H.A.C.K 2.6
สมาชิกเลขที่44889 | 25 ก.ค. 54
1.6K views

ปังงง!!    ปังงง!!    ปังงงง!!   ปังงงง!!   ปังงง!!   ปังงง!!   ปังงง!!   ปังงง!!





เสียงปืนที่ดังติดกันถี่ยิบ เรียกความสนใจให้พันธรัตน์หันไปมองโดยไม่รู้ตัว

เด็กชายเห็นกลุ่มของหน่วยสวาท   ซึ่งกำลังเคลื่อนตัวไปข้างหน้าทั้งแปดนาย  

ทรุดเซล้มลงระเนระนาด  กระสุนมรณะทะลวงเข้ากลางหน้าผากระหว่างคิ้ว

ทั้งสองข้างของพวกเขา   ขับหยดเลือดฉีดกระจายฟุ้งคละคลุ้งไปในอากาศ!!





กระสุนแปดนัดลั่นติดกันในระยะเวลากระชั้นชิด   ปลิดชีวิตหน่วยสวาท

ทั้งแปดนาย!!   แม้แต่ระเบิดแสงก็ไม่สามารถพรางตาคนร้ายรายนี้ได้!!  

พันธรัตน์ยืนตะลึงงันอยู่ชั่วขณะหนึ่ง   แต่นึกขึ้นได้ว่าขืนไม่ขยับหนีล่ะก็

เขาคงมีสภาพไม่ต่างอะไรจากพวกหน่วยสวาทเป็นแน่





ภาพหน่วยสวาทแปดนายล้มตายลงในคราวเดียว   ทำให้ความคิดที่จะวิ่งตะลุย

ไปจนถึงห้องมั่นคงของพันธรัตน์หายวับไป   เขาไม่กล้าเสี่ยงวิ่งตะลุยเพราะยังไม่อยาก

เจาะรูระบายอากาศให้สมอง   เด็กชายกระโจนเข้าไปหลบหลังเคาเตอร์ประชาสัมพันธ์  

ทิ้งตัวหมอบราบลงกับพื้น หวังว่าความสูงของเคาเตอร์ไม้จะช่วยบังสายตา

มือไรเฟิลได้...      





พันธรัตน์นอนหมอบอยู่กับพื้นพักใหญ่...   เด็กชายพยายามเงี่ยหูฟังจนแน่ใจว่าเสียงปืน

สงบลงแล้ว  จึงค่อยๆโผล่หัวขึ้นช้าๆ แอบเหลือบมองสถาณการณ์ภายนอก





บนพื้นเหลือเพียงร่างไร้วิญญาณของหน่วยสวาททั้งแปดนาย  นอนตายระเกะระกะ

ตัวประกันแต่ล่ะคนอยู่ในสภาพขวัญเสีย  นั่งตัวสั่นงันงก  แววตาตื่นกลัวเหมือนคน

เสียสติ... บางคนถึงกับนั่งพร่ำเพ้อไม่เป็นภาษา  ส่วนรายที่ยังมีสติและยึดมั่น

ในสิ่งศักดิ์สิทธิ์  ก็กำลังก้มหน้าท่องบทสวดขอให้ศักดิ์สิทธิ์ช่วยคุ้มครอง

อย่างเอาเป็นเอาตาย  





อย่าว่าแต่ตัวประกันเลย  พันธรัตน์เองก็เกือบสติแตกไปเหมือนกัน

ยังดีที่ได้บทเรียนจากประสบการณ์อันเลวร้าย  ซึ่งเคยประสบมาจากภารกิจครั้งก่อนๆ    

ช่วยหล่อหลอมสติของเด็กชายให้แกร่ง   จนไม่แตกกระเจิดกระเจิงไปเสียก่อน...  





ถึงประสบการณ์อันเลวร้ายจะช่วยหล่อหลอมสติให้เข้มแข็ง  แต่มันก็ฝากรอยแผล

ที่ยากจะเยียวยาไว้ในความทรงจำเช่นกัน





ฝีมือการซุ่มยิงของคนร้ายรายนี้ทำให้พันธรัตน์  หวนนึกถึงเรื่องอันไม่ควรจะนึก

ภาพเหตุการณ์โหดร้าย  เมื่อหนหลังครั้งที่เผชิญหน้ากับ ไซนาไนด์ ตีกลับเข้ามา

ในระบบความทรงจำ   พันธรัตน์รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นบริเวณหน้าอกขวา  ทันทีเมื่อ

หวนนึกถึงเสียงหัวเราะเย็นยะเยียบน่าขนลุกนั่น   เด็กชายรู้สึกราวกับว่า..  

เสียงสยองยังก้องสะท้อนอยู่ในหูไม่จางไป   คิดถึงทีไรทำเอาเสียวสันหลังวาบ...





เด็กชายสะบัดหัวไล่ความทรงจำน่ากลัวออกไปจากสมอง  แล้วหันมาจดจ่อ

กับปัญหาตรงหน้า  พันธรัตน์เอนหลังพิงเคาเตอร์ไม้  พยายามอยู่ในอิริยาบท

ผ่อนคลายมากที่สุดเท่าที่สภาพแวดล้อมจะเอื้ออำนวย  เด็กชายหวังว่าท่านั่ง

อันผ่อนคลายจะช่วยให้สมองแล่นลื่นขึ้น     แต่หลังจากนั่งอยู่พักใหญ่

จนท่านั่งจะกลายเป็นท่านอนอยู่แล้ว  พันธรัตน์ก็ยังคิดไม่ออก





มีหลายครั้งที่เด็กชายคิดจะขอความช่วยเหลือไปยังฐานบัญชาการโดยใช้เครื่อง

สื่อสารภายในรถตู้   แต่รถตู้ก็อยู่ไกลเกินไป   แถมโทรศัพท์มือถือก็ตกอยู่ในรถตู้

อีกต่างหาก  ความเสี่ยงในการวิ่งกลับไปขอความช่วยเหลือโดยใช้เครื่องสื่อสาร  

กับการตัดสินใจวิ่งพรวดเดียวไปยังห้องมั่นคงอันตรายพอๆกัน   มีความเสี่ยงสูง

เท่าเทียมกัน   ทั้งหมดอยู่ที่การตัดสินใจของพันธรัตน์  ว่าจะเลือกทางไหน?





พันธรัตน์พยายามใช้สมองคิดวิเคราะห์   หาทางออกจากมุมอับนี้

เด็กชายกำลังชั่งน้ำหนักความเป็นไปได้  ระหว่างการวิ่งกลับไปยังรถตู้

เพื่อขอความช่วยเหลือ  หรือจะบุกเดี่ยวไปยังห้องมั่นคง!!  เขายกมือผอมๆ

ลูบไปบนคางของตนเอง  พันธรัตน์สูดลมหายใจเข้าจนลึก  เด็กชายเงยหน้าขึ้นสูง

ทอดสายตาเหม่อมองออกไปไกล  ไม่จับจ้องกับวัตถุใดๆ   เขาปล่อยสมองให้ว่าง...  

เมื่อสมองว่าง  จะก่อเกิดความสงบ   หลังจากนั้นจึงมีสมาธิ  แล้วใช้สมาธิ

เพื่อดึงความสามารถของสมองออกมาใช้อย่างเต็มที่    





ในขณะที่พันธรัตน์กำลังเข้าสู่ห้วงแห่งความคิดนั่นเอง...  เขารู้สึกว่า

มีแสงอะไรบางอย่างสาดแว่บสะท้อนเข้านัยน์ตา!  เด็กชายยุติการเรียก

สมาธิ  แล้วกวาดตาไปมาพยายามมองหาที่มาของแสง





แสงลึกลับยังสาดแว่บเข้านัยน์ตาของเด็กชายไม่หยุด  เหมือนกับจะเชิญชวน

ให้พยายามมองหาต้นตอของมัน  แน่นอนว่าเด็กชายไม่ปฏิเศษคำชวน

ของแสงประหลาด  เขายังกลอกตาไปมาพยายามมองหา  ในที่สุดเด็กชายก็พบ

ว่าต้นเหตุของแสงประหลาดมาจากไหน





แสงสว่างที่สะท้อนเข้านัยน์ตาของเด็กชายเกิดจาก   หน้าปัดนาฬิกาข้อมือของหญิงสาว

คนหนึ่ง  เธอใช้หน้าปัดนาฬิการับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ยามบ่ายที่สาดแสงลอดเข้ามา

ทางประตูหน้าธนาคาร    เธอเอานาฬิกาข้อมือไปอังแสงแดดทำให้แสงตกกระทบ

ลงบนหน้าปัดนาฬิกา   แล้วเอียงหน้าปัดนาฬิกาไปมาควบคุมจุดตกกระทบของแสง

ก่อให้เกิดการหักเหของแสงส่องเข้าตาพันธรัตน์





เด็กชายมองไปยังหญิงสาวปริศนา   เธอสวมเครื่องแบบของพนักงานธนาคาร  ท่าทาง

คงจะเป็นหนึ่งในตัวประกันที่หนีไปไม่รอดเหมือนกัน  แต่หญิงสาวรายนี้กลับมีอะไร

บางอย่างแตกต่างจากคนอื่นๆในล็อบบี้ธนาคาร   เพราะเท่าที่เด็กชายสังเกตดู

เธอไม่มีท่าทีกลัว หรือ ตื่นตระหนกต่อเหตุการณ์ครั้งนี้แม้แต่น้อย!!  





หญิงสาวเห็นพันธรัตน์มองมายังเธอ  เมื่อรู้ว่าการใช้แสงสะท้อนเรียกความสนใจได้ผล  

เธอจึงหยุดทำการหักเหแสง  แล้วค่อยๆหันหน้าไปหาพันธรัตน์อย่างช้าๆ...



พันธัรตน์เบิกตาออกกว้าง  เมื่อใบหน้าของหญิงสาวปรากฏชัดแก่สายตา

ถ้าเขาตาไม่ฝาดคงเป็นเธอแน่ๆ   เด็กชายดีใจจนแทบตะโกนออกมาดังๆ  

แต่ยังมีสติดีพอทีจะข่มใจไว้





“Miss L!! เหรอ?” พันธรัตน์เอ่ยเบาๆ  พยายามใช้การขยับปากแทนการเปล่งเสียง  

เขาถามย้ำให้แน่ใจเพราะเธอนั่งอยู่ห่างจากบริเวณที่พันธรัตน์   ซ่อนตัวพอสมควร  

พันธรัตน์หลบอยู่หลังเคาเตอร์ประชาสัมพันธ์  ส่วนหญิงสาวหลบซุ่มตัวอยู่หลังเก้าอี้

ที่มีไว้ให้ลูกค้าธนาคารนั่งรอรับบริการ   ซึ่งวางอยู่ข้างๆประตูธนาคาร  





Miss L ในชุดพนักงานธนาคารอ่านปากพันธรัตน์แล้วพยักหน้ารับช้าๆ...





พันธรัตน์รู้สึกผ่อนคลายขึ้นในระดับหนึ่ง  เมื่อรู้ว่ายังมีเพื่อนที่พึ่งพาได้อยู่ใกล้ๆ

อีกคน..  อย่างน้อย Miss L ก็เป็นเอเย่นต์ที่มีประสบการณ์มากกว่าเขา  เธอน่าจะ

มีแผนอะไรดีๆ





หลังจากเรียกพันธรัตน์ให้รู้ตัวว่ายังมีเธออยู่ในสถาณการณ์เดียวกับเขาแล้ว  Miss L

เริ่มใช้หน้าปัดนาฬิกาสะท้อนแสงมาที่พันธรัตน์อีกครั้ง    เด็กชายสังเกตได้ว่าการสะท้อน

แสงครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อน  ครั้งนี้การสะท้อนแสงเป็นจังหวะเท่าๆกัน  บางทีก็ห่าง

เป็นช่วงๆ  หรือไม่ก็ติดๆกันเป็นจังหวะ   พันธรัตน์รู้ได้ทันทีว่า Miss L กำลังทำอะไร

เธอกำลังลอบส่งสัญญาณบางอย่างมาให้เด็กชายโดยการใช้  แสงสะท้อนเป็นจังหวะ

แบบรหัสมอส!!





พันธรัตน์เริ่มจดจำแต่ล่ะตัวอักษรที่ Miss L ส่งมาให้     จนกระทั่งเธอเลิกส่งรหัส

เด็กชายจึงนำรหัสที่ได้มาถอดความออกเป็นตัวอักษร  และนำอักษรมาเรียงกัน

เป็นกลุ่มประโยค    ใบหน้าอันเครียดเขม็งของพันธรัตน์คลายออกเป็นรอยยิ้ม

เมื่ออ่านข้อความที่ Miss L ส่งมาให้จนเข้าใจ





“ให้มันได้แบบนี้สิ!!”  พันธรัตน์เอ่ยกับตนเองด้วยความพอใจ  รอยยิ้มเจ้าเล่ห์

แสนกลเริ่มผุดขึ้นปรากฏชัดบนใบหน้ามากกว่าเดิม    





ภายนอกธนาคาร...  กองทัพตำรวจหลายร้อยนายกำลังรอลุ้นด้วยใจจดจ่อ  หลังจากเสียง

ปืนแปดนัดสุดท้ายเงียบหายไปก็ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเกิดขึ้นอีก  มีเพียงเสียงเซ็งแซ่

ของกองทัพนักข่าวที่กลุ้มรุมอยู่ด้านหลังกำลังวิพากษ์วิจารย์   สถาณการณ์ไปต่างๆนาๆ

นายตำรวจผู้ทรงอำนาจแทบจะนึกถึงหัวข้อข่าวกรอบพรุ่งนี้เช้าได้เลยว่า  ฝ่ายตำรวจจะโดน

เล่นงานหนักขนาดไหน  ทั้งเรื่องนักข่าวคนหนึ่งโดนยิงตาย   เรื่องสารวัตรมาโนชขโมยรถ

ประชาชนบุกเข้าธนาคาร  แต่ยังดีที่พวกนักข่าวไม่รู้เรื่อง  การฆ่าตัวประกัน!!  

ถ้ารู้เข้ามีหวังเขาคงโดนสอบสวนทางวินัยแน่ๆ...





มาถึงจุดนี้นายตำรวจเฒ่าผู้ทรงอำนาจเริ่มอยากพัก..  ในชีวิตรับราชการของเขาเจอเรื่อง

วิกฤติมาหลายครั้ง  แต่มักผ่านมาได้ทุกครั้งด้วยเรี่ยวแรงและมันสมองของตนเอง  

ทว่าวิกฤติครั้งนี้หนักหนากว่าทุกครั้ง  และตอนนี้เขาเองก็ชราภาพเกินกว่าตอนที่เผชิญ

หน้าทุกวิกฤติที่เคยผ่านมา...   ถึงยังไงอีกแค่สอง-สามปีก็จะถึงวัยเกษียณ   ทำไมต้องมารับ

ภาระหนักขนาดนี้ด้วย?





คำตอบของนายตำรวจเฒ่ายืนรออยู่ด้านหลัง  ลูกน้องนับร้อยชีวิตกำลังรอคำบัญชาการจากเขา

สายตาของพวกลูกน้องที่จ้องมามีแต่ความเคารพเลื่อมใสเชื่อฟัง!  วินาทีนี้ขวัญกำลังใจ

สำคัญที่สุด!!   ถ้าเขาล้มไปสักคนพวกที่เหลือคงแตกกระจัดกระจายไม่เป็นท่าแน่





นายตำรวจเฒ่ารอรายงานจากหน่วยสวาทชุดแรกที่บุกเข้าไปอยู่นาน  ก็ไม่ได้รับการ

ตอบกลับ  เขาคงไม่รออีกแล้ว!!   นายตำรวจเฒ่าผู้ทรงอำนาจสูดลมหายใจเข้าจนลึก

ก่อนจะเปล่งคำบัญชาการเสียงกร้าว!!





“หน่วยสวาทชุดที่สอง เตรียมจู่โจม!!”





สิ้นคำสั่ง  เสียงรองเท้าบูตกระแทกพื้นดังขึ้นทันที   หน่วยสวาทชุดที่สองจำนวนสิบนาย

วิ่งเข้ามายืนตรงเรียงแถวอยู่ต่อหน้านายตำรวจผู้ทรงอำนาจอย่างพร้อมเพรียง  

นายตำรวจเฒ่าไม่กล่าวอะไร  เขาเพียงกวาดตามองไปยังหน่วยสวาทที่กำลังยืน

เรียงแถวทุกนาย   แล้วเดินไปหาหัวหน้าหน่วยสวาทชุดที่สองซึ่งยืนอยู่หัวแถว  

ชายแก่เอื้อมมือไปวางบบไหล่ของหัวหน้าหน่วยสวาท   แล้วออกแรงตบเบาๆ



“ฝากด้วยนะ....” เขาเอ่ย  



หัวหน้าหน่วยสวาทพยักหน้ารับช้าๆ..  นัยน์ตาเบื้องหลังหน้าหมวกไหมพรมสีดำ

ทอประกายวาวโรจน์





“ไปได้!!”  นายตำรวจเฒ่าตะโกนก้อง   ปล่อยแถวของหน่วยสวาทชุดที่สอง

Share this