นิทาน
สมาชิกเลขที่5401 | 15 ก.พ. 53
1K views

เรื่องที่5
วันหนึ่งมีชายหญิงคู่หนึ่ง ทั้งคู่รักกันมาก ผู้ชายให้สัญญากับผู้หญิงว่า ..
ผมจะรักคุณตลอดไป ผู้หญิงจึงบอกกลับว่า ฉันเชื่อคุณ
และจะรักคุณอย่างที่รักฉันให้ดีที่สุด ทั้ง 2 คบกันไปชั่วในระยะเวลาหนึ่ง
ในระหว่างที่ 2 คนได้เดินจับมือกัน อยู่ในสวนสาธารณะนั้น ได้มี
นางฟ้าคนหนึ่ง ปรากฎกายลงมา พร้อมกับบอกว่า…..

“ท่านทั้ง 2 มีความรัก บริสุทธิ์ต่อกัน เราอยากจะให้ท่าน ได้เห็นอนาคตของท่านทั้ง 2?

ชาย หญิงคู่นั้น จับมือกันไว้แน่น และรู้สึกดีใจที่ความรักของเค้าและเธอ ถึงขนาดนางฟ้ามาให้พร นางฟ้าจึงพูดขึ้นว่า “ท่านจะดูอนาคตของท่านทั้ง 2 นับตั้งแต่นี้หรือไม่” ชายและหญิงคู่รักมองตากัน แล้วตอบพร้อมกันว่า “เราทั้ง 2 ไม่กลัวอนาคตเรามั่นใจในกันและกัน” นางฟ้าได้ยินดังนั้น จึง เสก ของออกมาเป็นซีดี 2 แผ่นให้ทั้งคู่ไปดูอนาคต …………………

ที่บ้านของหญิงสาว หญิงสาวค่อยๆควักแผ่นซีดีที่ได้จากนางฟ้า แล้วใส่ลงในเครื่องเล่นซีดี ในภาพ เห็น ในภาพแรกเธอและแฟนของเธอแต่งงานกัน เธอยิ้มแก้มปริ มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก ในภาพหลังๆ หญิงสาวได้เห็นว่า มีรูปของแฟนเธอคบชู้ …. เธอนั่งร้องไห้ เสียใจ ทันใดนั้น มีเสียงประตูเคาะขึ้นที่ห้องของเธอ เธอรีบปิดเครื่องวีซีดี และซับน้ำตา รีบไปเปิดประตู ปรากฎว่าเป็นแฟนของเธอเอง แฟนเธอยิ้ม แต่เธอโมโหจึงตบหน้าเค้าอย่างแรง และปิดประตูโดยที่ฝ่ายชาย งง ๆ เธอนอนร้องไห้ถึงอนาคตที่จะต้องเกิดเช่นในวีซีดีนั้น

หลังจากนั้น เธอพยายามหนีหน้าชายคนรักของเธอ โดยที่ผู้ชายก็ตามง้อยกใหญ่ โดยผู้ชายไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดอะไร เธอพยายามหาทางเลิกกับผู้ชาย จนสำเร็จ
จนวันหนึ่ง.. ได้มีเสียงเคาะประตู เธอเปิดประตู แต่ทันใดนั้น คนที่เคาะประตูก็หันหลังจนลับตาไปเสียแล้ว เธอจำได้ดีถึงแผ่นหลังของอดีตชายที่ตัวเองรัก เธอมองลงพื้นพบซีดีอีกแผ่นหนึ่งของที่นางฟ้าได้ให้ผู้ชาย….. เธอนำซีดีแผ่นนี้ไปเปิดอีกคั้ง พบภาพ ที่เหมือนกันคือ.. ภาพที่ทั้งคู่แต่งงานกันอย่างมีความสุขแต่ภาพหลังจากแต่งงานคือ ภาพที่เธอมีชู้กับผู้ชายคนใหม่ โดยมีแฟนของเธอร้องไห้อยู่ข้างๆ …….. เธอน้ำตาไหลและปิดวีดิโออย่างช้าๆ.. เธอค่อยๆเปิดจดหมาย ที่แนบมากับซีดีนี้อ่าน ข้อความเขียนว่า

“ผมไม่กลัวอนาคตเรามั่นใจในกันและกัน ขอบคุณแม้ผมจะเชื่อในคุณฝ่ายเดียวก็ตาม ลาก่อน”

คำว่า เชื่อใจ เท่านั้น ที่ทำให้ คนทั้ง 2 คน คบกันอย่างมีความสุข

แล้วคุณละเชื่อใจคนรักของคุณมากแค่ไหน ??



เรื่องที่6
เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ของเพื่อนที่เคยเจอมาแล้วเอามาเล่านะ
เพื่อนของเราชื่อโบว์ ตอนนั้นโบว์อายุประมาณ 11ขวบ อยู่ชั้น ป.5
ของ โรงเรียนแห่งหนึ่ง ย่านวัดดอน เมื่อก่อนตรงวัดดอน จะมีสลัม
เล็กๆที่อยู่กลางป่าช้า ทุกวันหลังจากที่แม่โบว์ออกไปทำงาน ตอนตี3
โบว์จะต้องออกมาพร้อมกับแม่ เพื่อที่จะเข้าโรงเรียนก่อนทุกคน แต่
โบว์ต้องไปนั่งอยู่กะยาม ที่แม่โบว์รู้จัก เพราะเด็กขนาดนั้นไคจะกล้า
อยู่คนเดียว ตอนนั้นเป็นเวลาตี 3 แล้ว " โบว์ ตื่นได้แล้ว ไปล้างหน้า"
เสียงแม่ของโบว์ปลุกโบว์ในขณะที่โบว์กำลังงัวเงีย "จ้า แม่กำลังไป"
พอทุกอย่างเรีบบร้อย แม่โบว์ต้องพาโบว์เดินผ่านสุสาน เพื่อจะมายัง
ถนนหน้าโรงเรียน ทุกวันโบว์กะแม่โบว์เดินผ่านทางนี้จนชิน จึงไม่ได้
คิดอะไรมาก แต่พวกเขาก้อไม่เคยไม่ดูถูกหลุมศพเหล่านั้น วันนี้ก้อ
เป็นตามปกติเช่นเคย "ตึ๊กๆๆ ตึ๊กๆ เสียงฝีเท้าทั้งคู่เดินมาในยามวิกาล
" โบว์มาเร็วๆๆลูก เดี๋ยวแม่ไปทำงานไม่ทัน" แล้วแม่ของโบว์ก้อจูงมือ
โบว์ข้ามถนนไปยังป้อมหน้าโรงเรียน " วันนี้ตื่นสายเหรอคับพี่ " ยาม
ถามแม่โบว์ตามอัธยาศัย " คะ เมื่อคืนนอนดึกไปหน่อย ฝากตัวเล็ก
เหมือนเดิมนะคะ" " แม่ไปละนะโบว์" หลังจากที่น้าฝน(ชื่อแม่โบว์)
เดินออกมาจากป้อมได้เพียงเล็กน้อย น้าฝนก้อรู้สึกแปลกๆ แต่ก้อ
ไม่ได้คิดอะไรมาก น้าฝนเดินข้ามถนนไปอีกฝั่งของโรงเรียนเพื่อที่
จะรอเรียกรถสามล้อ ไปทำงาน แน่นอนตอนนั้นเป็นเวลาตี3เกือบตี4
แล้ว " เอ๊ะ ทำไมวันนี้ไม่เห็นจะมีรถผ่านมาเลยน๊า" น้าบ่นด้วยความ
หลุดหงิด " ฮือๆๆ..ๆๆ" เสียงอะไรนั่น น้าฝนรีบหันไปดูที่ต้นเสียงทันที
แต่แล้วน้าฝนก้อต้องตกใจสุดขีด เมื่อเห็นผู้หญิงท้องคนนึง หันหลัง
ตรงหลุมศพใหญ่ๆ ที่ทุกคนเอาไว้เดินข้ามทุกวัน ตอนนี้น้าฝนทำอะ
ไรไม่ถูกแล้ว หน้าซีดมาก ปากก้ออยากจะร้องเรียกหา ยาม ซึ่งอยู่
ใกล้กันมาก แต่ความกลัวก้อทำให้พูดไม่ออก จนกระทั่ง กลั้นใจตะ
โกนออกมา " ยะ..ยะ.ยา" ไม่ทันที่น้าฝนจะเรียกยาม จู่ๆๆร่างของผู้
หญิงท้องคนนั้น ก้อหันควับมา พร้อมสแยะยิ้มให้น้าฝน หน้าอีกครึ่ง
นึงเต็มไปด้วยแผลเน่าเฟะ กลิ่นออกรุนแรง น้าฝนตาค้าง ปากสั่น
ทำตัวไม่ถูก และแล้วน้าฝนตั้งสติอีกทีได้รีบวิ่งโกยอ้าว ไปยังป้อม
ทันที "ยะ.ยาม.." น้าฝนหอบไม่หยุด ปากก้อเรียกยาม น้ำตาก้อไหล
" อ้าว พี่ ยังไม่ไปอีกเหรอคับ " ยามก้อถามน้าฝน " อ้าวพี่เป็นอะไร"
" ป่าวๆๆๆ ตกใจหนูนะ" เอ่อ..นี่ ช่วยมายืนรอรถเป็งเพื่อนพี่หน่อยสิ
" อ่า..ได้คับ แล้วน้องโบว์ละคับ มาถึงป้อมก้อนอนต่อเลย"
" ไม่เป็นไรคะ ยืนรอรถตรงนี้นี่แหละคะ แค่ยืนเป็นเพื่อนก้อพอ"
" คับพี่" ยามตอบน้าฝนไป และก้อมองน้าฝนอย่าง งงๆ
ผ่านไปสักพัก รถราก้อเริ่มมีผ่านมาแถวนั้น จนมีสามล้อผ่านมาน้าฝน
ก้อไปทำงานตามปกติ แต่น้าฝนก้อไม่ได้เล่าให้คนที่ทำงานฟัง(มารู้
ตอนทีหลัง)
" อืม..น้ายาม แม่ไปแล้วเหรอ" โบว์งัวเงียตื่นขึนมาพร้อมกับความงงๆ
"แล้วทำไมแม่มาเรียกรถ ฝั่งนี้ละน้ายาม" โบว์ถามด้วยความแปลกใจ
" น้าก้อไม่รู้เหมือนกัน"
กริ๊งๆๆๆ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
" ฮัลโหล สวัสดีคับ โรงเรียน-------คับ"
" อ่ อ..คับๆ.. ได้คับ รอสักครู่นะคับ"
" โบว์ นั่งเล่นตรงนี้แปบนะ น้าเข้าไปช่วยภารโรงยกของก่อน"
" นู๋ไปด้วย น้ายาม " "ไม่ต้องไป น้าไปแปบเดียว อย่าไปไหนละ"
" ก็ได้คะ " หลังจากที่น้ายามเดินไป โบว์เองก้อไม่รู้จะทำอะไร ก้อ
เอาหนังสือนิทานมาอ่านรอน้ายาม
เพล้ง~*!!!!
ต่อนะ..
เพล้ง~*!!!
เสียงเหมือนมีอะไรตก ดังมาจาก ข้างหลังป้อมยาม
" ฮืม เสียงอะไรอ่า " โบว์มองหาต้นเสียง
"เอ๊ะเสียงมาจากไหนเนี่ย" ด้วยความเป็นเด็กอยากรู้อยากเห็น โบว์ก็
เดินออกมานอกป้อม
เพล้ง~*!!!
เสียงเหมือนมีอะไรตกดังขึ้นอีกครั้ง
" เอ้ย! ตกใจหมด เสียงอะไรอ่า " โบว์เดินอ้อมมาทางข้างหลังป้อม
เดินดุ่มๆๆมองหา ว่าเมื่อกี้เสียงอะไรตก " ไหนน๊า เอ๊ะ! "
กล่องกระดาษ 1 กล่อง ข้างในบรรจุอะไรไม่รู้ แต่ฝากล่องเปิดออก
แถมรอบๆกล่องมีหม้ออยู่ 1ใบเหมือนกะหม้อที่เขาเอาไว้ใส่วิญญาณ
ในหนงเลยอะ แต่ฝาหม้อมันแตกออก " เอ๊ะ มะกี้เราได้ยินเสียง 2
ครั้งนี่น่า " ด้วยความสงสัย โบว์จึงเดินเข้าไปดู " แต่แล้วก้อไม่มีอะไร
เกิดขึ้น โบว์จึงหยิบหม้อใบนั้น เดินมาวางไว้ที่ป้อมยามและรอน้าม
" เอาวางไว้ตรงนี้และ " โบว์วางหม้อไว้ที่เคาน์เตอร์หน้าป้อมน้ายาม
ตอนนั้นเวลาประมาณ ตี 4 กว่าๆแล้ว บรรยากาศก้อเงียบกริบเหมือนเดิม " เอ๊ะ ทำไมน้ายามยังไม่มาอีกนะ หิวข้าวจัง"
กริ๊ง~!!!! เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
" ฮัลโหล " ....... ไม่มีไครพูดเลยนี่
" ฮัลโหลๆๆๆๆ " ทำไมไม่มีคนพูด แล้วโบว์ก้อวางสายไป
ไม่ทันที่โบว์จะนั่งลงอ่านนิทานต่อ
" กริ๊ง!!!!! " เสียงโทรศัพท์ดังขั้นครั้งที่ 2
" ไคโทรมาอีก ฮัลโหล น้ายามไม่อยู่คะ"
พึมพำ พึมพำ เสียงเหมือนทหารญี่ปุ่นกำลังคุยกัน โบว์งงมากแต่ก้อ
พูดกลับไป " จะคุยกับไคเหรอ " กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด
เสียงผู้หญิงหวีดร้องดังออกมาจากโทรศัพท์ โบว์ตกใจเลยปล่อยโทร
สับออกมาจากมือทันที โบว์ตกใจร้องไห้ แอบไปนั่งตรงมุมห้อง
" น้ายาม น้ายามมม!!!! " โบว์ตะโกนเรียกน้ายาม น้ายามซึ่งกำลังเดิน
มาพอดี ได้ยินเสียงโบว์ก้อตกใจ รีบวิ่งมาหาทันที
ต่อนะ น้ายามรีบวิ่งมาหาโบว์ทันที
" เปงอะไรโบว์ มีอะไร" น้ายามรีบถามด้วยความตกใจเสียงร้องไห้
" ฮือๆๆๆ มีใครไม่รู้โทรมาแล้วก้อ กรี๊ดใส่โบว์ " ตอนนี้โบว์สั่นไปทั้ง
ตัว
" ใครโทรมา ทำไมตรงโงอาหารไม่มีเสียงโทรศัพท์เลย "
" ปกติ มีคนโทรมา เสียงโทรศัพท์ทุกเครื่องจะดังนะ มะกี้นอนฝัน
ไปหรือเปล่า " น้ายามพูดเพื่อปลอบใจ
" นู๋ไม่รู้ มีคนโทรมาก้อบ่นพึมพำ ภาษาอะไรไม่รู้" นู๋กลัว
ไม่เป็นไร น้ายามมานี่แล้วนะ มาไปหาอะไรมากินกัน น้ายามพูด
ปลอบโบว์ไปได้สักพัก โบว์ก้อหายกลัว " น้ายาม หม้อใบนั้นนู๋เก็บมา
ได้หลังป้อม " โบว์ชี้ไปให้น้ายามดูแต่หม้อใบนั้นไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว
" ไหนเหรอน้องโบว์ ไหนหม้อ" อ่า..มะกี้โบว์เอามาวางไว้ตรงนั้นไง
หายไปไหนแล้ว " อ้อ! หม้อใบนั้นน้าเอาไปเก็บแล้ว" น้ายามตอบ
เพราะนึกว่าเรื่องที่เราพูด เป็นเรื่องตาฝาด " เอ๊ะ น้ายามวิ่งมาหานู๋เมื่อ
กี้จะเอาหม้อไปไว้ไหน " โบว์ถามด้วยความสงสัย น้าเอาไปไว้แล้ว
โบว์ตกใจเลยไม่ทันเห็นมั้ง " น้ายาม หิวข้าว " โบว์พูดตัดขึ้นมาด้วย
ความหิว " ออกไปซื้อโจ๊ก" ปะ ไปซื้อโจ๊กหน้าเซเว่น





เรื่องที่7
นานมาแล้ว มีต้นแอปเปิ้ลใหญ่อยู่ต้นนึง
และก็มีเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ คนนึง
ชอบเข้ามาอยู่ใกล้ๆและเล่นรอบๆต้นไม้นี้ทุกๆวัน
เขาปีนขึ้นไปบนยอดของต้นไม้ และก็กินผลแอปเปิ้ล

และก็นอนหลับไปภายใต้ร่มเงาของต้นแอปเปิ้ล
เขารักต้นไม้ และต้นไม้ก็รักเขา

เวลาผ่านไป เด็กน้อยโตขึ้น และเขาไม่มาวิ่งเล่นรอบๆต้นไม้ทุกวันอีกแล้ว

วันหนึ่ง เด็กน้อย กลับมาหาต้นไม้ เด็กน้อยดูเศร้า

"มาหาฉัน และมาเล่นกับฉันเหรอ" ต้นไม้ถาม
"ฉันไม่ใช่เด็กเล็กๆแล้วนะ ฉันไม่อยากเล่นรอบๆต้นไม้อีกแล้ว
ฉันต้องการของเล่น ฉันอยากได้เงินไปซื้อของเล่น" เด็กน้อยตอบ

"ฉันไม่มีเงินจะให้ ....เก็บลูกแอปเปิ้ลของฉันไปขายสิ
เพื่อเอาเงินไปซื้อของเล่น " ต้นไม้ตอบ

เด็กน้อยตื่นเต้นมาก เขาเก็บลูกแอปเปิ้ลไปหมด และจากไปอย่างมีความสุข
หลังจากเขาเก็บแอปเปิลไปหมดแล้ว เขาไม่กลับมาหาต้นไม้อีกเลย

ต้นไม้ดูเศร้า......
วันหนึ่ง เด็กน้อยกลับมา เขาดูโตขึ้น
ต้นไม้รู้สึกตื่นเต้นมาก

"มาหาฉัน และมาเล่นกับฉันเหรอ" ต้นไม้ถาม

"ฉันไม่มีเวลามาเล่นหรอก ฉันมีครอบครัวแล้ว
ฉันต้องทำงานเพื่อครอบครัวของฉันเอง
เราต้องการบ้าน ช่วยฉันได้ไหม"

"ฉันไม่มีบ้านจะให้ แต่... ตัดกิ่งก้านของฉันไปสิ ....เอาไปสร้างบ้าน"

ดังนั้นเด็กน้อยตัดกิ่งก้านทั้งหมดของต้นไม้ไป และจากไปอย่างมีความสุข
อีกครั้งที่ต้นไม้ถูกทิ้งให้เดียวดาย และเศร้า....

วันหนึ่งในฤดูร้อน เด็กน้อยกลับมา ต้นไม้ดีใจมาก

"มาหาฉัน และมาเล่นกับฉันเหรอ" ต้นไม้ถาม
"เปล่า ฉันรู้สึกผิดหวังกับชีวิต และเริ่มแก่ขึ้น
ฉันอยากแล่นเรือไปพักผ่อนไกลๆ ให้เรือฉันได้ไหม"

"ใช้ลำต้นของฉันได้ เอาไปสร้างเรือ เพื่อเธอจะได้เล่นเรือไปและมีความสุข"
ต้นไม้ตอบ

ดังนั้น เด็กน้อยตัดลำต้นของต้นไม้ไปสร้างเรือ
เขาล่องเรือไป และไม่เคยกลับมาอีกเลย

หลายปีผ่านไป ในที่สุดเด็กน้อยกลับมา
คราวนี้เขาดูแก่ลงไปมาก
"ฉันเสียใจ ฉันไม่เหลืออะไรจะให้อีกแล้ว
ไม่มีผลแอปเปิ้ลให้ ....ฉันไม่มีลำต้นให้ปีนอีกแล้ว"



"ฉันไม่มีฟันจะกินแล้ว
ฉันปีนไม่ไหว และฉันก็แก่แล้ว" เด็กน้อยตอบ

"ฉันไม่มีอะไรเหลือให้อีกแล้ว สิ่งเดียวที่เหลือ มีเพียงรากที่กำลังจะตาย"

"ตอนนี้ฉันไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว แค่อยากได้ที่พักพิง ฉันเหนื่อยมาหลายปีแล้ว"

"รากของต้นไม้แก่ๆ จะเป็นที่พักพิงของหนูได้
...... มาสิ นั่งลงข้างๆฉัน ...หลับให้สบาย....."

เด็กน้อยนั่งลงข้างๆ ต้นไม้ดีใจ ยิ้ม...และน้ำตาไหล........

นี่เป็นเรื่องสำหรับทุกๆคน ต้นไม้ในเรื่องคือพ่อแม่
เมื่อเราเป็นเด็กตัวเล็กๆ เรารักที่จะเล่นกับพ่อกับแม่...
เมื่อเราโตขึ้น เราทอดทิ้งพ่อ และแม่ และกลับมาหาท่าน
เมื่อเราต้องการบางสิ่งบางอย่าง หรือเมื่อเรามีปัญหา
ไม่ว่าอย่างไร...พ่อ และแม่ของเราก็จะอยู่และให้ทุกสิ่งอย่างที่ท่านทำได้
หวังเพียงเรามีความสุข

คุณอาจจะคิดว่า "เด็กน้อย" ในเรื่องโหดร้าย
แต่นั่นคือความจริงที่สะท้อนให้เห็นว่าพวกเราทำกับผู้มีพระคุณอย่างไร?

........ แล้วต้นไม้ของคุณล่ะ ....... เด็กน้อย .....???






เรื่องที่8
ณ เมืองเมืองหนึ่งในประเทศจีน
มีหมอดูกับลูกศิษย์คู่หนึ่ง คอยให้คำทำนายแก่ผู้คนที่เดินทางผ่านไปมา
วันหนึ่ง ชายสามคนกำลังจะไปสอบไล่แข่งขันที่เมืองหลวง จึงพากันไปหารือหมอดู
หมอดูไม่ยักตอบคำถามของผู้ใดเลย
แต่ใช้นิ้วมือนิ้วหนึ่งชูขึ้น หลังจากฟังคนทั้งสามบอกเล่าให้ฟัง



ผลสอบประกาศออกมา คนหนึ่งในสามคนนั้นสอบได้
ชื่อเสียงหมอดูผู้นั้นก็เป็นที่เลื่องลือขึ้นมา ลูกศิษย์หนุ่มจึงถามท่านหมอดูว่า

"ความลับในการทายได้ถูกต้องนั้นคืออะไร..."

"ความลับของฉันก็คือไม่พูดอะไรเลย"



คำตอบของหมอดูยิ่งทำให้หนุ่มที่มาฝึกดูลายมืองงหนักขึ้นไปอีก
ท่านอาจารย์หมอดูก็ร่ายยาวต่อไปว่า

"เธอเห็นฉันชูนิ้วเดียวก็อาจหมายความว่า ในสามคนนั้น
จะสอบได้เพียงคนเดียว แล้วผลออกมาก็ตรงตามที่ฉันทำนายไว้เผง
ถ้าสอบได้สองคน คำทำนายฉันก็ถูกต้องอีกนั่นแหละ
เพราะชูนิ้วเดียวหมายถึงสอบตกคนหนึ่งก็ได้ ถ้าเขาสอบได้หมด
ทั้งสามคน นิ้วเดียวก็หมายถึงว่า ทั้งสามคนรวมกันนั่นแหละสอบได้
ทำนองเดียวกันนี้ ถึงในทางตรงกันข้าม ก็ถูกอีกนั่นแหละ"

ลูกศิษย์หนุ่มได้ฟังคำอธิบายจบก็พูดขึ้นว่า

"โอ...มีอีกมากมาย ที่ศิษย์ต้องเรียนรู้"







เรื่องที่9
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในประเทศจีนมีชายชาวนาคนหนึ่ง
ชื่อ "อาเฉิน" กำลังนั่งกินอาหารอยู่ในโรงเตี๊ยม ก็ได้มีพ่อค้าเร่คนหนึ่ง
เข้ามาทักทายเขาว่า "พ่อหนุ่ม ทำมาหากินเป็นอย่างไรบ้าง"

"ไม่ไหวเลยครับ ชีวิตของข้าอับจนสิ้นดี" อาเฉินตอบอย่างเศร้าสร้อย

"เจ้าไม่พอใจในวิถีชีวิตของตนเองดอกหรือ?" พ่อเฒ่าสอบถาม

"จะให้ข้าพอใจได้อย่างไรในเมื่อข้าต้องทำงานหนักทั้งวัน
ถ้าข้าได้เป็นเศรษฐี ข้าจึงจะพอใจ" อาเฉินกล่าว พ่อเฒ่านิ่งงันไม่พูดอะไร

ก่อนจากกันพ่อเฒ่าได้ยื่นห่อผ้าในมือให้อาเฉิน และพูดขึ้นว่า
"พ่อหนุ่ม ข้าต้องเดินทางไปหมู่บ้านข้างเคียง พรุ่งนี้เช้าจึงจะกลับ
เจ้าจะเก็บรักษาหมอนใบนี้ไว้ให้ข้าได้หรือไม่? หมอนใบนี้หนุนนอนสบายดี
เจ้าจะใช้หมอนใบนี้หนุนหัวในคืนนี้ก็ได้"
อาเฉินรับคำจะเก็บรักษาหมอนไว้ให้ ทั้งสองจึงแยกทางกัน

ในคืนนั้น อาเฉินใช้หมอนของพ่อเฒ่าหนุนนอน

เมื่ออาเฉินตื่นขึ้นมาก็พบว่ามีแท่งเงิน แท่งทองเต็มไปหมด
"รวยแล้ว ในที่สุดเราก็รวยสมใจนึก" อาเฉินตะโกนสุดเสียงด้วยความดีใจ
"ข้าจะสร้างคฤหาสน์หลังงาม ข้าจะซื้อทุกอย่างที่ข้าต้องการ"

อีกไม่นานคฤหาสน์ของเขาก็สร้างเสร็จ ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขา
อาเฉินเป็นมหาเศรษฐีไปแล้ว เขาไม่ปราถนาจะลดตัวลงไปเสวนากับคนจน
ดังนั้นเขาจึงปิดคฤหาสน์อาศัยอยู่ในนั้นตามลำพัง

อยู่มาไม่นานอาเฉินก็เบื่อหน่าย "ขาดอะไรไปสักอย่าง? อ้อรู้แล้ว
สวนของข้าว่างเปล่านั่นเอง" เขาจึงสั่งให้คนงานหาดอกไม้หลากสีสัน
งดงามที่สุดเท่าที่จะหาได้ และไม้ใหญ่มาปลูกไว้ในสวน และขุดสระเลี้ยงปลา

แต่แล้ว อาเฉินยังรู้สึกเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว
"จะต้องขาดอะไรไปสักอย่าง อ้อรู้แล้ว บ้านหลังนี้เงียบเกินไป"
อาเฉินจึงว่าจ้างนักดนตรี นักรำมาขับกล่อมให้ความบันเทิง

แต่แล้วต่อมาไม่นาน อาเฉินก็รู้สึกเบื่อกับการร้องรำ เขาจึง
ไล่นักดนตรี นักรำออกจากบ้านไป อาเฉินรู้สึกเหงาหงอยอ้างว้าง
"อ้า...สิ่งที่ข้าต้องการคือ ภรรยาสักคน...ใช่แล้ว"

อาเฉินส่งคนรับใช้ไปป่าวประกาศกลางหมู่บ้านว่า หญิงใดที่ยังเป็นโสด
ขอให้มาชุมนุมที่หน้าคฤหาสน์ของเขาในเช้าวันรุ่งขึ้น เพื่อให้เขาเลือกเป็นภรรยา
แต่ ไม่มีหญิงใดโผล่หน้ามาให้เห็นในเช้าวันถัดมา อาเฉินรู้สึกแค้นเคืองฉุนเฉียว
"เฮอะ ชาวนาโง่เง่า ข้าไม่เห็นจะต้องการเลย อยู่คนเดียวก็ได้"

อยู่มาวันหนึ่ง อาเฉินตัดสินใจลงจากเขา อาเฉินนั่งเกี้ยวงดงาม
มีคนรับใช้สี่คนหาม มาดโอ่อ่าภูมิฐานยิ่งนัก แต่อาเฉินก็ต้องประหาดใจ
เมื่อผู้คนในหมู่บ้านไม่มีใครให้ความสนใจเขาเลย เมื่อเขาผ่านโรงเตี๊ยมเก่า
เขาได้ยินเสียงผู้คนทักทายกัน สลับกับเสียงหัวเราะเป็นระยะ เขามองเห็น
เพื่อนเก่าซดข้าวต้มร่วมกัน แม้คนเหล่านั้นจะยากไร้ แต่ก็มีความสุขยิ่ง

อาเฉินหวนกลับมายังคฤหาสน์อ้างว้าง นั่งครุ่นคิดอยู่เป็นนาน
เขากลายเป็นมหาเศรษฐีแล้ว แต่ก็ไม่มีความสุข ชีวิตแสนสบายแต่อ้างว้าง
อาเฉินอยากจะกลับไปเป็นชาวนาสามัญเช่นเดิม แล้วเขาก็เผลอหลับไป

เมื่ออาเฉินลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก็พบว่าตนเองอยู่ในห้องเก่าซอมซ่อ

ทุกอย่างอยู่ในสภาพเดิม อาเฉินเพิ่งรู้ว่าตัวเองฝันไป เขาวิ่งออกจากกระท่อม
หัวเราะร่าด้วยความยินดี อาเฉินร้องทักทายชาวนาที่เดินผ่านบ้าน เหมือนกับ
เพื่อนรักที่หายหน้าไปนาน และพอถึงตอนสายของวันชายชราเจ้าของหมอน
ก็ได้มาหาอาเฉิน "เป็นอย่างไรพ่อหนุ่ม เมื่อคืนหลับฝันดีหรือไม่"

อาเฉินวิ่งกลับเข้าบ้าน หยิบเอาหมอนห่อผ้าให้เรียบร้อย ยื่นคืนให้เจ้าของ
"ขอบพระคุณท่านผู้เฒ่าเป็นอย่างมาก ที่ให้ยืมหมอนวิเศษใบนี้
ข้าเพิ่งได้บทเรียนล้ำค่าของชีวิต...ไม่มีสุขใดใหญ่หลวงเกินไปกว่า
ความพึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่อีกแล้ว"

อาเฉินหยิบจอบขึ้นพาดบ่า เดินผิวปากออกจากบ้าน
มุ่งหน้าไปยังท้องนา พ่อเฒ่าอมยิ้ม และออกเดินทางต่อไป








เรื่องที่10
พ่อค้าชาวอินเดียคนหนึ่งทำกระเป๋าซึ่งมีเงินอยู่ในนั้น 100 เหรียญหายไป
เขาจึงประกาศว่า หากใครเอากระเป๋ามาคืนได้ เขาจะให้รางวัลเป็นเงิน 10 เหรียญ

ต่อมามีคนจรคนหนึ่งเก็บกระเป๋าใบนั้นได้ จึงเอามาให้พ่อค้าเพื่อรับรางวัล
พ่อค้าเป็นคนตระหนี่ เสียดายที่จะต้องควักเงินรางวัล 10 เหรียญ เขาจึงเสแสร้ง
ตระหนกตกใจโดยกล่าวว่าแหวนเพชรวงหนึ่งในกระเป๋าได้หายไป สุดท้ายทั้งสอง
ได้ไปหาผู้พิพากษาที่ศาล

ผู้พิพากษาถามพ่อค้าว่า
" ท่านแน่ใจหรือว่าในกระเป๋านอกจากเงินเหรียญแล้ว ยังมีแหวนเพชรอีกวงหนึ่ง? "

" แน่ใจทีเดียว " พ่อค้าตอบอย่างมั่นใจ

" ดีมาก " ผู้พิพากษากล่าวต่อ " ในกระเป๋าใบนี้มีเพียง 100 เหรียญเท่านั้น
ไม่มีแหวนเพชรอะไรเลย แสดงให้เห็นว่ากระเป๋าใบนี้มิใช่กระเป๋าใบที่ท่านทำหาย
เพราะฉนั้น กระเป๋าใบนี้ข้าต้องเก็บรักษาไว้ก่อนเพื่อคอยเจ้าของที่ทำหายมารับไป
ท่านควรไปหากระเป๋าใบที่มีแหวนเพชรของท่านเถอะ! "







เรื่องที่11
ชายหนุ่มสามคนพี่น้องยังเป็นโสด เขาจึงปรึกษาหารือกันว่า
ทำอย่างไรถึงจะได้หญิงสาวที่ดีมาเป็นคู่ครอง

"เอาอย่างนี้มั๊ยล่ะ" น้องชายคนเล็กเสนอ "เราก็ตัดต้นไม้กันคนละต้น
ถ้าหากต้นไม้ล้มไปทางทิศใดเราก็เดินทางไปตามหาเจ้าสาวทางทิศนั้น"

"เออ...เป็นการเสี่ยงทายที่เข้าทีดีนะ เจ้ากลางเห็นด้วยรึเปล่า"
พี่ใหญ่หันไปถามน้องคนกลาง

"ตกลงตามที่เจ้าเล็กว่านั่นแหละ"

แล้วทั้งสามพี่น้องก็ลงมือโค่นต้นไม้เสี่ยงทายกันคนละต้น

"เฮ้ ต้นไม้ล้มไปทางโรงนา เจ้าสาวของฉันจะต้องเป็นลูกชาวนาแน่เลย"
พี่คนโตกระหยิ่มยิ้มย่อง

"เออ...ของฉันล้มไปทางหมู่บ้านเจ้าสาวคงเป็นสาวสวยในหมู่บ้านนั่นแหละ"
ชายหนุ่มคนกลางตื่นเต้น

แต่ต้นไม้ของน้องเล็กกลับล้มไปทางป่าทึบที่ไม่มีผู้คนอยู่อาศัย วันรุ่งขึ้น
ชายหนุ่มทั้งสามคนจึงเดินทางแยกย้ายกันไปหาเจ้าสาว ไม่นานพี่ชายทั้งสอง
ก็ได้พบหญิงสาวที่เขาถูกใจและขอแต่งงานด้วย ส่วนน้องเล็กยังคงดั้นด้น
ค้นหาเจ้าสาวอยู่กลางป่า เขาไม่พบผู้คนเลยพบแต่หนูตัวเล็กๆ

"โธ่เอ๊ย เจอแต่หนู" เขาอุทานอย่างอ่อนใจ "แต่ฉันต้องการเจ้าสาวนะ"

"ทำไม ฉันก็เป็นเจ้าสาวของเธอได้" หนูสวนขึ้นทันควัน
ชายหนุ่มหัวเราะคำพูดของหนูเพราะเขารู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่เมื่ออยู่กลางป่า
กับหนูน้อยเป็นเวลานานวัน เขาก็รู้สึกชอบเพื่อนชาวป่าของเขามาก ในที่สุด
เขาจึงตัดสินใจพาหนูกลับบ้านไปด้วย

หนูน้อยดีใจมาก กระโดดลงไปนั่งบนเปลือกผลไม้รูปร่างคล้ายรถม้า
แล้วก็มีหนูอีก 5 ตัว ลากรถของเธอตามหลังชายหนุ่มไป ทันใดนั้น
มีชายแปลกหน้าวิ่งสวนทางมา เขารีบร้อนจนไม่ทันมองเห็นรถของหนูน้อย
จึงเหยียบลงไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ทั้งผู้โดยสารและรถแหลกละเอียด
อยู่บนพื้นดิน ชายหนุ่มเสียใจมากทรุดนั่งร้องไห้คร่ำครวญ

"โธ่ ที่รัก" เขาพึมพำแผ่วเบา "ลุกขึ้นมาอยู่เคียงข้างฉันซิ ลุกขึ้นมาเถอะ"
เขาพูดกับร่างไร้วิญญาณของหนูน้อย

ชั่วพริบตาชายหนุ่มก็แลเห็นรถเปลือกผลไม้กลับกลายเป็นรถม้าสีทอง
หนู 5 ตัว ที่เทียมรถกลายเป็นม้าดำร่างสง่างาม และหญิงสาวที่นั่งอยู่ในรถ
ก็คือเจ้าหญิงแสนสวย
"เธอรักฉัน แม้ในขณะที่ฉันเป็นหนูตัวเล็กๆ" เจ้าหญิงพูดกับชายหนุ่ม
"แต่ตอนนี้ฉันพ้นคำสาปแล้ว เธอยังรักฉันอยู่รึเปล่าล่ะ"

"แน่นอนองค์หญิง" ชายหนุ่มยืนยันอย่างมั่นใจ

น้องชายคนสุดท้ายผู้โชคดีจึงได้แต่งงานกับเจ้าหญิงอย่างมีความสุข
พี่ๆทั้งสองก็พากันไปเยี่ยมน้องชายในวังอยู่เสมอ











  คะแนน: 4  
 
 
    
   
Share this