H.A.C.K 52 ( ตอนก่อนหน้านี้ขออภัยนะโปรดอ่านในหนังสือ หาไม่เจอจริงๆ)
สมาชิกเลขที่44889 | 25 ก.ค. 54
2.1K views
มีคนบอกว่าผมไม่ยอมให้ของขวัญปีใหม่เลย.....แหมแต่ผมยังเขียนตอนใหม่ไม่เสร็จ
เลยนี่หน่า อืมม...เอาเป็นว่า Flash BaCk ตอนนี้คือของวัญปีใหม่ก็แล้วกันนะครับ
Flash BaCk ก็คืออดีต เราทุกคนมีอดีต จะดีบ้าง ชั่วบ้างต่างกันไป
ตอนนี้ก็คือดีตของตัวละครบางตัวใน H.A.C.K เป็นเรื่องก่อนที่จะมีองค์กร
H.A.C.K ก่อตั้งขึ้นซะด้วยซ้ำไป
แต่จะเป็นอดีตของตัวละครตัวไหนนั้น ลองไปอ่านดูเอาเองก็แล้วกัน
ถ้าคนอ่านชอบ ว่างๆผมก็จะเขียนอดีตของตัวละครตัวอื่นต่ออีกครับ
ปล.อาจจะโหดไปนิด
ปังงงงง!!!
เสียงปืนดังก้องขึ้น ปลุกให้สติสัมปชัญญะของ วณัชตื่นตัว ชายหนุ่มทะลึ่งพรวด
ลุกขึ้นนั่งบนเตียง ดวงตาเบิกโพลง ส่ายล่อกแล่กมองไปมาในห้องนอนที่มืดมิด เขาพยายาม
มองหาต้นเสียงของปืน แต่กลับไม่พบอะไร ตอนนี้มีเพียงเขากับความมืดเท่านั้น.....
“เสียงปืนที่ไหนกัน” ชายหนุ่มคิด พลางยกมือขึ้นใช้แขนเสื้อนอน ปาดเหงื่อที่ไหลโทรมใบหน้า
เสียงปืนที่เขาได้มันเกิดขึ้นใกล้มาก เหมือนกับอยู่ภายในบ้าน
เขาเอื้อมมือไปกระตุกเปิดสวิทโคมไฟตั้งโต๊ะข้างหัวเตียง แสงไฟสีส้มเรืองๆสว่างขึ้น
พอจะใช้มองหาสิ่งของได้ วณัชดึงลิ้นชักข้างเตียงออก ภายในลิ้นชักมีปืนลูกโม่สีเงินวาบวับ
นอนทอดกายนิ่งอยู่ ชายหนุ่มล้วงปืนออกมา เปิดรังเพลิงออกเพื่อเช็คจำนวนกระสุน
ก่อนที่จะดีดรังเพลิงกลับเข้าล็อค
เขากระชับปืนในมือแน่น ลุกขึ้นจากเตียงเดินข้ามห้องตรงไปยังแผงควบคุมของระบบ
สัญญาณเตือนภัย เป็นธรรมดาที่คนระดับกรรมการบอร์ดของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างเขา
จะต้องระวังตัว เพราะมีศัตรูทางการค้าไม่น้อย ที่หมายเอาชีวิตเขาเพื่อผลประโยชน์ทางการค้า
ชายหนุ่มไล่สายตามองดูสถาณะการทำงานของระบบเตือนภัยภายในบ้าน....ระบบบอกว่า
สัญญาณเตือนภัยยังทำงานปกติ ทุกซอกมุมภายในบ้านของเขายังสงบ ไม่มีทางที่จะมีใคร
บุกเข้ามาในบ้านของเขาได้ โดนไม่โดนสัญญาณเตือนภัยระดับอัจฉริยะ ที่องค์กรของชายหนุ่ม
ค้นคว้าขึ้นตรวจจับ แล้วเสียงปืนนั่นดังมาจากไหนกันล่ะ?
ความสงสัยเข้ารุมเร้าจิตใจของชายหนุ่มจนทนไม่ไหว...เขาปลดล็อคระบบเตือนภัย
ค่อยๆแง้มประตูห้องนอนเปิดออกอย่างช้าๆ แสงไฟจากชานบันไดสาดเข้ามาในห้อง บ้านยังเงียบ....
เงียบ....จนผิดปรกติ
วณัชค่อยๆแทรกตัวผ่านประตูออกมา ย่องเดินอย่างแผ่วเบาเพื่อไม่ให้เกิดเสียง ไปตามชานบันได
เขายังไม่พบอะไรผิดปรกติ แล้วเสียงปืนนั่นดังมาจากไหนกันล่ะ หรือบางทีพวกบอร์ดี้การ์ด
ของเขา อาจจะเผลอทำปืนลั่นก็ได้?
ชายหนุ่มคิดพลางเดินตรงไปยังบันได ก้าวเท้าลงสัมผัสบันไดขั้นบนสุดอย่างระมัดระวัง
พยายามไม่ทิ้งน้ำหนักตัวมากเกินไปจนเกิดเสียงดัง เขาค่อยๆเดินลงบันไดไปทีล่ะขึ้น ทีล่ะขั้น
มือยังกระชับปืนลูกโม่แน่น......แน่นจนเหงื่อเริ่มซึมออกมาตามง่ามนิ้ว
วณัชเดินย่องลงมาตามบันไดจนถึงขั้นสุดท้าย ทันทีที่เดินลงมาจากบันได ชายหนุ่มก็รับรู้ได้ถึง
ความผิดปกติ ชั้นล่างของบ้านถูกปรกคลุมไปด้วยความมืด เขาไม่เคยปิดไฟชั้นล่างของบ้าน
เพราะตามปกติแล้ว ชั้นล่างของบ้านจะต้องมีบอร์ดี้การ์ดเฝ้าอยู่อย่างน้อยหนึ่งคน...
แต่วันนี้ชั้นล่างกลับถูกปรกคลุมไปด้วยความมืด วณัชฉลาดพอที่จะไม่ตะโกนเรียกบอร์ดี้การ์ด
ถ้าเขาตะโกน ก็เท่ากับเป็นการเรียกศัตรูเข้ามาหาตัว แต่ชายหนุ่มก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมสัญญาณเตือนภัยถึงไม่ดัง
บางทีผู้บุกรุกที่อาจหาญเข้ามารายนี้จะไม่ใช่โจรกระจอก หรือระบบจะทำงานผิดพลาดไปเอง?
ความอยากรู้สงสัยประดังเข้ามาในจิตใจของวณัชและวิธีหาคำตอบที่ดีที่สุดก็คือ ไปดูด้วยตาตนเอง
วณัชยังก้าวเดินช้าๆ ไปตามชั้นล่างของตัวบ้านโดยที่ไม่เปิดไฟ เขาอาศัยความชำนาญทาง
และแสงริบหรี่จากดวงจันทร์ด้านนอก ที่สาดส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาเป็นเครื่องนำทาง ชายหนุ่ม
เดินไปยังโซฟาในห้องรับแขก ซึ่งส่วนใหญ่บอร์ดี้การ์ดของเขาจะนั่งดูโทรทัศน์ หรือไม่ก็แอบงีบ
หลับอยู่ที่นั่น แต่วันนี้คิดว่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า....
เป็นอย่างที่เขาคิดจริงๆ บนโซฟาภายในห้องรับแขกมีร่างของชายตัวใหญ่นอนเอนพิง
อยู่กับพนักเก้าอี้โซฟาตัวนุ่ม วณัชลดปืนลง ส่ายหน้าช้าๆ ถอนหายใจอย่างเอือมระอา
ในใจก็คิดไปว่า
“งานนี้คงต้องมีตัดเงินเดือนกันบ้างล่ะ”
เขาเดินเข้าไปหาบอร์ดี้การ์ดที่งีบหลับ เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นเวรของบอร์ดี้การ์ดที่ชื่อว่า
โสภน....
“คุณโสภน” วณัชยืนเรียกจากทางด้านหลังของโซฟา แต่ไม่มีเสียงตอบกลับมา
จากร่างที่นอนนิ่ง
“โสภน” วณัชย้ำคำเดิม เพิ่มระดับเสียงให้เข้มและดังขึ้น เหมือนเจ้านายดุลูกน้อง
แต่ยังไร้การตอบสนองจากร่างที่หลับ
“เฮ้!!” วณัชชักเหลืออด เอื้อมมือไปเขย่าร่างของบอร์ดี้การ์ดจอมขี้เกียจ
ร่างของโสภนส่ายเอนไปมา แล้วล้มแหมะลงกับโซฟา!!
“เฮ้ย!!” วณัชเผลอร้องด้วยความตกใจ รีบตรงเข้าไปประคองร่างของบอร์ดี้การ์ด
ทันทีที่สัมผัสตัว วณัชรู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบจากเนื้อหนังของโสภน มันเย็นเยียบราวกับ
น้ำแข็ง..ชายหนุ่มตบหน้าโสภนเบาๆ เขาหลับตานิ่งไม่กระดิกกระเดี้ย มือข้างขวายังกำปืนแน่น
“เฮ้!! โสภน!! เฮ้ย!!” ริมฝีปากซีดเซียวนั้นไม่มีวี่แววจะเผยอขยับ วณัชเอื้อมมือไปจับ
ชีพจรที่คอของโสภน แต่ปรากฏว่า......มันไม่เต้นแล้ว!! ที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้นก็คือ
มือของวณัชสัมผัสได้ถึงของเหลวบางอย่าง ที่ลื่นและคาว ด้วยแสงอันน้อยนิด เขายังไม่สามารถ
ระบุชัดได้ว่ามันคืออะไร ชายหนุ่มยกมือขึ้นมาดูใกล้ๆ
เลือด!! เลือดสีแดงสดเลอะอยู่เต็มมือของวณัช มันทะลักไหลเลอะอยู่เต็มคอของโสภน
ออกมาจากรูเล็กๆบริเวณคอของเขา รูอันเกิดจากกระสุน
“เฮ้ยยย!! ใครอยู่แถวนี้บ้างวะ!! เข้ามามาหน่อยเฮ้ยยย” วณัชตะโกนก้อง
แต่มีเพียงเสียงสะท้อนกลับไปกลับมาในความมืด ของเขาเองเท่านั้นที่ตอบ
ดวงใจของวณัชวูบหล่นถึงตาตุ่ม เขากระชับปืนในมือแน่นอีกครั้ง ประคองร่างของโสภน
ขึ้นนอนบนโซฟา แล้วย่องเดินไปตามทางเดินอันมืดทึม ชายหนุ่มรีบเดินไปยังหน้าบ้าน
ถ้าเขาเดาไม่ผิด บางทีบอร์ดี้การ์ดที่เฝ้าอยู่ด้านนอกอีกสามคนก็อาจจะ...เสร็จไปแล้ว
ในสถานการณ์เลวร้ายแบบนี้ ทางเดียวที่ทำได้ก็คือ หนี....
วณัชเตรียมทางหนีไว้เสมอ รถในโรงจอดต้องมีอย่างน้อยหนึ่งคันที่ไม่ได้ล็อค และเสียบกุญแจ
ไว้พร้อมใช้การทันที ชายหนุ่มรีบเดินยังหน้าบ้าน ทาบฝ่ามือเข้ากับแป้นแสกนหน้าประตูบ้าน
เพื่อปลดล็อคประตู
Error!! หน้าจอแสดงผลของแป้นสแกนขึ้นข้อความสีแดงโร่
“เป็นบ้าอะไรวะนี่!!” วณัชสบถ แล้วลองทาบมืออีกหลายครั้ง แต่ผลก็ยังเหมือนเดิม
มันเป็นไปได้ยังไงก็ในเมื่อ แป้นสแกนจดจำแค่เฉพาะลายมือของเขาคนเดียวเท่านั้น
เมื่อ สี่ถึงห้าชั่วโมงก่อน วณัชยังใช้แป้นสแกนเพื่อล็อคระบบของประตู แต่จู่ๆคราวนี้
มันกลับปฏิเศษลายมือของเขา
“เปล่าประโยชน์” เสียงลึกลับดังก้องขึ้นในความมืด
วณัชสะดุ้งเฮือก ความหนาวเย็นแล่นวาบผ่านสันหลัง เขาหันควับกลับมามองหาต้นเสียง
แต่สิ่งที่เห็นกลับทำให้ตกใจยิ่งกว่า มันคือ....ดวงตาสีเขียวสดคู่หนึ่งที่สว่างวาบอยู่ในความมืด
ราวกับดวงตาของสัตว์ร้าย ดวงตาคู่นั้นจ้องเขม็งมายังเขา
“เหวอ!!!” วณัชร้องด้วยความตกใจ ยกปืนขึ้นสาดกระสุนใส่ดวงตาคู่นั้นตามสัญชาติญาณ
การป้องกันตัว ประกายไฟจากปากกระบอกปืนลูกโม่แลบขึ้นแปล่บปลาบ
ปังงงง ปังง ปังง ปังง ปังงง ปังงง!!!! แกร็กๆ แกร็ก....กระสุนหมดแล้ว ดวงตาคู่นั้นก็หายไปด้วย
เช่นเดียวกัน วณัชหอบหายใจตัวโยน เหงื่อไหลออกมาจนโทรมกายซึมเปียกเต็มใบหน้า
และชุดนอน
ชายหนุ่มส่ายตาไปมาในความมืดพยายามมองหา ดวงตาคู่นั้น แต่เขาก็ไม่พบมัน...
เขาลองทาบมือลงไปบนแป้นแสกนอีกครั้ง...แต่ผลก็ยังเหมือนเดิม ประตูไม่ยอมเปิดให้เขาผ่าน
ออกไป
“บอกแล้วไงว่าเปล่าประโยชน์” เสียงลึกลับดังขึ้นอีก ดวงตาสีเขียวสว่างวูบขึ้น
ในความมืดอีกครั้ง
“กะ..แกเป็นใคร” ชายหนุ่มถามตะกุกตะกัก เผลอตัวก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว
เขายกปืนที่ไร้กระสุนเล็งไปที่มัน
ไม่มีคำตอบกลับมา แต่คราวนี้มันค่อยๆก้าวเท้าเดินออกมาจากเงามืด
แสงจันทร์สีจาง ที่ส่องลอดเข้ามาทางหน้าต่าง สาดกระทบร่างของมัน
ทำให้วณัชมองเห็นใบหน้าของมันได้ค่อนข้างชัดเจน
มันคือ ชายรูปร่างสูงโปร่ง นัยตาสีเขียวสดราวกับสัตว์ป่าของมันจ้องเขม็งไปยังชายหนุ่ม
มันค่อยๆยกปืนสีดำกระบอกโต ที่ใส่ปลอกเก็บเสียงขึ้นเล็งไปยังหัวของวณัช
“กะ...แกจะทำอะไรน่ะเฮ้ย!!”
ไร้คำเตือนใดๆ
ฟุบ!! ปืนสีดำกระบอกโตสำรอกกระสุน พุ่งตรงเข้าใส่กลางหน้าผากของวณัช
แรงประทะของกระสุนที่ปักเข้ากลางหน้าผาก ดันหัวของวณัชให้หงายลงไปด้านหลัง
ร่างของชายหนุ่มล้มลงกระแทกพื้น...แน่นิ่งไป
แค่นัดเดียวเท่านั้น
มัจจุราชตาสีเขียวมองร่างของเหยื่อด้วยสีหน้าเรียบเฉย ถึงแม้ว่ากระสุนจะเข้ากลางหน้าผาก
แต่มันก็ยังไม่ไว้ใจ ตรงเข้าไปพลิกร่างไร้วิญญาณของวณัช จับดูชีพจรบริเวณคอของเขา
เมื่อแน่ใจว่า ชีพดับสนิทแล้ว มันจึงผละออกจากร่างของเขาไป....
ตรงไปยังแป้นแสกนลายมือหน้าประตูบ้าน มันล้วงโทรศัพท์มือถือขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกง
รัวนิ้วกดเบอร์โทรลงไปอย่างรวดเร็ว ก่อนยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู รอให้ปลายทางรับ
“เรียบร้อยแล้วครับ FeniX”มันพูดเบาๆแค่ประโยคเดียว แล้วก็วางโทรศัพท์ไป
ไม่นานหลังจากนั้น หน้าจอแสดงผลของแป้นแสกนก็ปรากฏตัวอักษรสีเขียว
Pass
ประตูปลดล็อคออกเองโดยอัตโนมัติ โดยที่มันไม่ต้องทาบฝ่ามือลงไปบนแป้น
แสกนด้วยซ้ำไป ชายตาสีเขียวเดินออกจากประตูบ้าน ตรงไปตามทางเดินที่อาบไล้
ไปด้วยแสงจันทร์อย่างช้าๆ มันเดินผ่านร่างที่ไร้วิญญาณของบอร์ดี้การ์ดทั้งสามคน
ไปอย่างไม่แยแส ราวกับว่าศพของคนทั้งสามเป็นแค่เพียงเศษก้อนหินก้อนดินบนทางเดิน
ที่ก้าวข้ามไปได้โดยไม่ต้องสนใจ
มันเดินมาเรื่อยๆจนถึงประตูรั้วใหญ่ นอกประตูรั้วมีรถสีดำคันหนึ่งจอดรออยู่ ชายตาสีเขียว
เปิดประตูรั้ว พาตัวเองกลับออกมาจากบ้านที่เจ้าของเคยคิดว่า มีระบบความปลอดภัยที่เหนือชั้น
จนไม่มีใครสามารถเล็ดลอดเข้ามาได้ แต่ทำไมชายนัยตาสีเขียวคนนี้กลับเดินดุ่มๆเข้ามาสังหาร
คนในบ้านทั้งหมดได้โดยไม่โดนสัญญาณตรวจจับ?
คำตอบนั้นกำลังนิ่งยิ้มกริ่มรออยู่ในรถ....
“เรียบร้อยดีใช่ไหม” ร่างที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยเอ่ยถาม เมื่อชายตาสีเขียวขึ้นนั่งบนรถ
“ครับ” เขาตอบห้วนๆ แต่น้ำเสียงแฝงไปด้วยความเคารพผู้ถาม
“ดี” ร่างที่นั่งอยู่หลังพวกมาลัยเปรยเบาๆ ยกแขนผอมแห้งขึ้นบิดขี้เกียจ
แล้วพรมนิ้วลงไปบนเครื่องโน๊ตบุ๊คที่วางบนตัก เพื่อป้อนข้อมูลบางอย่าง
ทันใดนั้นเอง....
เสียงหวอเตือนภัยได้ดังสนั่นขึ้น ไฟฟ้าทั้งบ้านของวณัชสว่างวาบขึ้นทุกดวง
“ผมจัดการให้ระบบเตือนภัยเรียกตำรวจเรียบร้อยแล้วล่ะ” ชายที่นั่งอยู่หลงพวงมาลัยบอก
ใช้นิ้วโป้งดันแว่นที่เลื่อนลงมาให้กลับเข้าที่ ยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆ ทำให้ผมอันยุ่งเหยิงบนหัว
ยิ่งยุ่งหนักพันกันมากเข้าไปอีก
“ไปเถอะครับ FeniX” ชายนัยตาเขียวบอก
“เฮ้อ...ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องรีบ กว่าตำรวจจะมาถึงก็อีกประมาณ.....” เขาบอกหน่ายๆ
แล้วยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู
“ห้านาที เอ่อ...แล้วอีกอย่างเวลาไม่ได้ทำงาน เรียกชื่อผมเฉยๆก็ได้”
“ครับ คุณภาณุรัตน์”ชายนัยตาเขียวบอก ยิ้มน้อยๆ ดูเหมือนเขาจะดีใจ
ที่คนระดับสูงกว่าให้ความสนิทสนมด้วย
“เท่านี้ ไอ้ตัวโกงองค์กร วณัชก็ต้องเอาเงินที่โกงมาได้ไปเปลี่ยนเป็นแบงค์กงเต๊กแล้วล่ะ
มันถึงจะเอาไปใช้ในนรกได้ หึหึหึ” ชายร่างผอมบอก แสยะยิ้มสะใจ ปิดเครื่องโน๊ตบุ๊ค
แล้วโยนไปเก็บไว้เบาะหลัง
รถสีดำเคลื่อนตัวออกไปอย่างช้าๆ แล้วหายกลืนเข้าไปในความมืด
พวกเขาสองคน ไม่ทิ้งหลักฐานอะไรไว้นอกจาก....ความตาย
เลยนี่หน่า อืมม...เอาเป็นว่า Flash BaCk ตอนนี้คือของวัญปีใหม่ก็แล้วกันนะครับ
Flash BaCk ก็คืออดีต เราทุกคนมีอดีต จะดีบ้าง ชั่วบ้างต่างกันไป
ตอนนี้ก็คือดีตของตัวละครบางตัวใน H.A.C.K เป็นเรื่องก่อนที่จะมีองค์กร
H.A.C.K ก่อตั้งขึ้นซะด้วยซ้ำไป
แต่จะเป็นอดีตของตัวละครตัวไหนนั้น ลองไปอ่านดูเอาเองก็แล้วกัน
ถ้าคนอ่านชอบ ว่างๆผมก็จะเขียนอดีตของตัวละครตัวอื่นต่ออีกครับ
ปล.อาจจะโหดไปนิด
ปังงงงง!!!
เสียงปืนดังก้องขึ้น ปลุกให้สติสัมปชัญญะของ วณัชตื่นตัว ชายหนุ่มทะลึ่งพรวด
ลุกขึ้นนั่งบนเตียง ดวงตาเบิกโพลง ส่ายล่อกแล่กมองไปมาในห้องนอนที่มืดมิด เขาพยายาม
มองหาต้นเสียงของปืน แต่กลับไม่พบอะไร ตอนนี้มีเพียงเขากับความมืดเท่านั้น.....
“เสียงปืนที่ไหนกัน” ชายหนุ่มคิด พลางยกมือขึ้นใช้แขนเสื้อนอน ปาดเหงื่อที่ไหลโทรมใบหน้า
เสียงปืนที่เขาได้มันเกิดขึ้นใกล้มาก เหมือนกับอยู่ภายในบ้าน
เขาเอื้อมมือไปกระตุกเปิดสวิทโคมไฟตั้งโต๊ะข้างหัวเตียง แสงไฟสีส้มเรืองๆสว่างขึ้น
พอจะใช้มองหาสิ่งของได้ วณัชดึงลิ้นชักข้างเตียงออก ภายในลิ้นชักมีปืนลูกโม่สีเงินวาบวับ
นอนทอดกายนิ่งอยู่ ชายหนุ่มล้วงปืนออกมา เปิดรังเพลิงออกเพื่อเช็คจำนวนกระสุน
ก่อนที่จะดีดรังเพลิงกลับเข้าล็อค
เขากระชับปืนในมือแน่น ลุกขึ้นจากเตียงเดินข้ามห้องตรงไปยังแผงควบคุมของระบบ
สัญญาณเตือนภัย เป็นธรรมดาที่คนระดับกรรมการบอร์ดของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างเขา
จะต้องระวังตัว เพราะมีศัตรูทางการค้าไม่น้อย ที่หมายเอาชีวิตเขาเพื่อผลประโยชน์ทางการค้า
ชายหนุ่มไล่สายตามองดูสถาณะการทำงานของระบบเตือนภัยภายในบ้าน....ระบบบอกว่า
สัญญาณเตือนภัยยังทำงานปกติ ทุกซอกมุมภายในบ้านของเขายังสงบ ไม่มีทางที่จะมีใคร
บุกเข้ามาในบ้านของเขาได้ โดนไม่โดนสัญญาณเตือนภัยระดับอัจฉริยะ ที่องค์กรของชายหนุ่ม
ค้นคว้าขึ้นตรวจจับ แล้วเสียงปืนนั่นดังมาจากไหนกันล่ะ?
ความสงสัยเข้ารุมเร้าจิตใจของชายหนุ่มจนทนไม่ไหว...เขาปลดล็อคระบบเตือนภัย
ค่อยๆแง้มประตูห้องนอนเปิดออกอย่างช้าๆ แสงไฟจากชานบันไดสาดเข้ามาในห้อง บ้านยังเงียบ....
เงียบ....จนผิดปรกติ
วณัชค่อยๆแทรกตัวผ่านประตูออกมา ย่องเดินอย่างแผ่วเบาเพื่อไม่ให้เกิดเสียง ไปตามชานบันได
เขายังไม่พบอะไรผิดปรกติ แล้วเสียงปืนนั่นดังมาจากไหนกันล่ะ หรือบางทีพวกบอร์ดี้การ์ด
ของเขา อาจจะเผลอทำปืนลั่นก็ได้?
ชายหนุ่มคิดพลางเดินตรงไปยังบันได ก้าวเท้าลงสัมผัสบันไดขั้นบนสุดอย่างระมัดระวัง
พยายามไม่ทิ้งน้ำหนักตัวมากเกินไปจนเกิดเสียงดัง เขาค่อยๆเดินลงบันไดไปทีล่ะขึ้น ทีล่ะขั้น
มือยังกระชับปืนลูกโม่แน่น......แน่นจนเหงื่อเริ่มซึมออกมาตามง่ามนิ้ว
วณัชเดินย่องลงมาตามบันไดจนถึงขั้นสุดท้าย ทันทีที่เดินลงมาจากบันได ชายหนุ่มก็รับรู้ได้ถึง
ความผิดปกติ ชั้นล่างของบ้านถูกปรกคลุมไปด้วยความมืด เขาไม่เคยปิดไฟชั้นล่างของบ้าน
เพราะตามปกติแล้ว ชั้นล่างของบ้านจะต้องมีบอร์ดี้การ์ดเฝ้าอยู่อย่างน้อยหนึ่งคน...
แต่วันนี้ชั้นล่างกลับถูกปรกคลุมไปด้วยความมืด วณัชฉลาดพอที่จะไม่ตะโกนเรียกบอร์ดี้การ์ด
ถ้าเขาตะโกน ก็เท่ากับเป็นการเรียกศัตรูเข้ามาหาตัว แต่ชายหนุ่มก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมสัญญาณเตือนภัยถึงไม่ดัง
บางทีผู้บุกรุกที่อาจหาญเข้ามารายนี้จะไม่ใช่โจรกระจอก หรือระบบจะทำงานผิดพลาดไปเอง?
ความอยากรู้สงสัยประดังเข้ามาในจิตใจของวณัชและวิธีหาคำตอบที่ดีที่สุดก็คือ ไปดูด้วยตาตนเอง
วณัชยังก้าวเดินช้าๆ ไปตามชั้นล่างของตัวบ้านโดยที่ไม่เปิดไฟ เขาอาศัยความชำนาญทาง
และแสงริบหรี่จากดวงจันทร์ด้านนอก ที่สาดส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาเป็นเครื่องนำทาง ชายหนุ่ม
เดินไปยังโซฟาในห้องรับแขก ซึ่งส่วนใหญ่บอร์ดี้การ์ดของเขาจะนั่งดูโทรทัศน์ หรือไม่ก็แอบงีบ
หลับอยู่ที่นั่น แต่วันนี้คิดว่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า....
เป็นอย่างที่เขาคิดจริงๆ บนโซฟาภายในห้องรับแขกมีร่างของชายตัวใหญ่นอนเอนพิง
อยู่กับพนักเก้าอี้โซฟาตัวนุ่ม วณัชลดปืนลง ส่ายหน้าช้าๆ ถอนหายใจอย่างเอือมระอา
ในใจก็คิดไปว่า
“งานนี้คงต้องมีตัดเงินเดือนกันบ้างล่ะ”
เขาเดินเข้าไปหาบอร์ดี้การ์ดที่งีบหลับ เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นเวรของบอร์ดี้การ์ดที่ชื่อว่า
โสภน....
“คุณโสภน” วณัชยืนเรียกจากทางด้านหลังของโซฟา แต่ไม่มีเสียงตอบกลับมา
จากร่างที่นอนนิ่ง
“โสภน” วณัชย้ำคำเดิม เพิ่มระดับเสียงให้เข้มและดังขึ้น เหมือนเจ้านายดุลูกน้อง
แต่ยังไร้การตอบสนองจากร่างที่หลับ
“เฮ้!!” วณัชชักเหลืออด เอื้อมมือไปเขย่าร่างของบอร์ดี้การ์ดจอมขี้เกียจ
ร่างของโสภนส่ายเอนไปมา แล้วล้มแหมะลงกับโซฟา!!
“เฮ้ย!!” วณัชเผลอร้องด้วยความตกใจ รีบตรงเข้าไปประคองร่างของบอร์ดี้การ์ด
ทันทีที่สัมผัสตัว วณัชรู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบจากเนื้อหนังของโสภน มันเย็นเยียบราวกับ
น้ำแข็ง..ชายหนุ่มตบหน้าโสภนเบาๆ เขาหลับตานิ่งไม่กระดิกกระเดี้ย มือข้างขวายังกำปืนแน่น
“เฮ้!! โสภน!! เฮ้ย!!” ริมฝีปากซีดเซียวนั้นไม่มีวี่แววจะเผยอขยับ วณัชเอื้อมมือไปจับ
ชีพจรที่คอของโสภน แต่ปรากฏว่า......มันไม่เต้นแล้ว!! ที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้นก็คือ
มือของวณัชสัมผัสได้ถึงของเหลวบางอย่าง ที่ลื่นและคาว ด้วยแสงอันน้อยนิด เขายังไม่สามารถ
ระบุชัดได้ว่ามันคืออะไร ชายหนุ่มยกมือขึ้นมาดูใกล้ๆ
เลือด!! เลือดสีแดงสดเลอะอยู่เต็มมือของวณัช มันทะลักไหลเลอะอยู่เต็มคอของโสภน
ออกมาจากรูเล็กๆบริเวณคอของเขา รูอันเกิดจากกระสุน
“เฮ้ยยย!! ใครอยู่แถวนี้บ้างวะ!! เข้ามามาหน่อยเฮ้ยยย” วณัชตะโกนก้อง
แต่มีเพียงเสียงสะท้อนกลับไปกลับมาในความมืด ของเขาเองเท่านั้นที่ตอบ
ดวงใจของวณัชวูบหล่นถึงตาตุ่ม เขากระชับปืนในมือแน่นอีกครั้ง ประคองร่างของโสภน
ขึ้นนอนบนโซฟา แล้วย่องเดินไปตามทางเดินอันมืดทึม ชายหนุ่มรีบเดินไปยังหน้าบ้าน
ถ้าเขาเดาไม่ผิด บางทีบอร์ดี้การ์ดที่เฝ้าอยู่ด้านนอกอีกสามคนก็อาจจะ...เสร็จไปแล้ว
ในสถานการณ์เลวร้ายแบบนี้ ทางเดียวที่ทำได้ก็คือ หนี....
วณัชเตรียมทางหนีไว้เสมอ รถในโรงจอดต้องมีอย่างน้อยหนึ่งคันที่ไม่ได้ล็อค และเสียบกุญแจ
ไว้พร้อมใช้การทันที ชายหนุ่มรีบเดินยังหน้าบ้าน ทาบฝ่ามือเข้ากับแป้นแสกนหน้าประตูบ้าน
เพื่อปลดล็อคประตู
Error!! หน้าจอแสดงผลของแป้นสแกนขึ้นข้อความสีแดงโร่
“เป็นบ้าอะไรวะนี่!!” วณัชสบถ แล้วลองทาบมืออีกหลายครั้ง แต่ผลก็ยังเหมือนเดิม
มันเป็นไปได้ยังไงก็ในเมื่อ แป้นสแกนจดจำแค่เฉพาะลายมือของเขาคนเดียวเท่านั้น
เมื่อ สี่ถึงห้าชั่วโมงก่อน วณัชยังใช้แป้นสแกนเพื่อล็อคระบบของประตู แต่จู่ๆคราวนี้
มันกลับปฏิเศษลายมือของเขา
“เปล่าประโยชน์” เสียงลึกลับดังก้องขึ้นในความมืด
วณัชสะดุ้งเฮือก ความหนาวเย็นแล่นวาบผ่านสันหลัง เขาหันควับกลับมามองหาต้นเสียง
แต่สิ่งที่เห็นกลับทำให้ตกใจยิ่งกว่า มันคือ....ดวงตาสีเขียวสดคู่หนึ่งที่สว่างวาบอยู่ในความมืด
ราวกับดวงตาของสัตว์ร้าย ดวงตาคู่นั้นจ้องเขม็งมายังเขา
“เหวอ!!!” วณัชร้องด้วยความตกใจ ยกปืนขึ้นสาดกระสุนใส่ดวงตาคู่นั้นตามสัญชาติญาณ
การป้องกันตัว ประกายไฟจากปากกระบอกปืนลูกโม่แลบขึ้นแปล่บปลาบ
ปังงงง ปังง ปังง ปังง ปังงง ปังงง!!!! แกร็กๆ แกร็ก....กระสุนหมดแล้ว ดวงตาคู่นั้นก็หายไปด้วย
เช่นเดียวกัน วณัชหอบหายใจตัวโยน เหงื่อไหลออกมาจนโทรมกายซึมเปียกเต็มใบหน้า
และชุดนอน
ชายหนุ่มส่ายตาไปมาในความมืดพยายามมองหา ดวงตาคู่นั้น แต่เขาก็ไม่พบมัน...
เขาลองทาบมือลงไปบนแป้นแสกนอีกครั้ง...แต่ผลก็ยังเหมือนเดิม ประตูไม่ยอมเปิดให้เขาผ่าน
ออกไป
“บอกแล้วไงว่าเปล่าประโยชน์” เสียงลึกลับดังขึ้นอีก ดวงตาสีเขียวสว่างวูบขึ้น
ในความมืดอีกครั้ง
“กะ..แกเป็นใคร” ชายหนุ่มถามตะกุกตะกัก เผลอตัวก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว
เขายกปืนที่ไร้กระสุนเล็งไปที่มัน
ไม่มีคำตอบกลับมา แต่คราวนี้มันค่อยๆก้าวเท้าเดินออกมาจากเงามืด
แสงจันทร์สีจาง ที่ส่องลอดเข้ามาทางหน้าต่าง สาดกระทบร่างของมัน
ทำให้วณัชมองเห็นใบหน้าของมันได้ค่อนข้างชัดเจน
มันคือ ชายรูปร่างสูงโปร่ง นัยตาสีเขียวสดราวกับสัตว์ป่าของมันจ้องเขม็งไปยังชายหนุ่ม
มันค่อยๆยกปืนสีดำกระบอกโต ที่ใส่ปลอกเก็บเสียงขึ้นเล็งไปยังหัวของวณัช
“กะ...แกจะทำอะไรน่ะเฮ้ย!!”
ไร้คำเตือนใดๆ
ฟุบ!! ปืนสีดำกระบอกโตสำรอกกระสุน พุ่งตรงเข้าใส่กลางหน้าผากของวณัช
แรงประทะของกระสุนที่ปักเข้ากลางหน้าผาก ดันหัวของวณัชให้หงายลงไปด้านหลัง
ร่างของชายหนุ่มล้มลงกระแทกพื้น...แน่นิ่งไป
แค่นัดเดียวเท่านั้น
มัจจุราชตาสีเขียวมองร่างของเหยื่อด้วยสีหน้าเรียบเฉย ถึงแม้ว่ากระสุนจะเข้ากลางหน้าผาก
แต่มันก็ยังไม่ไว้ใจ ตรงเข้าไปพลิกร่างไร้วิญญาณของวณัช จับดูชีพจรบริเวณคอของเขา
เมื่อแน่ใจว่า ชีพดับสนิทแล้ว มันจึงผละออกจากร่างของเขาไป....
ตรงไปยังแป้นแสกนลายมือหน้าประตูบ้าน มันล้วงโทรศัพท์มือถือขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกง
รัวนิ้วกดเบอร์โทรลงไปอย่างรวดเร็ว ก่อนยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู รอให้ปลายทางรับ
“เรียบร้อยแล้วครับ FeniX”มันพูดเบาๆแค่ประโยคเดียว แล้วก็วางโทรศัพท์ไป
ไม่นานหลังจากนั้น หน้าจอแสดงผลของแป้นแสกนก็ปรากฏตัวอักษรสีเขียว
Pass
ประตูปลดล็อคออกเองโดยอัตโนมัติ โดยที่มันไม่ต้องทาบฝ่ามือลงไปบนแป้น
แสกนด้วยซ้ำไป ชายตาสีเขียวเดินออกจากประตูบ้าน ตรงไปตามทางเดินที่อาบไล้
ไปด้วยแสงจันทร์อย่างช้าๆ มันเดินผ่านร่างที่ไร้วิญญาณของบอร์ดี้การ์ดทั้งสามคน
ไปอย่างไม่แยแส ราวกับว่าศพของคนทั้งสามเป็นแค่เพียงเศษก้อนหินก้อนดินบนทางเดิน
ที่ก้าวข้ามไปได้โดยไม่ต้องสนใจ
มันเดินมาเรื่อยๆจนถึงประตูรั้วใหญ่ นอกประตูรั้วมีรถสีดำคันหนึ่งจอดรออยู่ ชายตาสีเขียว
เปิดประตูรั้ว พาตัวเองกลับออกมาจากบ้านที่เจ้าของเคยคิดว่า มีระบบความปลอดภัยที่เหนือชั้น
จนไม่มีใครสามารถเล็ดลอดเข้ามาได้ แต่ทำไมชายนัยตาสีเขียวคนนี้กลับเดินดุ่มๆเข้ามาสังหาร
คนในบ้านทั้งหมดได้โดยไม่โดนสัญญาณตรวจจับ?
คำตอบนั้นกำลังนิ่งยิ้มกริ่มรออยู่ในรถ....
“เรียบร้อยดีใช่ไหม” ร่างที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยเอ่ยถาม เมื่อชายตาสีเขียวขึ้นนั่งบนรถ
“ครับ” เขาตอบห้วนๆ แต่น้ำเสียงแฝงไปด้วยความเคารพผู้ถาม
“ดี” ร่างที่นั่งอยู่หลังพวกมาลัยเปรยเบาๆ ยกแขนผอมแห้งขึ้นบิดขี้เกียจ
แล้วพรมนิ้วลงไปบนเครื่องโน๊ตบุ๊คที่วางบนตัก เพื่อป้อนข้อมูลบางอย่าง
ทันใดนั้นเอง....
เสียงหวอเตือนภัยได้ดังสนั่นขึ้น ไฟฟ้าทั้งบ้านของวณัชสว่างวาบขึ้นทุกดวง
“ผมจัดการให้ระบบเตือนภัยเรียกตำรวจเรียบร้อยแล้วล่ะ” ชายที่นั่งอยู่หลงพวงมาลัยบอก
ใช้นิ้วโป้งดันแว่นที่เลื่อนลงมาให้กลับเข้าที่ ยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆ ทำให้ผมอันยุ่งเหยิงบนหัว
ยิ่งยุ่งหนักพันกันมากเข้าไปอีก
“ไปเถอะครับ FeniX” ชายนัยตาเขียวบอก
“เฮ้อ...ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องรีบ กว่าตำรวจจะมาถึงก็อีกประมาณ.....” เขาบอกหน่ายๆ
แล้วยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู
“ห้านาที เอ่อ...แล้วอีกอย่างเวลาไม่ได้ทำงาน เรียกชื่อผมเฉยๆก็ได้”
“ครับ คุณภาณุรัตน์”ชายนัยตาเขียวบอก ยิ้มน้อยๆ ดูเหมือนเขาจะดีใจ
ที่คนระดับสูงกว่าให้ความสนิทสนมด้วย
“เท่านี้ ไอ้ตัวโกงองค์กร วณัชก็ต้องเอาเงินที่โกงมาได้ไปเปลี่ยนเป็นแบงค์กงเต๊กแล้วล่ะ
มันถึงจะเอาไปใช้ในนรกได้ หึหึหึ” ชายร่างผอมบอก แสยะยิ้มสะใจ ปิดเครื่องโน๊ตบุ๊ค
แล้วโยนไปเก็บไว้เบาะหลัง
รถสีดำเคลื่อนตัวออกไปอย่างช้าๆ แล้วหายกลืนเข้าไปในความมืด
พวกเขาสองคน ไม่ทิ้งหลักฐานอะไรไว้นอกจาก....ความตาย