การกลับชาติมาเกิด ในมุมมองวิทยาศาสตร์
เรื่องนี้เก็บความมาจาก บทความเรื่อง Past Life Regression Therapy Research - PureInsight Net
ซึ่งกล่าวว่า ความเชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิดนี้ เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง มาแต่โบราณกาล โดยเฉพาะในซีกโลกตะวันออก ต่อมาในทศวรรษหลังๆ ความเชื่อนี้ค่อยๆลดน้อยลง เนื่องมาจากความศรัทธาต่อศาสนาที่เสื่อมถอยอย่างรวดเร็ว และถูกแทนที่ด้วย แนวคิดทางวิทยาศาสตร์วัตถุนิยม คู่แฝดมากับลัทธิบริโภคนิยม ที่ขยายตัวอย่างสูงสุดในปัจจุบัน คนจำนวนมากมองศาสนาเป็นเพียงวัฒนธรรมรูปแบบ ที่มีพิธีกรรมต่างๆ อันยุ่งยาก พ้นสมัย ในโลกตะวันตกถึงกับปฏิเสธ เรื่องการกลับชาติมาเกิดโดยสิ้นเชิง มานานแล้ว และได้ลามปามมาถึงฝั่งตะวันออก จนกลายเป็นแนวคิดหลักไปแล้วในขณะนี้ คนเฒ่าคนแก่ที่เคยเชื่อเรื่องดังกล่าว ก็ชักไม่แน่ใจในความเชื่อนี้เช่นกัน แต่แล้ว จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง ก็ปรากฏขึ้น ในโลกวิทยาศาสตร์เอง เมื่อปรากฏว่า หลายปีมานี้มหาวิทยาลัยหลาย แห่งในอเมริกา และยุโรป กำลังทำการค้นคว้าวิจัยทางการแพทย์ อย่างขมักเขม่น เกี่ยวกับเรื่องการกลับชาติมาเกิด เช่น ม.พริ๊นซตั้น และ ม.เวอร์จิเนีย ของอเมริกา ,ม.เอดินเบริก ในสหราชอาณาจักร, ม.แอมสเตอร์ดัม ของเนเธอร์แลนด์, ม.ฟรายเบอร์กใน เยอรมันนี เป็นต้น มีนักศึกษาจำนวนไม่น้อย ที่ได้ปริญญาเอก จากงานวิจัยในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ และ งานวิจัยเชิงวิชาการด้านจิตเวชศาสตร์ ได้เปลี่ยนโฉมหน้าไปแล้วโดยสิ้นเชิง งานวิจัยเหล่านี้ได้พิสูจน์อย่างเด่นชัด ว่า การกลับชาติมาเกิด ไม่ใช่นิยายลึกลับ หากแต่เป็นสถานภาพที่แท้จริง แห่งการดำรงอยู่ของชีวิตมนุษย์
ตัวอย่างหนึ่งของนักวิจัยเรื่องนี้ได้แก่ ดร.เอียน สตีเวนสัน แห่งแผนก การศึกษาด้านบุคลิกภาพ ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ ม.เวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา โดยท่านได้เดินทางไปในที่ต่างๆทั่วโลก เป็นเวลาถึง 37 ปีเพื่อไปทำการสังเกตุ บันทึก รวบรวม ทดสอบ และ แยกแยะ ผู้คนต่างๆที่ได้พบ ซึ่งส่วนมากเป็นเด็ก ที่ระลึกชีวิตในอดีตได้ และมีรอยตำหนิแต่แรกเกิด ( birth marks ) หรือ ความผิดปกติแต่แรกเกิด ( birth defects ) ซึ่งสอดคล้องกับ รอยแผลที่ทำให้ถึงแก่ชีวิต ของผู้ที่เด็กจำได้ จากการระลึกชาติของตน ปัจจุบัน ดร.เอียน สตีเวนสัน อายุ 80 กว่าแล้ว ข้อมูลที่ท่านได้เก็บบันทึกไว้มีนับพันๆ ราย ที่เป็นของเด็กอายุระหว่าง 2 ถึง 7 ปี ที่อาศัยอยู่ใน ตะวันออกกลาง ,ยุโรป ,เอเชีย และอเมริกา ซึ่งน่าแปลกที่ว่า ความสามารถระลึกชาติได้ของเด็กเหล่านี้ จะค่อยๆลดน้อยลงเมื่ออายุประมาณ 7 ปีขึ้นไป. เด็กเหล่านี้ จะพูดขึ้นมาเองถึงชีวิตในชาติก่อนของตน และต้องการจะกลับบ้านเดิมของตน คิดถึงแม่ หรือสามี ในชาติก่อน และมักจะแสดงออกซึ่งความหวาดกลัวอย่างรุนแรง( phobia ) ที่ผิดปกติในสภาพแวดล้อมของครอบครัว ปัจจุบัน หรือไม่อาจอธิบายได้จากเหตุการณ์ในปัจจุบัน ยิ่งไปกว่านี้พวกเขายังรู้จักสิ่งต่างๆ ที่ไม่เคยได้เรียนรู้หรือได้ฟังมาก่อน ในชีวิตนี้ ที่น่าแปลกอีกก็คือ คำบอกเล่าของเด็กเหล่านี้สามารถแสดงถึงความเกี่ยวข้อง กับ ชีวิตจริงหรือ เหตุการณ์ความตาย ได้ในหลายกรณี ดร.สตีเวนสัน เขียนไว้ว่า “ บ่อยครั้ง เด็กเหล่านี้ได้พูดถึง คน และเหตุการณ์ต่างๆ ในชาติก่อน ซึ่งไม่ใช่ชีวิตที่ไม่เป็นที่รู้จักในศตวรรษก่อนๆ แต่เป็นชีวิตที่เจาะจง เป็นตัวตนที่สามารถชี้ชัดออกมาได้ ทว่าเป็นผู้ซึ่งไม่เคยเป็นที่รู้จักของคนในครอบครัวเด็กเองโดยสิ้นเชิง และเป็นผู้คนที่อยู่ต่างถิ่น ต่างแดน หรือในประเทศอื่นๆ และที่แปลกมากๆคือ เด็กๆเหล่านี้สามารถพูดภาษาอื่นที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนได้ “ แต่ละเหตุการณ์ได้ถูกบันทึกไว้อย่างระมัดระวัง ถูกตรวจสอบ และค้นคว้า อย่างรอบคอบเป็นพิเศษ โดยคณะกรรมการของดร.สตีเวนสัน ท่านเองได้ตีพิมพ์หนังสือออกมาจำนวนหนึ่ง ที่เขียนถึงบันทึก การค้นพบที่น่าแปลกใจ เหล่านี้ เช่นหนังสือชื่อ “ เด็กๆผู้สามารถจดจำชีวิตแต่ปางก่อน – คำถามเกี่ยวกับการระลึกชาติ” , หนังสือ “ การระลึกชาติและชีววิทยา” เป็นต้นในหนังสือเรื่อง “ รอยตำหนิแรกเกิด “ ท่านมีรายงานถึง 200 กว่าราย ซึ่งเด็กเหล่านี้ได้อธิบายในรายละเอียดเกี่ยวกับการตายในชาติก่อน เช่นว่า ถูกยิง หรือถูกแทง ด้วยของมีคม ซึ่งตำแหน่งที่ถูกยิงหรือแทงนี้ ตรงกับรอยตำหนิแรก เกิดของพวกเขา และดร.สตีเวนสัน ก็สามารถพบรายงานทางการแพทย์หลังคลอด ที่เกี่ยวข้อง กันนี้ ของเด็กๆ ที่สามารถยืนยัน คำพูดของพวกเขาได้อย่างแม่นยำ
ฟื้นความทรงจำย้อนกลับไปยัง อดีตชาติ Past Life Regression Therapy
ยังมีงานวิจัยอีกแบบหนึ่ง เกี่ยวกับการกลับชาติมาเกิด โดยวิธีการสะกดจิตโดยนักจิตวิทยา เพื่อให้ผู้ถูกสะกด ฟื้นคืนความทรงจำในชาติ ก่อน อันที่จริง การสะกดจิตโดยตัวมันเอง ไม่ได้อธิบายกระบวนการ ฟื้นความจำในชาติก่อน หากแต่เป็นเพราะ เทคนิกที่เรียกว่า Past Life Regression Therapy { PRL }หมายถึงการรักษาโดยการฟื้นความทรงจำย้อนกลับไปยัง อดีตชาติ ผู้ที่อยู่ภายใต้การรักษาแบบนี้ไม่ได้หลับไป และคลื่นสมองก็มีลักษณะแตกต่างจากสภาวะหลับ นอกจากนี้โดยอาศัยการพิจารณาลักษณะคลื่นสมอง นักจิตวิทยาบางคน จะสามารถชักนำให้ผู้ถูกสะกดเข้าสู่ภาวะการรู้สึกตัวในระดับต่างๆกันได้ดีกว่าการสะกดจิตแบบเดิมๆ ซึ่งในสภาวะเช่นนี้ จะเหมือนกับสภาวะของการทำสมาธิของผู้ปฏิบัติธรรมแบบพุทธ หรือ เต๋า เราทราบกันดีว่า ภายใต้สภาวะการรวบรวมสมาธิ ผู้ถูกสะกดจะสามารถสัมผัสได้ถึงสมาธิระดับลึก ทำให้เขาสามารถรับรู้ประสบการณ์ในอดีตได้ ในขณะที่ยังมีสติระลึกรู้อยู่กับปัจจุบัน พวกเขายังสามารถจำอดีตชาติในหลายศตวรรษก่อน อย่างไรก็ดีเราอยากจะตั้งข้อสังเกตว่า PRL เป็นเรื่องที่มีการถกเถียงกันมากในหมู่นักวิชาการมีทั้งยอมรับ และคัดค้าน David Quigley กล่าวว่า สำหรับเรื่องนี้เขาพบข้อมูลจำนวนมหาศาล ในแวดวงของเขาและในงานทดลองวิจัยเรื่องนี้ ในเขตแดนความทรงจำของอดีตชาติ นี้มีพื้นฐานอยู่บนประวัติบุคคลและเหตุการณ์ ที่มีอยุ่จริงในประวัติศาสตร์ เขายังได้อ้างถึง งานสัมมนาวิจัยระหว่าง Helen Wambach , Marge Rieden และ Ian Stevenson( การศึกษา กรณีการระลึกชาติ 30 ราย ) เขากล่าวต่อไปว่า ผู้ซึ่งยังคงปฏิเสธเรื่อง นี้อาจคิดว่าตนเองคิดอย่างเป็นวิทยาศาสตร์กว่า แต่จริงๆแล้ว พวกเขากำลังติดกับดัก ของหลักการที่ไร้เหตุผล ซึ่งเทียบได้กับความเชื่อของเหล่านักปราชญ์ใน ศตวรรษที่ 16 ซึ่งยึดถืออย่างเหนียวแน่นในความเชื่อที่ว่า โลกเป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะจักรวาล Dr.Brian Weiss สำเร็จการศึกษาด้านจิตวิทยา จากมหาวิทยาลัย โคลัมเบีย และมหาวิทยาลัยเยล เป็นประธานของภาควิชาจิตเวชศาสตร์ ที่ศูนย์การแพทย์ Mount Sinai ในไมอามี่ ท่านเป็นนักวิจัยที่มีชื่อเสียงที่สุดในด้านการใช้เทคนิก PRL หลังจากที่ท่านจบการศึกษาที่เยล ก็ไปเป็นผู้บรรยายที่ มหาวิทยาลัย พิทสเบริก และมหาวิทยาลัยไมอามี่ เมี่อท่านอายุได้ 80 ปี ท่านได้ตีพิมพ์หนังสือวิชาการกว่า 40 เล่ม เดิมทีในฐานะที่เป็นนักวิชาการจากระบบการศึกษาแบบเก่า ท่านไม่ได้สนใจเกี่ยวกับ Parapsychology ( จิตวิทยาเปรียบเทียบ ) ท่านไม่มีความรู้และความสนใจแม้แต่น้อย ในเรื่องการกลับชาติมาเกิด แต่หนังสือเล่มหนึ่งของท่าน ชื่อ Many Lives , Many Masters สามารถขายได้ 2 ล้านเล่ม และได้รับการแปลเป็นภาษาต่างๆกว่า 20 ภาษา บทคัดย่อของหนังสือเล่มมีความว่า “ จิตเวชศาสตร์และอภิปรัชญา กลืนกลายเข้าด้วยกันใน.........ผู้ที่ครั้งหนึ่ง เคยยึดมั่นอย่างเหนียวแน่นใน วิธีการทางคลินิกด้านจิตเวชศาสตร์ จะพบว่าตนเองลังเลที่จะยอมรับการรักษาแบบย้อนอดีตชาติ พลันเมื่อผู้ที่ถูกเขาสะกดจิต ได้เปิดเผยเรื่องราวในอดีตชาติของเขาออกมา Dr.Weiss บรรยายในหนังสือ Many Lives, Many Masters เกี่ยวกับประวัติของคนไข้คนหนึ่งของเขา คือ แคทเธอลีน อายุราว 30 ปีในขณะนั้น เธอเข้ามาพบเขาที่คลินิกด้วยอาการเฉียบพลัน จากการถูกความกลัวและความวิตกกังวล อย่างรุนแรง จู่โจม เขาได้ให้การรักษาทางจิตเวชแบบเดิมแก่เธอ นาน 1 ปี แต่ก็ไร้ผล เธอเป็นคนใจแคบและปฏิเสธการใช้ยาใดๆ แต่สุดท้ายก็ยอมรับการรักษาด้วยการสะกดจิต โดยไม่แน่ใจนัก ดร.ไวส์รู้สึกว่า สภาพจิตของแคทเธอลีนอาจจะเกี่ยวข้องกับ ความทรงจำที่เก็บกดไว้ตั้งแต่ช่วงวัยเด็กของเธอ เขาเชื่อว่าหากเธอสามารถฟื้นความจำเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอดีตได้ ภายใต้การสะกดจิต ปัญหาก็จะแก้ตกไปได้ แล้วเธอก็จะเป็นอิสระจากความทรงจำเหล่านั้น เธอจะต้องหายจากความเจ็บป่วยได้หมดแน่ แต่แม้เธอจะสามารถฟื้นความทรงจำที่ไม่ดีในวัยเด็กได้ เธอก็คงยังไม่หายป่วยอยู่ดี ดังนั้นดร.ไวส์จึงตัดสินใจให้เธอ ระลึกย้อนความทรงจำกลับไปอีก ในช่วงก่อนวัยเด็กของเธอ ในระหว่างช่วงของการรักษาครั้งหนึ่ง เมื่อแคทเธอลีนอยู่ในภาวะถูกสะกดจิต ดร.ไวส์พูดกับเธอว่า “ กลับไป ณ เวลาที่อาการของคุณเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก “ ดร.ไวส์มิได้คาดหวังว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป แคทเธอลีนพูดว่า “ ฉันมองเห็นขั้นบันไดสีขาว ทอดยาวขึ้นไปสู่อาคารที่มีเสามากมาย ด้านหน้าของมันกว้างขวางมาก แต่ไม่มีระเบียง ฉันใส่กระโปรงยาว และเสื้อคลุมยาว ที่ทำจากผ้าเนื้อหยาบ ผมสีบลอนด์ของฉันถักเป็นเปีย “ ดร.ไวส์ไม่อาจเข้าใจความหมายที่เกี่ยวข้องกัน ของเรื่องที่ได้ยินนี้ เขาจึงถามเธอว่า ตอนนั้นเป็นปีอะไร และเธอมีชื่อเรียกว่าอะไร เธอตอบว่า “ อารันด้า อายุ 18 ปี , ตอนนั้นเป็นปี 1863 ก่อนคริสตกาล พื้นดินกันดาร , ร้อน และทุกแห่งเต็มไปด้วยทราย มีบ่อน้ำอยู่บ่อหนึ่ง แต่ไม่มีแม่น้ำ น้ำไหลมาจากภูเขาลงมาสู่หุบเขา แคทเธอลีนได้ย้อนความทรงจำไปสู่ยุค 4000 ปีก่อนในตะวันออกกลาง ชื่อของเธอไม่ใช่แคทเธอลีน และรูปลักษณ์ของเธอก็แตกต่างไปจากปัจจุบัน รูปหน้า ร่างกาย ทรงผม และเสื้อผ้าก็ไม่เหมือนปัจจุบัน เธอสามารถจำภูมิประเทศที่เกี่ยวข้อง เสื้อผ้าและการแต่งตัว ตลอดจนรายละเอียดเกี่ยวกับชีวิตประจำวัน จนกระทั่งถึงช่วงที่พบกับความตาย จากการจมน้ำ ซึ่งลูกของเธอถูกดึงออกไปจากอ้อมกอดเธอ เธอจำได้กระทั่งว่าหลังจากตายแล้ว จิตของเธอก็ลอยออกมาอยู่เหนือร่างกายนั้น ในระหว่างการรักษาครั้งนี้เธอยังสามารถระลึกชาติอื่นได้อีก 2 ชาติ หนึ่งในสองชาตินั้นเธอเป็นโสเภณีในประเทศสเปน ยุคศตวรรษที่ 18 ส่วนอีกชาติหนึ่งเป็นหญิงชาวกรีกในช่วงก่อนคริสตกาล คำพูดเหล่านี้ทำให้ดร.ไวส์รู้สึกอึ้งไป เขารู้ดีว่าเธอไม่ได้มีอาการเหมือนพวกบุคลิกแปรปรวน หรือ แปลกแยก และเธอก็ไม่ได้รับยาอะไร เขาพบว่าในระหว่างถูกสะกดจิตเธอ คล้ายกับฝันไป แต่สิ่งที่มีนัยสำคัญที่สุดคือ สุขภาพของเธอดีขึ้น ซึ่งเขารู้ดีว่ามันไม่ใช่เป็นผล จากการเกิดภาพหลอน หรือ ความฝันอย่างแน่นอน ในระหว่างช่วงของการติดตามผลการรักษา แคทเธอลีนยังสามารถระลึกชาติได้อีก 10 ชาติ เธอได้ประสบกับเหตุการณ์ที่มีทั้งความกลัว และความสุข ที่มีผลควบคุมพฤติกรรมของเธอในปัจจุบันชาติ ทำให้เธอเริ่มยอมรับ ,เข้าใจ และสุดท้ายก็สามารถเอาชนะ สิ่งต่างๆเหล่านั้นที่คอยผลักดัน พฤติกรรมที่ไม่ดีของเธอ แล้วเธอก็สามารถเอาชนะความกลัว และได้พบกับความสงบภายใน ในระหว่างการถูกสะกดจิตเธอยังพบว่า ผู้คนที่เคยเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเธอเมื่ออดีตชาติ ยังเคยเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเธอในอีกหลายๆชาติ รวมทั้งในชาตินี้ด้วย ตัวอย่างเช่น ดร.ไวส์ เคยเป็นครูของเธอ , เป็นสามีของเธอ และเคยเป็นผู้ที่สังหารเธอในสงครามระหว่างชนเผ่า เมื่อครั้งที่เธอกลับชาติมาเกิดเป็นเด็กชายของชนเผ่าหนึ่ง สัมพันธภาพในช่วงชีวิตนี้ก็ไม่ใช่สัมพันธภาพที่ดีอีกเช่นกัน ตรงกับสิ่งที่อาจารย์หลี่ หง จื้อ กล่าวไว้ว่า” ผู้คนกลับชาติมาเกิด เป็นกลุ่มก้อน เพื่อชดใช้หนี้กรรม หรือร่วมทุกข์สุขกัน ทว่าแตกกันไปในบทบาทและช่วงวัย และก็ต่างกันกับในชาติก่อนๆด้วย “ สิ่งที่ดร.ไวส์ได้ยินได้ฟังจากแคทเธอลีน ในระหว่างการรักษาแบบ PRL นั้นยังมีเรื่องความลี้ลับของชีวิตมนุษย์ด้วย เช่น แคทเธอลีนจำได้ว่า ในขณะเมื่อพบกับความตาย จิตของเธอจะลอยออกมาอยู่เหนือร่างกายเธอเสมอ แล้วก็ถูกเรียกกลับไปสู่โลกของจิตวิญญาณ โดย “ แสงแห่งความเมตตา “ และในช่วงนี้เธอยังได้สัมผัสกับ “ ผู้ดูแล “ จิตวิญญาณหลายๆท่าน ซึ่งท่านเหล่านี้สามารถสื่อสารและส่งข่าวสารด้านจิตวิญญาณมายังดร.ไวส์ โดยผ่านแคทเธอลีน และในระหว่างที่อยู่ภายใต้การสะกดจิตนี้ แคทเธอลีน ได้เรียนรู้เข้าใจสี่งต่างๆมากยิ่งกว่าในช่วงชีวิตตามปกติของเธอเสียอีก ดร.ไวส์ เองก็ค่อยๆคลายความลังเลสงสัย ในความเชื่อเกี่ยวกับชีวิตในชาติก่อนตามไปด้วย ครั้งหนึ่งในช่วงPRL แคทเธอลีน จำได้ถึงความตายในชาติหนึ่งของเธอ เมื่อหลายศตวรรษก่อน ในขณะที่จิตของเธอถูกนำไปสู่แสงสว่างแห่งความเมตตา ที่เธอคุ้นเคย นั้น เธอก็ได้รับข่าวสารหนึ่งเพื่อส่งต่อมายัง ดร.ไวส์ ดังมีความว่า “ บิดาของคุณกำลังอยู่ที่นี่ เช่นเดียวกับลูกชายของคุณ เขายังเด็กมาก บิดาคุณบอกว่าคุณน่าจะรู้จักเขา เพราะเขาชื่อ Avrom และลูกสาวคุณก็มีชื่อตามเขา ลูกชายคุณเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ หัวใจเขามีความสำคัญมากทีเดียว เพราะมันพลิกกลับเหมือนหัวใจไก่ เขาได้เสียสละแทนคุณอย่างมาก เพราะเขารักคุณ จิตของเขามาจากระดับชั้นสูงมาก ความตายของเขาเป็นการชดใช้หนี้แทนบิดาของเขา เขายังอยากให้คุณรู้ว่า ยารักษาโรคทั้งหลาย มีผลรักษาโรคได้เพียงระดับหนึ่งเท่านั้น ซึ่งก็จำกัดมาก “ ข้อความเหล่านี้ทำให้ดร.ไวส์ ตกตะลึงมาก เนื่องจากแคทเธอลีนเองไม่เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับตัวเขามาก่อนเลย รวมทั้งไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับครอบครัวของเขา เรื่องเศร้าที่สุดในชีวิตของเขาคือ ความตายเมื่อแรกเกิดของลูกชายคนแรกของเขา สภาพหัวใจของเขาอยู่ในภาวะอันตราย เพียงแค่ 10 วันแรกที่คลอดออกมา ซึ่งเป็นเรื่องที่พบได้เพียงหนึ่งใน 10 ล้านเท่านั้น เขาเสียชีวิตเมื่ออายุเพียง 23 วัน ส่วน บิดาของดร.ไวส์ เสียชีวิตด้วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน และท่านมีชื่อว่าAvrom ! หลังจากนั้นอีก 4 เดือนลูกสาวของดร.ไวส์ก็คลอดออกมา เธอมีชื่อว่า Amy ตามชื่อคุณปู่ที่ล่วงลับไป เนื่องจากแคทเธอลีน และดร.ไวส์ ไม่ใช่คนใกล้ชิดกันมาก่อน เธอจึงไม่มีทางรู้เรื่องราวเหล่านี้เลย ทว่าสิ่งที่เธอเล่าออกมานั้นทำให้ดร.ไวส์ถึงกับผงะ ดังนั้นเขาจึงถามเธอว่า “ ใครอยู่กับคุณที่นั่น ? ใครบอกเรื่องนี้กับคุณ ? “ เธอตอบเบาๆว่า “ ท่านผู้รู้แจ้งเหล่านั้น “ ท่านผู้รู้แจ้ง บอกให้ฉันฟัง พวกเขายังบอกว่าฉันเคยมาเกิดในโลกนี้ 86 ครั้งแล้ว การรักษาให้แคทเธอลีน และผลที่ได้รับ สร้างความประทับใจอย่างลึกซึ้งให้กับดร.ไวส์ ทำให้เขากลายมาเป็นผู้ที่เชี่อถือการรักษาแบบ PRL ดร.ไวส์และจิตแพทย์อื่นอีกหลายคนที่ให้การรักษาคนไข้ด้วยวิธีนี้ บ่อยครั้งที่ความกลัวและความเจ็บป่วย มิได้มาจากเหตุการณ์ในชาติก่อน ในการเตรียมการ และการชักนำคนไข้เข้าสู่กระบวนการPRL เพื่อย้อนสู่อดีตชาตินั้น จะมีผลกระทบด้านบวกต่ออาการโศกเศร้าของคนไข้ ดังนั้นคนไข้จึงสามารถเข้าใจแรงผลักดันที่อยู่เบื้องหลังรูปแบบพฤติกรรมของตน และสามารถแก้ไขได้อย่างสอดคล้องกัน จิตแพทย์เหล่านี้ยังพบว่า โดยการย้อนสู่อดีตชาติ และการได้รับประสบการณ์ซ้ำ ต่อความเจ็บปวด ณ เวลานั้นอีก ทำให้คนไข้สามารถปล่อยวาง ความเศร้าโศกและความแค้นเคืองที่สุมอยู่นานนับศตวรรษ ภาระอันหนักอึ้งที่จิตนั้นแบกอยู่ ก็ถูกปลดออก และไม่อาจส่งผลต่อชีวิตในปัจจุบันได้อีกต่อไป 4 ปีหลังจากการรักษาให้แคทเธอลีน ดร.ไวส์ก็มีความกล้าพอที่จะเสี่ยงต่อ การสูญเสียสถานภาพทางวิชาการของเขา โดยเขียนหนังสือเล่มแรกขึ้นมา เกี่ยวกับการกลับชาติมาเกิด นั้นบอกผู้คนให้รู้เรื่องความเป็นอมตะของจิตวิญญาณ ในช่วงหลายๆปีต่อมา ดร.ไวส์ได้ให้การรักษาคนไข้อีก หลายร้อยคนด้วยวิธีย้อนอดีต คนไข้หลายๆคนมาจากชนชั้นต่างๆกันในสังคม และมีภูมิหลังทางศาสนาที่ต่างกัน รวมทั้งพวกที่ไม่เชื่อในพระเจ้าด้วย ดร.ไวส์ตีพิมพ์หนังสือเล่มหนึ่งซึ่งเขาได้บรรยายรายละเอียดเกี่ยวกับคนไข้เหล่านี้จำนวนหนึ่ง นั่นคือหนังสือชื่อ “ Through Time into Healing “ (หรือ การหายป่วยโดยผ่านกาลเวลา ) ผู้จัดพิมพ์กล่าวว่า “ ดร.ไวส์เขียนหนังสือเล่มนี้บนพื้นฐานของประสบการณ์ทางคลีนิกอันกว้างขวางของเขา เขาได้อาศัยเวลาในการทดลองสำหรับการรักษาทางจิตเวช ซึ่งแสดงให้เห็นว่า การย้อนกาลเวลานั้น ได้ทำให้เกิดความก้าวหน้าที่สำคัญในการรักษา ใจ กาย และจิตวิญญาณ ในตอนท้ายของหนังสือนี้ ดร.ไวส์แสดงให้เห็นว่า ประสบการณ์ใกล้ตาย และการที่จิตออกจากร่าง ช่วยยืนยันการมีอยู่จริงของชีวิตในอดีตชาติ
"ระลึกชาติ"...ตายแล้วไม่สูญ
ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ "จิตวิญญาณ" กับการเวียนว่ายตายเกิดเป็นเรื่องที่สังคมในปัจจุบันส่วนใหญ่มีความเชื่อและยอมรับว่ามีจริง ในเรื่องดังกล่าวนี้ศาสตราจารย์ด็อกเตอร์เอียน สตีเวนลัน นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังผู้คนคว้าเกี่ยวกับเรื่องการตายแล้วเกิดหรือระลึกชาติได้ทำการค้นคว้าวิจัยและพิสูจน์มาแล้วทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย การระลึกชาติเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ง่ายนักกับคนทั่วไป เพราะการที่คนเราจะย้อนอดีตความทรงจำของตัวเองในอดีตชาติที่แล้วๆมานั้นทำได้ยาก เนื่องจากกลไกในการเก็บบันทึกข้อมูลของแต่ละคนมีขอบเขตจำกัด แต่ก็ไม่ได้เป็นกับทุกคนเพราะบ่อยครั้งที่พบว่ามีบางคนอาจจะทั้งเด็กและผู้ใหญ่มีความสามารถล่วงรู้อดีตของตนยาวไกลไปถึงอดีตชาติ ตามคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาเรียกผู้ที่มีความสามารถพิเศษในการระลึกชาติไว้ว่าเป็นผู้ที่มี "ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ" ซึ่งเป็นหนึ่งใน 6 อภิญญาญาณ ที่หากเกิดขึ้นกับผู้ใดผู้นั้นมักจะมีประสบการณ์พิเศษที่บุคคลทั่วไปไม่มี ยกเว้นผู้ที่ผ่านการฝึกสมาธิจนสามารถสงบนิ่งและดับนิวรณ์ทั้ง 5 ได้สนิท การทำวิจัยของ ศ.ดร.เอียน สตีเวนสัน พบว่ามีสิ่งหนึ่งที่พิเศษสำหรับผู้ระลึกชาติในประเทศไทยซึ่งแตกต่างไปจากประเทศอื่นในการทำวิจัยของ ศ.ดร.เอียน สตีเวนสัน ประสบการณ์ที่ท่านพบเห็นและสัมผัสกับผู้ที่ระลึกชาติได้ทั่วโลกนั้นมีสิ่งหนึ่งที่พิเศษสำหรับผู้ระลึกชาติในประเทศไทยซึ่งแตกต่างไปจากประเทศอื่น นั่นคือผู้ที่ระลึกชาติในเมืองไทยหลายคนจะจดจำช่วงเวลาตั้งแต่ตายไปแล้วจนถึงเวลามาเกิดใหม่ได้ว่าระยะนั้นได้ทำอะไรไปบ้าง ไปอยู่ที่ไหน ซึ่งกรณีนี้ยังไม่เคยพบประเทศอื่นอย่างอินเดีย ลังกา บราซิล ตุรกี พม่า เขมร อียิปต์ ฯลฯ ศ.ดร.เอียนสันนิษฐานว่าที่เป็นเช่นนี้อาจจะเป็นเพราะอิทธิพลของพระพุทธศาสนาที่คนไทยยึดมั่นอย่างแรงกล้าและมีการนั่งสมาธิวิปัสสนากันมากซึ่งอาจช่วยให้เกิดความทรงจำในอดีตได้มากกว่า
พ.ต.อ.ชติ ลัทธาพงศ์ เคยเกิดเป็นเทวดา
ผู้เขียนมีข้อมูลเกี่ยวกับผู้ระลึกชาติได้ในเมืองไทยอยู่หลายกรณี แต่จะนำมาเล่าในสองกรณี ท่านแรกนั้นเป็นพันตำรวจเอก ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว ส่วนอีกท่านหนึ่งมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ ซึ่งปัจจุบันท่านสอนหนังสืออยู่ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง ผู้ที่ระลึกชาติได้ท่านแรกมีความน่าสนใจตรงที่ท่านระลึกได้ว่าชาติที่แล้วเคยเกิดเป็นเทวดาและยังได้ทำการบันทึกประสบการณ์ระลึกชาติของท่านไว้เป็นหนังสืออนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพของตัวท่านเอง ท่านผู้นี้คือ พ.ต.อ.ชติ ลัทธาพงศ์ ผู้เขียนจึงขอนำบันทึกของท่านมาเผยแพร่เพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจในเรื่องของตายแล้วเกิดในรูปแบบต่างๆทั้งนี้เพื่อจะให้เกิดความเข้าใจในชีวิตได้ดียิ่งขึ้น และหมั่นสร้างบุญกุศลกันต่อไป พ.ต.อ.ชติ ลัทธาพงศ์ ท่านบันทึกไว้ว่า "ผม (คือ พ.ต.อ.ชติ ลัทธาพงศ์) ก็ระลึกชาติได้เหมือนกัน แต่แตกต่างจากคนอื่นที่เขาเป็นกัน คนอื่นเขาเคยเป็นช้าง เคยเป็นงูซึ่งอยู่บนพื้นโลกด้วยกันเขาจะบอกสถานที่ พ่อ แม่ พี่น้อง และชื่อเสียงในชาติก่อนได้แต่ผมบอกสถานที่เดิมในชาติก่อนได้บ้างไม่มาก จะชี้ให้ใครเห็นไม่ได้ เพราะไม่ใช่ที่มนุษย์อยู่กัน" พ.ต.อ.ชติ บอกว่าการระลึกชาติของท่านนั้นมันเป็นความรู้สึกชัดเจนในความทรงจำของท่านมาตั้งแต่เด็กๆไม่มีลืมเลย ท่านบอกสถานที่ในชาติก่อนที่จะเกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้ว่า "รู้สึกตัวว่านอนอยู่บนแท่นๆหนึ่งลอยอยู่บนที่สูงมาก แท่นที่นั่งนอนนั้นไม่ใช่แท่นหินหรือแท่นไม้ หากแต่เป็นท่านบางใสเป็นที่นอนสบาย ยังจำเหตุการณ์ในช่วงนั้นได้ว่าแท่นที่นอนอยู่เกิดแข็งกระด้างขึ้นมา ไม่อาจนอนนิ่งสบายอยู่ได้ รอบๆ ตัวที่จำได้มองเห็นเป็นท้องฟ้า สีคราม รู้สึกตัวลอยอยู่ผู้เดียวท่ามกลางความโดดเดี่ยวและอ้างว้าง รู้สึกเปล่าเปลี่ยวอยากมีเพื่อนสนทนาด้วย มองต่ำลงมาห่างออกไปอีกไม่มากมีชมรมเทพ ชมรมใหญ่กำลังสนุกสนานกันอยู่ อยากจะไปก็ไปไม่ได้ ขณะนั้นก็ได้ยินเสียงบอกแกมสั่งว่า ถึงเวลาไปเกิดเป็นมนุษย์แล้ว จึงตอบเจ้าของเสียงนั้นไปว่า "ข้าพเจ้าไม่อยากไปเกิดเป็นคน อยู่ที่นี่ดีกว่า" เสียงที่ไม่เห็นตัวบอกว่า "ต้องไป...หมดเวลาแล้ว ไปอยู่เมืองมนุษย์ถึงเวลาจะต้องกลับมาก็ไม่อยากจะกลับเสียอีก" พ.ต.อ.ชติในชาตินั้นค่อยๆเคลื่อนจากที่อยู่ลอยเลื่อนไปจนถึงที่อยู่ของเทพยดากลุ่มใหญ่ อากาศ ณ ที่นั้นสว่างไสว เทพยดาหญิงชายอยู่กันเป็นหมู่ 7-8 องค์บ้าง 2-3 องค์บ้าง วิมานคล้ายศาลาสวยงามมาก เทพยดาสนทนาปราศัยกันเป็นที่สนุกสนานเพลิดเพลิน บางวิมานมีการขับร้องดนตรีไพเราะ เทพยดาบางกลุ่มไม่มีวิมาน และเทพยดาเหล่านั้นก็ไม่สนใจ พ.ต.อ.ชติ เหมือนเขามองไม่เห็น พ.ต.อ.ชติในร่างเทพค่อยๆลอยเลื่อนไปๆจนรู้สึกเหมือนตกฮวบลงที่ต่ำมองไปรอบๆรู้สึกตัวกำลังลอยอยู่เหนือสะพานผ่านฟ้า ถนนราชดำเนินนี่เอง ลอยสูงกว่าพื้นประมาณตึก 2 ชั้น ลอยนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่ทราบว่าตัวเองจะลอยไปไหน ทันใดนั้นก็มีดวงกลมของจิตวิญญาณเคลื่อนมาจากทางป้อมพระกาฬลอยมาหยุดเคียงกับ พ.ต.อ.ชติ ดวงวิญญาณทั้งสองดวงมีลักษณะเป็นทรงกลมมีแสงเรืองออกไปโดยรอบ เมื่อมีวิญญาณใหม่มาลอยเคียงข้าง พ.ต.อ.ชาติในร่างของดวงวิญญาณก็รู้สึกดีใจหายว้าเหว่ ทั้งสองจึงลอยจากเหนือสะพานผ่านฟ้าคู่กันไปทางนางเลิ้ง ตามแนวถนนนครสวรรค์ ก่อนถึงสี่แยกนางเลิ้งเล็กน้อยมีลำคลองเล็กจากทางข้างวัดโสมนัสไปทะลุคลองข้างวัดสระเกศ ทางขวามือมีสะพานไม้เล็กพอที่ 2 คนจะหลีกกันได้ สะพานไม้เล็กๆนี้เลียบริมคลองไปมีบ้านริมสะพานห่างๆกันหลายหลัง วิญญาณดวงที่ลอยมาด้วยกันก็ลอยเลี้ยงหายแว้บไปทางสะพานนั้น วิญญาณ พ.ต.อ.ชติจะลอยตามไปบ้างก็ทำไม่ได้ ต้องค่อยๆลอยเลื่อนไปทางนาเลิ้งถึงตรงหน้าโรงหนังนาเลิ้ง (เฉลิมธานี) หยุดนิ่งอยู่ตรงนั้น วิญญาณ พ.ต.อ.ชติในชาติที่แล้วรู้ว่าถ้าเลยไปจะถึงสนามม้านางเลิ้ง เลี้ยวซ้ายจะเป็นที่น่าอยู่มากอยากจะไปอยู่แต่ก็ไปไม่ได้คงลอยนิ่งอยู่ที่เดิมก่อน แต่แล้วก็ต้องลอยเลี้ยวไปทางโรงหนังนางเลิ้งทั้งๆที่ไม่อยากไป หลังจากนั้นก็ไม่มีความรู้สึกอย่างใดอีกรู้สึกตัวอีกทีเหมือนอยู่ในถ้ำมืด (อยู่ในครรภ์มารดา) รู้สึกอึดอัดคับแคบ ขาดอากาศ ไม่สบาย บางช่วงก็หมดความรู้สึกเหมือนหลับไป มารู้ตัวชัดเจนอีกทีก็เมื่อคลอดพ้นจากครรภ์มารดามาเป็นมนุษย์สมบูรณ์แบบ เป็นบุตรชายของขุนนางที่มีนามบรรดาศักดิ์พระราชทานจากในหลวงว่าอำมาตย์ตรีพระลัทธาพงศ์พิรัชพากย์ (ต่วย ลัทธาพงศ์) ประสบการณ์ระลึกชาติของ พ.ต.อ.ชติ ทำให้เรามองเห็นความไม่แน่นอนของทุกสรรพสิ่ง ความเป็นเทพยดาอยู่บนสวรรค์นั้นไม่ใช่สิ่งคงที่ ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับผลบุญของการทำความดี เพราะหากว่าสิ้นแรงบุญเทวดาก็ต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก แต่ถึงอย่างไรการระลึกชาติได้ของ พ.ต.อ.ชติก็อาจจะทำให้ใครหลายๆคนเกิดความเข้าใจในกฎแห่งกรรมได้แจ่มชัดขึ้นว่า คนเราตายแล้วไม่สูญ ตายแล้วหากว่ายังไม่สิ้นกิเลสก็ต้องกลับมาเกิดใหม่อีกแน่นอน การระลึกชาติตามบันทึกของ พ.ต.อ.ชติ ลัทธาพงศ์ ที่ผู้เขียนนำมาเล่าให้ผู้อ่านได้ติดตามกันในตอนที่แล้วถือเป็นหนทางหนึ่งที่พิสูจน์ให้เห็นในเรื่องของการเวียนว่ายตายเกิด แม้เราเองจะระลึกชาติไม่ได้ แต่ประสบการณ์จากผู้อื่นก็คือเป็นวิทยาทานให้เราได้ศึกษาเพื่อที่ต่อไปเราจะไม่ประมาท ต้องระวังตัวต่อการทำบาป เพียรสร้างความดีให้มากที่สุด เพราะเราไม่อาจรู้ได้เลยว่าเมื่อเราจากโลกนี้ไปแล้ว "บ้าน" ของเราในภพหน้าจะเป็นอย่างไร...
ผศ.วิวัฒน์ชัย กุลมาตย์ ผู้ที่มีความทรงจำอดีตติดยังมีอีกท่านหนึ่งซึ่งไม่เคยฝึกสมาธิแต่ยังมีความทรงจำครั้งอดีตติดตัวมาท่านคือ ผศ.วิวัฒน์ชัย กุลมาตย์ อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยรามคำแหง โดยท่านจำได้ว่าชาติที่แล้วเคยเกิดเป็นผู้หญิง จำได้แม้กระทั่งภาวะใกล้จะสิ้นลม ภาพเหตุการณ์หลังจากเสียชีวิตแล้ว ไปอยู่ ณ สถานที่ใดและก่อนจะมาเกิดใหม่มีความรู้สึกอย่างไร อาจารย์วิวัฒน์ชัยได้เริ่มต้นเล่าให้ฟังว่า มีประสบการณ์ที่จำได้บางส่วนอย่างหนึ่งซึ่งอาจารย์เรียกว่า "ระลึกชาติ" ความทรงจำนี้เริ่มขึ้นเมื่อวัยเด็ก และเมื่อเพียรเล่าให้คนรอบตัวฟังก็มักจะถูกดุ ถูกห้ามไม่ให้พูดเสมอ
ยาเม็ดลืมชาติ
(เรื่องเล่าของผู้ที่มีประสบการณ์)
"ผมเกิดที่กรุงเทพฯ ตรงวัดตรีทศเทพ เมื่อเด็กๆพอเล่าเรื่องนี้ทีไรแม่จะตีเรื่อย ผมก็เล่าอยู่ไม่รู้กี่ครั้งจนแม่สั่งห้าม คือผมมีความรู้สึกว่าผมเคยเห็นแม่ผมกับเพื่อนเขา 3-4 คนเนี่ยไปเดินอยู่ในวัดซึ่งตอนหลังผมมารู้ว่าที่นั่นคือวัดตรีทศเทพ เขากำลังเผาศพผมอยู่และสมัยนั้นวัดที่ผมตายไม่มีเตาเผาศพ เขาเอาไม้ฟืนมากองเป็นชั้นๆผมจำได้ว่ามีพระนุ่งผ้าสบงใช้เหล็กเขี่ยศพผมพลิกกลับไปกลับมาผมก็ยืนดูอยู่เสร็จแล้วก็เห็นแม่กับเพื่อนเขาหาทางออกไม่ได้ เพราะที่วัดตรีทศเทพมันจะมีนายป้าช้าคนหนึ่งเป็นหัวหน้าใหญ่เขาปิดทางไม่ให้ออกแม่แกก็เดินวนไปวนมา ตอนหลังจึงไปถามพระ" ท่าทางออกอยู่ตรงไหน "พระท่านก็ว่า" โอ๊ย...ไอ้ผีพวกนี้คอยปิดทางอีกแล้วหรือ "แล้วตอนหลังแกก็ออกไปได้" "พอหลังจากนั้นผมไม่รู้ว่ามันเป็นเวลานานเท่าไหร่ ก็มีเสียงบอกว่า "เอ้า...ถึงเวลาไปเกิดกันแล้ว" เขาก็เรียกไปเข้าแถว ผมอยู่แถวสุดท้ายที่มีชัก 5-6 คนได้มั้ง แล้วเขาก็ให้ดินเม็ดกลมๆเขาบอกว่าก่อนจะเกิดให้กินเม็ดลืมชาติก่อน มันเป็นเม็ดกลมๆแต่ผมกินไม่หมด กินแค่ครึ่งเม็ดแล้วทิ้ง เพราะไม่อยากกิน อยากจะจำได้ พอกินเข้าไปรู้สึกชานะ แบบหมุนวิ้วๆๆเหมือนดิ่งไปไหนก็ไม่รู้ ซักพักหนึ่งไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ จู่ๆก็ลืมตาเห็นแสงสว่าง จะพูดก็พูดไม่ได้ จะทำอะไรก็ทำไม่ได้ อึดอัดมาก ผมร้องอย่างเดียว แว๊ดๆๆคือตอนนั้นมาเกิดแล้ว" ผมตายกับช่วงเวลาที่มาเกิดใหม่น่าจะห่างกันประมาณ 8 ปี อาจารย์วัฒน์ชัยเล่าให้เราฟังว่าเรื่องประหลาดที่ยังจำได้ก็คือเมื่อครั้งยังเป็นทารกอาจารย์มักจะเห็นแสงไฟเป็นดวงวาบๆซึ่งคนโบราณเขาเรียกว่าแม่ซื้อ หรือเทพที่ติดตามคุ้มครองเด็ก ซึ่งอาจารย์เชื่อว่ามีจริง ส่วนเหตุการณ์ในอดีตชาติที่ยังจำไม่เคยลืมคือ "ภาวะใกล้ตาย" และ "ชีวิตหลังความตาย" ซึ่งอาจารย์ได้เล่าให้ฟังอย่างน่าสนใจว่า... "ผมแน่ใจว่าก่อนจะตายในชาติที่แล้วผมเป็นผู้หญิงแก่ แต่ก็ไม่รู้ว่าผมเป็นใครเพราะผมกินเม็ดลืมชาติน่ะ แต่ยังจำหน้าตาตัวเองในชาติที่แล้วได้ว่าไว้ผมทรงดอกกระทุ่มตายราวๆอายุ 70 กว่า และช่วงก่อนตายผมนอนอยู่บนเตียงไม้ธรรมดาๆแล้วมีคนมานั่งเฝ้ากันเยอะเลย เขาบอกว่าผมทำบุญไว้เยอะคงจะได้สมความปรารถนาซึ่งผมก็อธิษฐานว่าเกิดชาติหน้าผมอยากจะเป็นผู้ชาย เพราะชาตินี้เป็นผู้หญิงไม่ได้บวช ชาติหน้าขอเป็นผู้ชายขอให้ได้บวช อีกอันหนึ่งที่ผมจำได้แม่นคือ มีคนกระซิบข้างหูก่อนที่จะตาย บอกให้สวดพุทโธๆผมก็สวดไปเรื่อยๆพอถึงจุดๆนึ่งก่อนจะหมดลมความรู้สึกมันจะค่อยๆเย็นยะเยือกจากเท้าขึ้นมาเรื่อยๆถึงตรงหน้าขาก็ไม่อยากสวดอีก ผมเลยหลับตา ได้ยินเสียงพระองค์หนึ่งพูดว่าปัฐธาตุจะหมดแล้ว ตอนนั้นมันหลุดไปเลย ดิ่งลงลิบไปเลย จิตวิญญาณหลุดไปแล้ว" คนสมัยก่อนหรือแม้กระทั่งปัจจุบันนิยมบอกหนทางให้กับคนใกล้ตาย อาจเป็นคำบริกรรมว่า "พุทโธ" ให้นึกถึงพระหรือบุญกุศล ความดีงามทั้งปวงที่เคยสร้าง ทั้งนี้ก็เพื่อหวังจะให้ไปเกิดในที่ที่ดี แต่สำหรับคนใกล้ตายที่ไฟธาตุแตกแล้วทวารก็จะเปิดหมด ฉะนั้นประสาทสัมผัสทุกส่วนก็จะไม่รับรู้ ดังนั้นเมื่อให้หนทางคำบริกรรมอะไรแก่คนจะตายเขาก็ไม่อาจรับรู้ได้ เมื่อชีวิตดับลงภาวะหลังความตายจะเป็นเช่นไร ประสบการณ์ของผู้ที่เคยสัมผัสและจำได้จากการระลึกชาติหรือตายแล้วพื้นมักเล่าไม่ตรงกัน บางคนก็ไปพบกับสถานที่สวยงามน่าอยู่ แต่บางคนก็พบกับสภาพแร้นแค้นตกระกำลำบากยิ่งกว่าเมื่ออยู่ในเมืองมนุษย์ สำหรับอาจารย์วิวัฒน์ชัยนั้นท่านเล่าถึงสังคมของโอปปาติกะที่ท่านผ่านพบมาในชีวิตหลังความตายว่า... "ขณะที่วิญญาณผมออกจากร่างผมเห็นร่างตัวเองลอยขึ้นๆเป็นร่างเราที่ไม่โปร่งแสง ตอนนั้นไม่กลัวเพราะผมรู้ว่าคนเราต้องตาย แล้วพอมารู้ตัวอีกทีผมก็อยู่ที่วัดๆหนึ่งเห็นตัวเองนอนอยู่ในโลงก็รู้ว่าผมตายแล้วแน่นอน เห็นเพื่อนฝูงมามากมาย ยังจำได้เลยว่าสมัยก่อนงานศพเขาจะนุ่งโจงกระเบนสีดำ เสื้อสีขาว รองเท้าไม่ใส่ แล้วพอเข้าไปทักใครก็ไม่มีใครพูดด้วย โลงศพเขาก็ตั้งไว้ธรรมดามีสายสิญจน์ผูกแล้วก็มีถ้วยเครื่องเซ่น แต่ระหว่างที่อยู่ในโลงนั้นผมกินอะไรไม่ได้เลย รู้ว่าเขาเคาะโลงให้กินแต่ผมกินไม่ได้ เคาะไปก็ไม่มีผลอะไรแต่ผมเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง ที่ๆผมอยู่มีวิญญาณซัก 10 ตนนะ แต่มีคนหนึ่งเรียกว่า "นายป่าช้า" หน้าตาก็เหมือนเรานี่แหละแต่เป็นคนคอยควบคุมวิญญาณด้วยกัน" "ผมเชื่อเรื่องนี้มากเพราะมีจริง อีกเหตุการณ์นึงตอนที่แม่ผมท้องอยู่ อาเขามาขอพระ ผมก็ดูอยู่เห็นแม่เขาให้พระอาไปเป็นพระวัดพลับ พิมพ์เสมาวันทา พอผมถามแม่ แม่ก็ว่าทำไมแกรู้ล่ะ แกยังอยู่ในท้องยังไม่เกิดเลย ผมก็งงไม่รู้ว่าอยู่ในท้องทำไมเรามองเห็นหรือวิญญาณเราจะอยู่ข้างนอก ไม่ได้อยู่ในท้องด้วย วิญญาณคงตามตัวเราตลอด แล้วแม่ผมเขาสันนิษฐานว่าผมเนี่ยคือคุณยายเจิมที่อยู่แถวๆวัดตรีทศเทพ แกเป็นคนชอบทำบุญสุนทาน สร้างวัดเยอะและไม่มีครอบครัว แม่เขาสนิทกับคุณยายคนนี้แต่เขาไม่ได้เป็นญาติอะไรกับทางแม่ผมนะแม่เขาเล่าว่าคุณยายเจิมเนี่ยเวลาตายแกท่อง "พุทโธ" คนแถวบ้านมาเล่าให้แม่ฟัง ตอนตายแม่ไม่ได้ไปด้วย แม่ไม่เห็น ผมก็เคยไปสืบหาบ้านคุณยายเจิมนะแต่เขารื้อไปหมดแล้ว แกไม่มีลูกมีหลาน ทรัพย์สมบัติแกยกให้วัดหมด และคิดว่าระยะเวลาที่ผมตายกับช่วงเวลาที่มาเกิดใหม่น่าจะห่างกันประมาณ 8 ปี" ในภาวะหลังความตายท่อาจารย์วิวัฒน์ชัยได้สัมผัสมาด้วยตัวเองนั้นท่านยังไม่แน่ใจว่าสถานที่ที่ไปอยู่คือสวรรค์หรือนรก หรืออาจจะไม่ใช่ทั้งสองอย่าง แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นประโยชน์จากความทรงจำดังกล่าว อาจารย์บอกกับเราว่า "ประสบการณ์อย่างนี้ทำให้ผมเชื่อในเรื่องเวียนว่ายตายเกิด ผมถึงไม่กลัวตายผมรู้ว่าเวลาตายไปแล้วเนี่ยเราจะได้มีโอกาสเกิดใหม่ แต่สิ่งที่ยังไม่รู้ก็คือผมยังไม่เห็นผลของกฎแห่งกรรม เพราะผมว่าผมยังไม่ได้ไปลงนรกหรือขึ้นสวรรค์ แต่ผมก็มีความเชื่ออย่างนึงว่าถ้าคนกลัวการทำบาปและทำความดี ทำบุญไว้มากๆจิตจะสงบ เมื่อจิตเรานิ่งมันจะทำให้เรามั่นคง ปัญญาก็จะเกิดแล้วทุกอย่างก็จะดีเอง"
วิญญาณอาฆาตข้ามภพข้ามชาติ
วิญญาณอาฆาตข้ามภพข้ามชาติ
โดย พ. สุธา
จากหนังสือ “ตายแล้วไปไหน” เล่มที่ ๔๑
ทุกสิ่งที่ลี้ลับเกิดขึ้นได้อย่างไม่มีเหตุผลที่จะพิสูจน์ได้ ยังมีอยู่ในโลกอีกมากมาย เรื่องราวลี้ลับมหัศจรรย์ในโลกมนุษย์ มีมากมายยิ่งนัก ยากที่จะหยิบยกมาให้ผู้อ่านได้อ่านทั้งหมด แต่ก็เพียงเสี้ยวหนึ่งของบางเหตุการณ์ มาเปิดเผยสู่สายตาของท่านผู้อ่านทั้งหลาย ซึ่ง คุณ ท.เลียงพิบูลย์ ผู้ลาจากโลกนี้ไปแล้ว ได้เหลือเพียงแค่ผลงาน และคุณความดีที่มีเจตนาจะให้ผู้อ่านละชั่ว ทำดี ดังเรื่องราวที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ เมื่อก่อนทุกครั้งที่ข้าพเจ้า (หมายถึง คุณ ท.เลียงพิบูลย์) ได้เรื่องเกี่ยวกับวิญญาณหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์อภินิหาร จะเป็นด้วยมีผู้มาเล่าให้ฟังก็ดี หรือเป็นจดหมายฉบับบันทึกส่งมาก็ดี ข้าพเจ้าต้องใช้ความคิดอย่างหนัก เพื่อพิจารณาว่าควรจะเขียนขึ้นหรือไม่ เมื่อเขียนขึ้นแล้ว ผู้อ่านจะมีความรู้สึกอย่างไร บางท่านอาจพูดไปในทางอกุศล แม้ข้าพเจ้าเอง รู้อย่างเต็มอกว่า ทุกสิ่งที่ลี้ลับเกิดขึ้นได้อย่างไม่มีเหตุผลที่จะพิสูจน์ได้ ยังมีอยู่ในโลกอีกมากมาย บางเรื่องยังมีผู้เล่าให้ข้าพเจ้าฟัง แล้วย้ำว่า ท่านได้ประสบด้วยตนเอง เมื่อได้ฟังจบแล้ว ข้าพเจ้าต้องใช้ความคิด แล้วตอบท่านได้อย่างเต็มปากว่า “เรื่องนี้สำหรับผมเชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัย แต่เรื่องเช่นนี้ต้องรอเอาไว้ก่อน ยังไม่ถึงเวลา แม้ในปัจจุบันนี้ วิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้าในทางวัตถุ แต่ก็ยังเข้าไม่ถึงสิ่งลี้ลับที่เกิดขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล ในยุคนี้ เป็นยุคที่วิทยาศาสตร์เจริญ ฉะนั้น มนุษย์เราจึงมุ่งหน้าหันไปเอาใจใส่ ตื่นเต้นหลงใหลในความเจริญทางวัตถุใหม่ ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด นโลกนี้ยังมีอะไรที่เรายังไม่รู้อีกมากมาย เพื่อจะชี้ให้เห็น “กรรม” ของมนุษย์ที่ได้สร้างขึ้น คนส่วนมากพากันคิดว่า ทุกอยางต้องมีเหตุผล โลกเราอยู่ด้วยเหตุผล และไม่เชื่อว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นลอย ๆ อย่างพิสูจน์ไม่ได้ แต่ข้าพเจ้ายังเชื่อแน่ว่า วันหนึ่งข้างหน้าคงจะมีผู้หันมาสนใจในเรื่องวิญญาณและสิ่งลี้ลับอภินิหารหรือตายแล้วเกิด เมื่อนั้นแหละ สิ่งลี้ลับอย่างนี้ คงจะค่อย ๆ คลี่คลายเผยความจริงออกมา แต่เวลานั้น เห็นจะเป็นอนาคตอันใกล้นี้” เรามาพิจารณาสิ่งลี้ลับมหัศจรรย์กันดูว่า ในโลกนี้ยังมีอะไรที่เรายังไม่รู้อีกมากมาย เพื่อจะชี้ให้เห็น “กรรม” ของมนุษย์ที่ได้สร้างขึ้น ไม่ว่าจะยุคอดีตชาติ หรือในยุคปัจจุบัน ย่อมจะเกิดผลเมื่อได้ติดตามมาทัน และเพื่อจะชี้แจงให้เห็นว่า มนุษย์เมื่อตายแล้วเกิดนั้น เป็นสิ่งแน่นอน ไม่มีปัญหาอะไรเหลืออยู่ให้สงสัย เราต้องได้กลับมาเกิดอีกแน่เพื่อใช้กรรม เรื่องนี้ได้เกิดขึ้นก่อน พ.ศ.๒๕๐๐ เพียง ๓ ปี ในเตือนตุลาคม ใน จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นเมืองที่เกิดวรรณคดีที่มีชื่อ นับแต่โบราณตลอดมา เป็นที่รู้จักของคนไทยทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าเด็ก ผู้ใหญ่ คือเรื่อง “ขุนช้าง ขุนแผน”งานกฐินพระราชทาน ณ วัดป่าเลไลยก์วรมหาวิหาร ในครั้งนั้นมีกรมหนึ่งของกระทรวงที่ใหญ่โต ไม่แพ้กระทรวงทั้งหลาย ได้มีการทอดกฐินวัดหนึ่งในจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นกฐินพระราชทาน และทอดที่วัดที่มีชื่อเสียงในจังหวัดนั้น (เข้าใจว่า เป็นวัดป่าเลไลยก์วรมหาวิหาร พระอารามหลวงชั้นโท – อ.เล็ก พลูโต) งานกฐินพระราชทานครั้งนั้น มีข้าราชการทั้งหญิงและชายในกรมนั้น นับแต่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ตลอดจนชั้นผู้น้อย และยังมีชาวต่างประเทศที่สังกัดอยู่ในกระทรวงนี้ เดินทางไปร่วมทำบุญด้วย นับว่าเป็นงานกฐินครั้งใหญ่ที่เด่นในสุพรรณบุรีในปีนั้น การแสดงได้ดีเด่นในคืนนั้น ก็ได้แก่ การแสดงลิเก โดยเฉพาะนางเอกนั้นสวยมาก ก่อนวันทอดกฐินในคืนหนึ่ง ทางคณะกรรมการกฐินของกรมได้จัดงานการละเล่น ฉลององค์กฐิน ท่านรองอธิบดีให้ชื่อการแสดงว่า “ว.ส.ม. บันเทิง” เป็นการแสดงเบ็ดเตล็ดของข้าราชการหญิงชายร่วมกันสนุกสนาน มีประชาชนชาวบ้าน อุ้มลูกจูงหลานมาชมการแสดงมากมาย การแสดงที่นับว่าแสดงได้ดีเด่นในคืนนั้น ก็ได้แก่ การแสดงลิเก ซึ่งเป็นที่ยกย่องชมเชยว่า แสดงได้ดีมาก ท่ามกลางสายตาของข้าราชการในกรม และญาติมิตรชาวพระนคร ที่ได้เดินทางไปร่วมงานด้วย พร้อมทั้งชาวสุพรรณ ฯ เป็นจำนวนมากมาย พูดต่อ ๆ กันออกไปว่า ลิเกชุดนี้เขาเล่นดีจริง ๆ แสดงได้ถึงอกถึงใจ โดยเฉพาะนางเอกนั้นสวยมาก กิริยาวาจานิ่มนวลอ่อนหวาน ทั้งแสดงได้ดีเท่าหรือดีกว่าลิเกอาชีพบางคณะเสียอีก ทั้งที่เป็นลิเกบรรดาศักดิ์สมัครเล่น ร้องรำไม่เคอะเขิน ทางคณะกรรมการทอดกฐินได้ให้เกียรติแก่นางเอก โดยให้เป็นผู้อุ้มไตรครององค์กฐินเดินแห่รอบโบสถ์ ต่างก็วิจารณ์กันตามความรู้สึกของตน และชาวชนบทที่ชอบดูลิเกอยู่เสมอ เลยเป็นที่ถูกอกถูกใจของชาวเมือง กล่าวขวัญถึงแต่เรื่องลิเก ส่วนการแสดงเบ็ดเตล็ดอื่น ๆ แม้จะแสดงได้ดี ก็ไม่ค่อยสนใจกันมากนัก รุ่งขึ้นเป็นวันทอดกฐิน ทางคณะกรรมการทอดกฐินได้ให้เกียรติแก่นางเอก ที่มีผู้ยกย่องกล่าวขวัญถึงว่า แสดงเป็นนางเอกลิเกได้ดีเยี่ยม โดยให้เป็นผู้อุ้มไตรครององค์กฐินเดินแห่รอบโบสถ์ แต่เมื่อขบวนยังเดินไม่ครบ ๓ รอบ หญิงสาวผู้นั้นก็รู้สึกมึนศีรษะและวิงเวียน อ่อนเพลียคล้ายจะเป็นลมเพราะเหน็ดเหนื่อย จึงรีบมอบไตรครององค์กฐินให้ผู้อื่นอุ้มแทน เพื่อแห่รอบโบสถ์ต่อไปให้ครบ ๓ รอบ ตามระเบียบ ส่วนหญิงสาวผู้นั้นก็ออกมานั่งพักข้างนอก บริเวณใต้ต้นลำใยเพื่อพักให้หายความวิงเวียนคลื่นเหียน พวกเพื่อนที่ไปด้วยพากันคิดว่า อาจเป็นการกรำงานมากเกินไป ขาดการพักผ่อนนอนไม่พอ เพราะต้องแสดงเป็นตัวนางเอกลิเก และต้องนอนดึก เวลานอนน้อย จึงทำให้เหน็ดเหนื่อยง่ายเป็นธรรมดา มื่อหญิงสาวรู้สึกตัวฟื้นขึ้นมา กิริยาท่าทางก็เปลี่ยนแปลงจากสภาพเดิมเมื่อหญิงสาวเข้าไปพักผ่อนใต้ต้นลำใย ทันใดนั้นก็ร้องกรี๊ดดังลั่นสุดเสียง คล้ายกับตกใจกลัวอย่างหนัก และฟุบสลบลงที่ตรงนั้น พวกเพื่อนร่วมงานและที่ไปด้วยพากันตกใจ ต่างเข้าไปช่วยกันแก้ไขตามมีตามเกิด แต่แล้วเมื่อหญิงสาวรู้สึกตัวฟื้นขึ้นมา กิริยาท่าทางก็เปลี่ยนแปลงจากสภาพเดิม กลับแสดงกิริยาดุร้ายขึงขังทันที มีกำลังแรงเกินมนุษย์ธรรมดา ซึ่งผิดกับหญิงสาวเอวบางร่างน้อย ท่ามกลางผู้คนที่มาชุมนุมในงานมากมาย หญิงสาวได้แสดงกิริยาท่าทางอาละวาด มีข้าราชการชายเข้าไปช่วยจับ เพื่อให้อยู่ในความสงบ ไม่ให้แสดงกิริยาอาละวาด เพราะในเวลานั้น เป็นเวลางานบุญ แต่ก็ไม่สามารถจะทานแรงได้ ต้องช่วยกันจับหลายคนเพื่อให้อยู่ในอาการสงบ ไม่ให้ดิ้นรนแสดงกิริยาดุร้ายฮึดฮัด เพราะพิธีทอดกฐินยังไม่ได้เริ่มทอด และผู้คนต่างตกตะลึง หันมาสนใจกับหญิงสาวผู้นี้ ด้วยความแค้น เพราะความอาฆาตมาแต่ชาติปางก่อน ทันใดนั้นเอง เสียงห้าว ๆ ก็พูดออกจากปากของหญิงสาว เป็นเสียงคำรามอย่างน่ากลัวว่า “ข้าคอยเอ็งมานานตั้ง ๓๗ ปี แล้ว เพิ่งจะได้มีโอกาสวันนี้ ข้าจะได้แก้แค้นกินเลือดเอ็งให้ได้ ข้าแค้นใจนัก” และก็มีเสียงผู้หญิงพูดขึ้นในคนเดียวกันว่า “อย่าตามมาจองเวรจองกรรมเลย ไปสู่ที่ชอบเถิด” แล้วก็มีเสียงผู้ชายห้าว ๆ กัดฟันอย่างโกรธแค้น พร้อมกับพูดขึ้นว่า “เอ็งทำกับข้า เอ็งไม่คิดเลย ขาดความเมตตาสงสาร ทำให้ข้ายังไม่ได้ไปผุดไปเกิด เพราะยังไม่ได้แก้แค้น กินเลือดของเอ็ง” แล้วเสียงผู้หญิงก็พูดอย่างเสียงสั่นเพราะความกลัว พูดว่า “อย่าเอาชีวิตฉันเลย ฉันกลัวแล้ว อโหสิกรรมให้ฉันเถิด ฉันกลัวแล้ว” เสียงผู้หญิงอ้อนวอนสะอื้นไห้ต่อไปว่า “อโหสิกรรมให้ฉันเถิด ฉันกลัวแล้ว” เสียงผู้ชายพูดอย่างดุดันว่า “ไม่ได้ ข้าไม่ยอมอโหสิกรรมให้แก่เอ็งเป็นอันขาด ถึงเวลาของข้าแล้ว” ทันใดนั้น มีข้าราชการผู้ใหญ่หลายท่านได้เข้าไปพูดขอร้องกับวิญญาณที่แฝงในร่างของหญิงสาวว่า “เจ้าเป็นใคร ทำไมจึงมาแฝงร่างของผู้ที่กำลังจะสร้างบุญสร้างกุศล งานทอดกฐินครั้งนี้” สียงผู้ชายในร่างหญิงสาวก็พูดขึ้นว่า“ข้ามีความแค้น เพราะความอาฆาตผู้หญิงคนนี้มาแต่ชาติก่อน ผู้หญิงคนนี้ เมื่อชาติก่อน มันเกิดเป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์สินเงินทองไร่นาสาโทมากมาย เป็นคนมีอิทธิพลมาก ข้าทำผิดหนีมาถึงวัดนี้ แต่มันได้ให้คนติดตามมาตัดแขนของข้าทั้งสองข้างแค่ข้อศอก ทำให้ข้าแค้นใจ ก่อนข้าจะตาย จึงอธิษฐานว่า ข้าจะขอแก้แค้นดื่มเลิอดให้สมกับความแค้นให้จงได้” แต่แล้วเสียงผู้หญิงก็พูดขึ้นว่า “ไม่จริง ฉันไม่ได้สั่งไปฆ่าไปแกงตัดตีนตัดมือ ฉันสั่งให้ไปจับตัวพามา อย่าให้หนีไป เพราะแกเป็นบ่าว มีความผิด” เสียงวิญญาณนั้นหัวเราะก้อง แล้วคำรามออกมาอย่างน่ากลัวว่า “ถ้าเอ็งไม่สั่ง อ้ายพวกไพร่ขี้ข้ามันจะมาทำข้าถึงขนาดนี้เชียวหรือ ถึงกับตัดแขนทั้งสองข้าง เอ็งอย่ามาแก้ตัว ถึงอย่างไรเอ็งก็ไม่พ้นเงื้อมมือข้าไปได้ ถึงเอ็งจะสั่งหรือไม่สั่ง เอ็งเป็นนาย อ้ายพวกนั้นเป็นบ่าวและเป็นขี้ข้า เอ็งก็ต้องรับผิดชอบวันยังค่ำ บัดนี้เอ็งจนมุมแล้วซิ ถึงพยายามแก้ตัว อย่าหวังว่าจะมีใครมาช่วยเอ็งให้พ้นเงื้อมมือข้าได้” ผู้คนที่มางานต่างพากันมามุงดู ดแล้ววิญญาณก็หัวเราะอย่างแค้น ๆ แม้จะมีข้าราชการผู้ใหญ่ได้ร้องขอให้พักการแก้แค้นไว้ก่อน ขอเวลาให้หญิงสาวได้มีโอกาสสร้างความดี ทอดกฐินให้เสร็จเรียบร้อยเสียก่อน ค่อยมาเจรจาใหม่ วิญญาณขายผู้แรงด้วยความพยาบาทอาฆาตก็ไม่ยอม แม้จะพูดจาอย่างไรก็ไม่เกิดผล และไม่ยอมออกจากร่างหญิงสาวที่วิญญาณของตนแฝงอยู่ เสียงโจษจันจากหมู่ชาวบ้านที่มาอนุโมทนา และมาดูงานกฐินวันนั้นมากมาย ต่างก็โจษกันต่อ ๆ ไปว่า ผู้หญิงสวยที่แสดงเป็นนางเอกลิเกเล่นเก่งเมื่อคืนนี้ ได้ถูกผีเข้าเสียแล้ว เวลานี้อาละวาดอยู่ใต้ต้นลำใย พวกที่มาด้วยกันหมดปัญญา กำลังจะเที่ยหาคนที่มีวิชาหรือพวกหมอผีมาจัดการ พวกที่ขวัญอ่อนเมื่อได้ยินว่าผีเข้าก็กลัว ไม่กล้าเข้าใกล้ ถอยห่างออกไปเพราะเป็นคนกลัวผีอยู่แล้ว ส่วนพวกที่มีจิตใจเข้มแข็งกล้าหาญ ก็อยากรู้อยากเห็น และพวกที่ไม่เชื่อเรื่องผีสาง และคิดว่าผีไม่มีในโลก ก็ไปคอยจับผิดคิดว่าคงจะแกล้งทำ จึงเข้าไปมุงดูคอยซักถามร่างของหญิงสาว ต่างก็มีความเห็นแตกต่างกันเป้นธรรมดา เรื่องโจษขานนี้ได้ยินถึงท่านเจ้าอาวาส เรื่องโจษขานนี้ได้ยินถึงท่านเจ้าอาวาสซึ่งกำลังครองผ้า จะเข้าโบสถ์รับผ้ากฐิน ท่านจึงรีบตรงไปที่ใต้ต้นลำใยข้างโบสถ์ เมื่อท่านเดินลงมาจากกุฏิ ก็มีโยมมานมัสการท่าน และขอร้องให้ท่านช่วยปราบ ช่วยขับวิญญาณร้ายที่สิงในร่างของหญิงสาว ท่านสมภารหัวเราะ พลางพูดว่า “อาตมาเป็นสงฆ์ ไม่มีคาถาอาคมที่จะปราบผี ไล่ผี มีแต่ธรรมของพระพุทธเจ้า อาตมาจะลองขอร้องดู จะได้ผลเพียงไรก็ไม่แน่ใจ” เมื่อท่านเป็นผู้ทรงศีลขอบิณฑบาตยืดเวลาออกไป ผมก็จะให้ แต่ไม่อโหสิกรรม เมื่อท่านเดินมาใกล้ต้นลำใย พวกห้อมล้อมหญิงสาวที่ถูกวิญญาณแฝงร่าง เห็นท่านสมภารมาต่างก็ดีใจ พากันก้มลงนมัสการ แล้วต่างก็หลีกทางให้ท่านได้เข้าไปใกล้ พอที่จะโต้ตอบกับร่างของหญิงสาว สิ่งที่แปลก คือ ร่างที่วิญญาณเข้าแฝงนั้น ก้มลงกราบท่านสมภารด้วยความเคารพ แล้วถามว่า “ท่านเป็นขีบานาสงฆ์ จะมาจับผมถ่วงน้ำหรือ” ท่านสมภารยิ้มอย่างใจดีแล้วพูดว่า “อาตมาเป็นสาวกของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีจิตใจเหี้ยมโหดดุร้าย ที่จะไปเที่ยวจับวิญญาณใดถ่วงน้ำหรอก อาตมามีศีล ทำเช่นนั้นไม่ได้ มีแต่ความเมตตา อยากให้สัตว์โลกทั้งหลายอยู่ด้วยความสงบสุข” สียงวิญญาณในร่างหญิงสาวหัวเราะแล้วก็พูดอีกว่า ผมเคารพนับถือท่านหลวงพ่อ แต่จะให้ผมอโหสิกรรมผู้หญิงคนนี้ ผมยอมไม่ได้ ผมได้พยายามเฝ้ารอคอยมาช้านานแล้ว จะต้องขอดื่มเลือดของเขาให้ได้ จึงจะหายแค้น ขอหลวงพ่ออย่าได้มายุ่ง ขออะไรจากผมในเรื่องผู้หญิงคนนี้ไม่ได้เป็นอันขาด เพราะผู้หญิงคนนี้ ทำให้ผมแค้นพยาบาท เกินที่ผมจะอโหสิกรรมให้” เมื่อได้ยินวิญญาณในร่างสาวสวยพูดเช่นนั้น ท่านสมภารก็มิได้โกรธ พูดอย่างผู้มีเมตตาจิต มิได้ใช้อำนาจข่มขู่ แล้วพูดว่า “อาตมาเป็นสงฆ์ และปกครองวัดนี้ ก็อยากให้ทุกคนที่ตั้งใจมาทอดกฐินครั้งนี้อยู่เย็นเป็นสุข บัดนี้ ชาวพระนครเขาจะมาทอดกฐินที่วัดอาตมาปกครอง แต่เกิดวิญญาณอาละวาดอาฆาตจองเวรขึ้น ซึ่งเป็นเวลาทีกำลังมีผู้มาประชุมกันหนาแน่น เพื่อจะสร้างความดีเป็นมหากุศล อาตมาอยากจะขอร้องให้พักการอาฆาตไว้ชั่วคราวก่อน เพื่อให้สีกาผู้นี้ได้ทำบุญสร้างกุศลเสียก่อน ภายหลังจะตกลงกันอย่างไร ขอให้หลังงานกฐินเสร็จเรียบร้อย อาตมาขอเพียงแค่นี้ หวังว่าคงจะเห็นแก่อาตมาบ้าง อาตมาขอบิณฑบาตชั่วระยะที่ทอดกฐินให้เสร็จแล้ว ให้ชาวกรุงเทพ ฯ กลับเท่านั้น อาตมาขอบิณฑบาตแค่นี้” วิญญาณที่แฝงอยู่ในร่างของหญิงสาวนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ แล้วก็พูดเสียงห้าว ๆ ขึ้นว่า เมื่อท่านเป็นผู้ทรงศีลขอบิณฑบาตยืดเวลาออกไป ผมก็จะให้ แต่จะให้อโหสิกรรมนั้น ผมให้ไม่ได้ มันจะต้องจองเวรกันต่อไปอีกกี่ชาติผมก็ยอม เพราะผมมีความแค้นเกินที่จะนึกอะไรอีก แต่ถ้าหากท่านจะปฏิบัติตามที่ผมต้องการ โดยเอาเลือดผู้หญิงคนนี้ทาใบลำใยสามใบ แล้วเหน็บไว้ที่คบไม้บนต้นลำใยนี้” ท่านสมภารสงสัย จึงถามวิญญาณในร่างหญิงสาวว่า “ทำไม จะต้องให้อาตมาทำเช่นนั้นล่ะ ทางอื่นไม่มีหรือ อาตมาเป็นสงฆ์ เพียงแต่จะขอร้องให้ออกจากร่างของสีกาเท่านั้นก็ได้นี่นา” เสียงวิญญาณพูดว่า “ถ้าท่านไม่จัดการตามข้อเรียกร้องของผมก็จนใจ ผมก็ช่วยอะไรไม่ได้อีก” ท่านสมภาคนั่งนึกครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ถ้าการขอไม่เป็นอันตรายต่อสีกาผู้น่าสงสารนี้แล้ว อาตมาจะบอกเขาให้จัดการให้” เสียงวิญญาณพูดอย่างสบายใจว่า “ถ้าท่านให้เขาทำตามผมได้ ขอสัญญาว่าผมจะออกจากร่าง และขอบอกให้ทราบว่า หญิงผู้นี้ที่เหนือเข่าซ้าย จะมีปานขาวเป็นรูปหัวใจ ถ้าได้เอาเข็มแทงลงกลางใจปานขาวรูปหัวใจ แล้วเอาเลือดทาที่ใบลำใย ๓ ใบ ตามที่ผมต้องการ แล้วผมจะออก แต่ผมไม่ยอมอโหสิกรรมให้” วิญญาณที่แฝงอยู่ในร่างของหญิงสาวก็ออกไปตามสัญญา เมื่อได้ยินเสียงวิญญาณโต้ตอบกับท่านสมภารแล้ว รู้สึกวิญญาณที่ดุร้ายค่อยสงบลง และสุภาพมากขึ้น ไม่ดุดันเหมือนแรก ๆ ที่พูดโต้ตอบกับฆราวาส ทำให้ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นค่อยสบายใจขึ้น พวกข้าราชการผู้หญิงก็รีบจัดการตามที่วิญญาณต้องการ คือเลิกผ้าเหนือเข่าซ้าย ก็มองเห็นปานขาวอย่างที่ว่า และได้จัดการตามที่วิญญาณบอกทุกประการ วิญญาณที่แฝงอยู่ในร่างของหญิงสาวก็ออกไปตามสัญญา ทำให้หญิงสาว กลับฟื้นคืนความรู้สึกเป็นตัวของตัวเองอย่างเดิม และตัวเองรู้สึกว่า วิญญาณในชาติก่อนตามพยาบาท ก็ไม่มีความสบายใจ เมื่อเข้าไปในโบสถ์ถวายผ้าองค์กฐินร่วมกับเพื่อนข้าราชการที่มาพร้อมกัน ก็ตั้งจิตแน่วแน่เพื่ออธิษฐานอุทิศส่วนกุศลให้วิญญาณอาฆาตผู้นั้น เพื่อไถ่ความผิดในครั้งอดีตชาติ สมภาคให้ข้อคิดเตือนก่อนที่หญิงสาวผู้นั้นจะจากลากลับบ้าน เมื่อการทอดกฐินได้สุดสิ้นแล้ว พวกข้าราชการทั้งหลายก็กลับพระนครร่วมกัน ด้วยจิตใจเศร้าหมอง เพราะต่างก็สงสารหญิงสาวที่ตกอยู่ในอำนาจพยาบาทของวิญญาณชั่วร้าย ก่อนกลับ สมภาคให้ข้อคิดเตือนใจว่า “จงสร้างความดีเพื่อชนะความชั่ว จะได้สิ้นสุดการจองเวร” หญิงสาวมุ่งมั่นทำบุญให้ทานสร้างความดี เพื่อจะอุทิศส่วนกุศล กรวดน้ำไปให้ทุกครั้ง เมื่อสุภาพสตรีสาวสวยกลับมาถึงบ้านในพระนครเรียบร้อยแล้ว ก็รู้ตัวว่าวิญญาณอาฆาตได้ติดตามมาอยู่ในเขตบ้านตลอดเวลา บางครั้งเวลาดึกดื่นค่ำคืน จะได้ยินเสียงสุนัขพากันเห่าหอนอย่างโหยหวน เยือกเย็น น่าขนลุกขนพองอยู่เสมอมิได้เว้น บางครั้งพวกสุนัขก็พากันเห่าหอนเวลากลางวัน เป็นเสียงโหยหวนที่ชาวบ้านไม่อยากได้ยิน ภายในบ้าน เหมือนจะปกคลุมด้วยเมฆหมอกแห่งความลี้ลับ บางครั้งจะเห็นภาพชายแขนด้วนเดินอยู่ในบริเวณบ้าน ทำให้ผู้รู้เรื่องและเคยเห็นเมื่อครั้งทอดกฐินที่วัดในจังหวัดสุพรรณบุรี ต่างก็รู้สึกขนพองสยองเกล้า และหญิงสายแม้จะมีความหวาดกลัวเพียงใด แต่ก็ต้องพยายามทำตัวทำใจให้กล้า ชินต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว และก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงหลบหนีวิญญาณที่อาฆาตร้ายให้พ้นไปได้ แต่ก็พยายามทำบุญให้ทานสร้างความดี เพื่อจะอุทิศส่วนกุศล กรวดน้ำไปให้ทุกครั้ง เป็นทางเดียวที่จะให้วิญญาณคลายความพยาบาทลงได้ หญิงสาวคิดจะเอาความดี ชนะวิญญาณพยาบาทให้สุดสิ้นเวร สิ้นกรรม สุดสิ้นความพยาบาทต่อไป แม้ระยะหลังนี้วิญญาณอาฆาต จะมิได้แสดงกิริยาดุร้ายเหมือนเมื่อแรก ๆ ที่แฝงอยู่ในตนก็ดี แต่หญิงสาวรู้สึกว่ามีสิ่งลี้ลับเป็นเงาที่คอยติดตามตัวอยู่ตลอดเวลา ทำให้หวาดกลัวและทรมานทางประสาท และจิตใจคอยผวาอยู่เสมอ แต่ก็คิดว่าจะอยู่ที่ไหนก็คงไม่พ้นวิญญาณอาฆาตติดตามไปได้ นึกว่าจะเชิญผู้มีอาคมขลังมาขับไล่ หรือจับใส่หม้อถ่วงน้ำ ก็จะเป็นเวรกรรมต่อไปไม่สิ้นสุด หญิงสาวคิดจะเอาความดี ชนะวิญญาณพยาบาทให้สุดสิ้นเวร สิ้นกรรม สุดสิ้นความพยาบาทต่อไปคิดว่ามีทางเดียวเท่านั้นคือ สร้างบุญกุศล ทำความดีทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ เช่น ทำสังฆทาน บวชคนให้เป็นพระ สร้างกุศลอื่น ๆ และให้ทาน แล้วอุทิศกุศล และกรวดน้ำแผ่เมตตาไปให้ มิได้คิดโกรธแค้น ตอบแทนวิญญาณอาฆาตด้วยความมุ่งทำลาย แม้จะมีอาจารย์ผู้มีวิชาอาคมขลัง ขออาสาทำลายล้างวิญญาณอาฆาต หญิงสาวก็ไม่ยอมให้ทำ คิดว่า เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ดังที่ท่านสมภารเตือนไว้ ตั้งหน้าทำความดีชนะความชั่ว จงสร้างแต่กุศล เพื่อจะให้หลุดพ้นกรรมอันนี้ตลอดเวลา ชายหนุ่มที่ตามจองเวรได้มาบอกลา ต่อมาคืนหนึ่ง หญิงสาวได้ฝันเมื่อจวนรุ่งแจ้งฟ้าสางว่า ชายแขนด้วนได้เดินเข้ามาหาหญิงสาวซึ่งนอนอยู่บนเตียง แต่คราวนี้ชายแขนด้วน มิได้แสดงกิริยาดุร้ายเหมือนอย่างคราวที่เคยเห็นที่แล้ว ๆ มา แต่กลับแสดงกิริยายิ้มแย้มแจ่มใส เป็นกันเอง แล้วพูดว่า “เอาล่ะ คราวนี้ฉันเชื่อแล้วว่า เธอไม่ได้จงใจสั่งพวกบ่าวไพร่มาทำร้ายตัดแขนฉัน นับแต่ฉันได้กินเลือดจากใบลำใยแล้ว คำอธิษฐานจองร้ายฉันก็สุดสิ้นลง และทั้งเธอก็อดทนใจเย็น พยายามสร้างกุศลอุทิศให้ฉันมากมายแล้ว บัดนี้ แขนฉันได้ต่อติดอย่างเดิมแล้ว นับแต่วันนี้เป็นต้นไป เราสิ้นเวรหมดกรรมกันแล้ว ฉันขอขอบใจที่เธออดทนทำความดีชนะได้ ต่อไปนี้ขอให้เธอจงมีความสุข แขนฉันก็ติดต่อกันไปแล้ว ฉันจะมาขอลาเธอไปล่ะ เพื่อจะได้ไปผุดไปเกิดในโลกมนุษย์ต่อไป” ภายในบ้านเข้าสู่ความเป็นปกติสุขอีกครั้งหนึ่ง เมื่อวิญญาณพยาบาท ไป แต่แล้วหญิงสาวก็มองเห็นแขนทั้งสองข้างของชายผู้นั้น เกิดงอกขึ้นเป็นมือธรรมดาปกติอย่างน่าประหลาดอัศจรรย์ ทันใดนั้น ภาพชายผู้นั้นก็โปร่งแสงหายไปต่อหน้าทันที เมื่อหญิงสาวตื่นขึ้นแต่เช้า เป็นวันแรกที่มีจิตใจผ่องใสสดชื่นกว่าทุกวัน เพราะรู้แน่ใจว่า ได้หลุดพ้นจากวิญญาณพยาบาทของชายแขนด้วน เพราะได้อโหสิกรรม ไม่ก่อเวรจองกรรมกันต่อไป ภายในบ้านเข้าสู่ความเป็นปกติสุขอีกครั้งหนึ่ง เพราะไม่ต้องคอยหวาดกลัววิญญาณพยาบาท ซึ่งเป็นสิ่งลี้ลับมองไม่เห็นด้วยสายตามนุษย์อีกต่อไป นับแต่เริ่มสร้างความดีด้วยอำนาจกุศลกรรม และทานเป็นบารมี ที่หญิงสาวได้บำเพ็ญความดีตลอดมา ได้ทำให้ความแค้น ความพยาบาท ความอาฆาต ของวิญญาณชายแขนด้วน ได้ค่อยลดน้อยถอยและเบาบางลง ทุกครั้งที่หญิงสาวได้แผ่ส่วนกุศล และเมตตาจิตไปให้ด้วยอำนาจของความดี มีศีลธรรม แผ่ไปถึงวิญญาณอาฆาตทุกคืนทุกวัน ที่สุด ความดีก็ชนะความพยาบาทอาฆาต และก็จบลงด้วยการอโหสิกรรม เหตุการณ์ร้ายก็กลายเป็นดีด้วยกันทั้งสองฝ่าย