโดยไม่บอกกล่าวล่ะหนึ่ง สอง…โทษฐานที่ทำให้เธออดที่จะนั่งละเลียดไอศครีมตามที่ตั้งใจไว้ในคราวแรก
เมื่อคิดถึงใบหน้าคมๆของเจ้าของร้านแล้วก็อดอมยิ้มคนเดียวไม่ได้ จนคนที่ยืนหอบอยู่ข้างๆเนื่องจากใช้แรงในการลากกระเป๋าใบโตถามขึ้นอย่างใคร่อยากรู้
“แกยิ้มอะไรของแกว่ะ”
“เปล่า ไม่มีอะไร”
“แล้วตกลงแกจะให้ฉันปั่นจริงๆเหรอ?” แพรไหมตีหน้าเศร้าจนคนที่ตั้งใจจะแกล้งในตอนแรกหัวเราะออกมา พร้อมส่ายหน้าปฏิเสธ
“ฉันไม่ทำร้ายแกขนาดนั้นหรอกน่า เดี๋ยวฉันปั่นให้แกนั่งเอง” เมื่อได้ยินเพื่อนพูดเช่นนั้นแพรไหมก็ยิ้มออกทันที เฮ้อ… นึกว่าเธอจะน่องปูดเพราะปั่นจักรายานเสียแล้ว
“ไม่ต้องมายิ้ม คราวนี้ฉันให้อภัยแกนะ ถ้าคราวหน้ามาแล้วไม่ยอมบอกกันอีกละก็ฉันจะให้แกเดินกลับเอง” ไออุ่นชี้หน้าเพื่อนอย่างเอาเรื่อง
“จ้า…เพื่อนเลิฟ คราวหน้าจะไม่ทำอีกแล้วค้าบบบบบ” แพรไหมชูสามนิ้วเลียนแบบคำมั่นของลูกเสือสำรอง
“ดี ฉันก็จะได้ไม่เหนื่อยด้วย ขึ้นรถ…”
“จ้า…”
ไออุ่นมองหุ่นเล็กๆของเพื่อนแล้วก็อดส่ายหน้ากับตัวเองไม่ได้ ไม่น่าเชื่อเลยว่าคนตัวเล็กขนาดนี้จะสามารถแบกกระเป๋าเดินทางถึงสามใบในคราวเดียวกัน ถ้าเป็นเธอละก็ใบเล็กเท่าไหร่ยิ่งดี…
กระเป๋าใบโตของเพื่อนสาวของเธอแค่วางก็แทบจะไม่เหลือที่ว่างสำหรับคนแล้ว ดีนะที่แพรไหมเป็นคนตัวเล็กจึงสามารถแทรกตัวนั่งได้บ้าง แต่กว่าจะถึงบ้านก็คงจะทำให้ก้นระบมกันบ้างล่ะ…
เมื่อเห็นว่าเพื่อนสาวขึ้นหลังรถเรียบร้อยแล้ว ไออุ่นจึงพาดขาผ่านเจ้าเหล็กที่อยู่ตรงกลางคันนั้นเพื่อดีดตัวเองขึ้นเบาะนั่ง
“พร้อมหรือยังเพื่อนรัก” เมื่อขึ้นนั่งบนเบาะเรียบร้อยแล้วจึงหันไปถามเพื่อนสาวที่นั่งทุลักทุเลอยู่ข้างหลัง
“เออ… พร้อมแล้ว ปั่นดีๆนะแก”
“เออน่า เชื่อใจฉันซิ พร้อมแล้วนะ ลุยยยยย” แล้วขาเรียวยาวก็ใช้แรงปั่นจักรยานคันเล็ก จุดมุ่งหมายคือบ้านที่อยู่ห่างจากตรงนี้แค่เพียงสิบกิโลเมตรเท่านั้น เหอๆ ย้ำ…. สิบกิโลเมตรเท่านั้นเอ๊งงงงงงง!!!!!