๑
ถ้ำปริศนา
ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีเด็กอยู่สองคนเป็นเพื่อนกันทั้งสองชื่อ ‘เอ’ และ ‘บี’ ทั้งสองชอบเรื่องลึกลับและเรื่องสยองขวัญ เพราะคิดว่าตื่นเต้นดี แต่เอและบีชอบทะเลาะกันเสมอ วันหนึ่ง เอชวนบีไปเที่ยวที่ป่าบีดีใจมากที่จะได้ไปเที่ยวและอาจจะเจอสิ่งลึกลับอะไรก็ได้ “ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้เจอกันแปดโมงนะ”เอบอก “ตกลง”บีรับคำ วันต่อมา พวกเขาก็ได้ไปเที่ยวป่าที่มีนกและสัตว์ต่างๆเอหยิบกล้องส่องทางไกลออกมาจากกระเป๋าเป้ขณะที่เขากำลังส่องนกอยู่...เขาก็เห็นอะไรบางอย่างมันดูคล้ายถ้ำและอยู่ไกลมาก“บี มาดูนี่สิ”เอว่า บีรู้สึกหงุดหงิดเพราะเขากำลังส่องนกอยู่ “มีอะไรล่ะ” บีถาม “ถ้าไม่ใช่เรื่องลึกลับละก็ฉันไม่เอานะ” “ฉันคิดว่าฉันเจอถ้ำนะ”เอบอก บีรีบคว้ากล้องส่องทางไกลออกมาดู “ว้าว!ถ้ำจริงๆด้วย”บีว่า “แต่มันอยู่ไกลมากเลยนะ”“เราลองไปดูกันมั้ย”เอถาม “ตกลง”บีตอบ ทั้งสองรีบเก็บของอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะไปยังถ้ำ เอและบีค่อยๆเดินไปเรื่อยๆจนถึงแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว “เราจะข้ามไปยังไงล่ะ”บีถาม “เราน่าจะอ้อมไปนะ”เอตอบทั้งสองเดินอ้อมแม่น้ำไปจนถึงถ้ำ“มันดูน่ากลัวจังเลย”บีบอก “ฉันไม่ค่อยอยากเข้าไปแล้ว” “แต่อย่างไรเราก็มาถึงแล้วนี่”เอว่า “บางที เราน่าจะลองเข้าไปดูนะ” ทั้งสองเข้าไปในถ้ำอย่างช้าๆด้วยความกลัว เพราะในถ้ำดูมืดมาก แต่ทั้งสองก็ยังเข้าไปข้างในถ้ำ เมื่อเข้าข้างในไปก็มีแต่ความมืดมิดไม่มีแสงสว่างใดๆทั้งสิ้นและคับแคบ พอเข้าไปลึกๆจะรู้สึกว่าถ้ำกว้างขึ้นและหนาวเย็นซึ่งไม่เหมือนกับถ้ำอื่นที่ร้อนและแคบ ด้านในมีน้ำตกขนาดใหญ่อยู่และน้ำจะไหลลงมาในแอ่งน้ำรูปกล้วย ขนาดใหญ่ “น้ำนี่แปลกดีนะเป็นสีเขียวมรกตด้วย”เอว่า เขาหิวน้ำมากจึงหยิบถ้วยในกระเป๋าเป้ออกมาแล้วใช้มันตักน้ำนั้น เมื่อถ้วยสัมผัสผิวน้ำมันก็ลายไปทันที “อะไรเนี่ย!”เอร้อง น้ำในบ่อนั้นค่อยๆเคลื่อนตัวสูงขึ้นจนกลายเป็นคลื่นยักษ์สีเขียวทันใดนั้นสีของน้ำก็กลายเป็นสีเทาเข้ม เอและบีก้าวถอยหลังอย่างช้าๆจนถึงปากถ้ำ แต่ทั้งสองรู้สึกว่าเหมือนมีกำแพงกั้นเอาไว้ไม่ให้ออกไป เมื่อดูจากที่ไกลแล้วจะเห็นว่าคลื่นยักษ์นั้นกลายเป็นสัตว์ประหลาดที่มีลักษณะคล้ายมังกรซึ่งมีความยาวที่มิอาจวัดได้ “เราต้องต้องสู้กับมันใช่มั้ย”บีถาม ทั้งสองตกอยู่ในความหวาดกลัว “งั้นเราก็ต้องหนี” ทั้งสองรีบวิ่งปร๋อไปทางด้านหลังของมังกรและวิ่งเข้าไปในถ้ำลึก แต่มังกรก็ยังตามเข้าไป บีและเอช่วยกันยกก้อนหินขนาดใหญ่แล้วขว้างใส่มังกร แต่มันกลับไม่เป็นอะไรเลย “มันแกร่งจริงๆ”บีว่า เขาหยิบของทุกอย่างออกมาจากกระเป๋าเป้แล้วเขวี้ยงใส่มังกร หนึ่งในนั้นมีกระป๋องน้ำอัดลมอยู่ด้วย เมื่อน้ำอัดลมถูกเขย่ามากๆจะทำให้เกิดฟองฟู่ออกมา และกระป๋องนั้นตกลงไปโดนหินทำให้ฝากระป๋องเปิดน้ำอัดลมจึงพุ่งออกมาใส่ตาของมังกร มันแสบตามากจึงกลับเป็นแอ่งน้ำดังเดิม เอและบีรู้สึกโล่งมากที่สามารถทำให้มังกรหนีไปได้ และเดินเข้าไปในถ้ำต่อ “แล้วเราจะออกไปอย่างไรล่ะ”บีถาม ไม่มีใครตอบคำถามนี้ดูจะยากเกินกว่าที่ผู้รอบรู้อย่างเอจะตอบได้ มันเป็นคำถามที่ไม่แน่นอนมีวิธอยู่หลากหลายวิธีในการออกจากถ้ำ แต่ถ้ำแห่งนี้ดูจะต้องใช้วิธีอื่นในการหาทางออก เพราะว่าที่นี่คือ...ถ้ำพิศวงถ้ำลึกลับที่น้อยคนนักจะรู้จักและรู้ว่ามันอยู่ที่ไหน ซึ่งคงเป็นเรื่องมหัศจรรย์มากที่เด็กธรรมดาๆสองคนจะหาทางมาที่ถ้ำแห่งนี้ได้
๒
หนทางอันมืดมิด
หลังจากทั้งสองเดินทางเข้าไปในถ้ำได้สักพักก็เริ่มเหนื่อยล้า จึงตกลงนอนพักทีนี่ “มีชอล์กมั้ย”บีถาม “มีสิ”เอตอบแล้วโยนชอล์กให้บี เขาเริ่มวาดรูปต่างๆลงบนผนังถ้ำ เช่น รูปถ้วยบะหมี่ พระจันทร์ เป็นต้น “วาดทำไมน่ะ” เอถาม “ฉันอยากดูพระจันทร์ที่โสภาแล้วก็อยากกินบะหมี่ไม่ยังอืดสักถ้วย”บีตอบ “ฉันอยากออกไปจากถ้ำนี่แล้ว” “แล้วเราก็ต้องมาเดินเรื่อยเปื่อยไปเรื่อยๆนี่นะ”เอบ่น “ก็เราไม่รู้เส้นทางนี่นา”บีสวนกลับ คืนนั้น ทั้งสองเถียงกันจนเหนื่อยและหลับไป วันต่อมาเอตื่นเป็นคนแรกเขาตื่นขึ้นมาสำรวจถ้ำเล็กน้อย แล้วก็นั่งสมาธิเพื่อจะได้ไม่คิดอะไรฟุ้งซ่านเขาคิดว่าตนเองผิดเสมอ เพราะเขาเป็นคนชวนบีมาที่ป่าแห่งนี้ และพาบีเข้ามาในถ้ำทั้งๆที่บีปฏิเสธเขา แต่หลังจากเขานั่งสมาธิแล้วเขาก็รู้สึกดีขึ้นมาทันที ไม่นานนักบีก็ตื่นขึ้นมาเขาดูงัวเงียตามปกติของคนที่เพิ่งตื่นนอนได้ไม่นาน “นี่ๆ ตอนฉันตื่นมาฉันไปสำรวจถ้ำแล้วเจออะไรแปลกๆด้วย”เอบอก จากความง่วงนอนของบีกลายเป็นความอยากรู้อยากเห็นทันที “อะไรล่ะ ที่ว่าแปลกน่ะ”บีถาม “ดูนี่สิ”เอเรียก เขาแบมือออกในมือของเขามีอัญมณีสีฟ้าอ่อน ตรงกลางของมันมีสัญลักษณ์ของลมอยู่ “สวยจริงๆ”บีหยิบมันขึ้นแล้วพลิกไปมา “เอ๊ะ! ตรงนี้มีตัวอักษรด้วย”บีร้อง เขาชูมันให้เอดู “จริงด้วย”เอทำตาโต “แล้วมันแปลว่าอะไรล่ะ” “ฉันไม่รู้” บีส่ายหน้าไปมา เขาทำอัญมณีนั้นหล่น มันกลิ้งเข้าไปในถ้ำทั้งที่พื้นไม่ใช่ทางลาด “ตามไปเร็ว!”เอตะโกน ทั้งสองวิ่งตามมันไปเรื่อยๆจนกระทั่งมันหยุดนิ่งไม่ไหวติง เบื้องหน้านั้นเป็นหน้าผาสูง ที่มีลมพัดหวือหวา“น่ากลัวจริงๆ”เอใช้มือสองข้างปิดตา เขารู้สึกหวาดๆและถอยออกห่างจากหน้าผา ข้างบนมีช่องลมเล็กๆอยู่ “นั่นเป็นทางออกแน่ๆเลย”บีคิด “แต่เราจะออกไปอย่างไรล่ะ” เขาเดินวนไปวนมาจนเอถาม “คิดอะไรอยู่น่ะ” “ฉันอยากหาวิธีที่จะขึ้นไปข้างบนได้น่ะ ไม่ว่าอย่างไรเราก็ต้องขึ้นไปให้ได้”บีบอกท่าทางเขาดูมุ่งมั่น “แต่เราไม่มีเชือก”เอพูด ทำให้กำลังใจของบีหายไปจนหมดสิ้น “อย่ามาพูดบั่นทอนกำลังใจของฉันนะ!” บีตวาด “เราต้องสู้ต่อไป!” เอได้แต่นั่งนิ่งฟังสิ่งที่บีพูด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชมตัวเอง อุปสรรคที่ผ่านมาในอดีต ฯลฯ เอนั่งฟังจนเริ่มเบื่อจนต้องตะโกนห้าม “หยุดเถอะ!ฉันไม่อยากฟังแล้ว” บีหยุดพูดแล้วเบ้ปากใส่เอ “เราจะทำอย่างไรดีล่ะ”เอถาม “เอาแบบเนื้อๆเลยนะ” “เราทำอะไรไม่ได้เลย แต่บางทีเจ้านี่อาจช่วยเราได้” บีหยิบอัญมณีสีฟ้าขึ้นมา “มันจะต้องช่วยเราได้แน่นอน” “นี่ๆถือระวังหน่อยสิ”เอเตือน แต่สายเกินไปบีทำมันตกลงไปข้างล่างหน้าผาเสียแล้ว“ไม่นะ!”เอและบีร้อง ทั้งสองพยายามที่จะคว้ามันไว้ แต่อัญมณีนั้นตกลงไปข้างล่างอย่างรวดเร็วราวกับมีอะไรถ่วงเอาไว้ “หลักฐานชิ้นสุดท้าย!หายไปเสียแล้ว”เอร้อง “เพราะนายนั่นแหละฉันบอกแล้วไงว่าให้ถือระวังๆ” “ฉันไม่ผิดนะ นายตะโกนฉันเลยตกใจจนทำหล่นต่างหาก”บีเถียง ทั้งสองทะเลาะกันอีกครั้งแต่คงไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาได้เลย ในความคิดของทั้งสองเมื่อเสียหลักฐานชิ้นสำคัญไปหนทางข้างหน้ามีแต่ความมืดมิด แต่ในความเป็นจริงแล้วยังมีแสงสว่างอยู่บ้าง...แต่คงเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง
๓
โชคดีหรือโชคร้าย
หลังจากอัญมณีสีฟ้าตกลงไปเอและบีก็ไม่ค่อยได้พูดคุยกันเลย แต่เช้าวันนี้ทั้งสองกลับเริ่มพูดคุยกัน “อาหารเช้าวันนี้คืออะไร” เอถาม “ขนมปังทาแยมสตอเบอร์รี่” บีตอบ แล้วหยิบขนมปังขึ้นมาทาแยม “ฉันเบื่อขนมปังแล้วนะ” เอบ่น “ช่วยไม่ได้นี่ เรามีอาหารอยู่แค่นี้” บีบอก “ไม่อย่างนั้นก็กินบะหมี่กรอบๆแบบยังไม่ได้ต้มไป” เอตัดสินใจหยิบถุงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปขึ้นมากินแทน “แล้วเราจะไปที่ไหนต่อล่ะ”เอถามต่อ“เราก็ต้องเข้าไปข้างในต่อ”บีตอบ เมื่อทั้งสองกินเสร็จแล้วก็เริ่มเก็บของและเดินทางต่อ จนถึงส่วนหนึ่งของถ้ำซึ่งมีสายน้ำกั้นขวางทางเดินอยู่ ทำให้เอนึกถึงมังกรตัวนั้นขึ้นมา “เราจะข้ามไปอย่างไรล่ะ” บีถาม เอหยิบของจากกระเป๋าเป้ออกมาดู “อืม..เราน่าจะใช้กิ่งไม้นะ”เอตอบ “กิ่งไม้!? เราไม่มีกิ่งไม้นะ แล้วถ้ามีจะช่วยอะไรได้ล่ะ” บีทำหน้างง “ฉันเก็บกิ่งไม้มาระหว่างทาง เราจะใช้มันมารวมกันแล้วเอาเทปมาพันไว้ แล้วเอมาต่อกันเป็นส่วนๆแล้วก็เอามาต่อกันเป็นท่อนเดียว”เออธิบาย เมื่อลงมือทำปรากฏว่าน่าจะใช้ข้ามไปได้“สำเร็จ!ลองข้ามกันดูนะ”เอดีใจ และใช้กิ่งไม้เหล่านั้นข้ามน้ำไปได้ เมื่อถึงฝั่งบีเห็นร่างของใครบางคนอยู่ข้างหน้าเขา “ใครน่ะ” บีถาม ร่างนั้นเดินเข้ามาใกล้ๆเขาและทั้งสองได้เห็นว่าร่างนั้นคือ เด็กสาวที่มีผมสีดำยาวสลวย ท่าทางอ้อนแอ้นคนหนึ่ง “เธอเป็นใคร”เอถาม “ฉันชื่อน้อยหน่า” เด็กสาวตอบ “พวกเธอทำหินก้อนนี้ตกหรือเปล่า” เธอชูก้อนหินสีฟ้าขึ้น “อัญมณี!”เอและบีร้องพร้อมกัน “เราทำมันตกหน้าผาน่ะ”“งั้นเอาคืนไป” เธอโยนอัญมณีคืนให้ทั้งสอง “มันเรียกว่าหินวายุ เมื่อเก็บมันครบทั้งสี่ธาตุ คือ ดิน น้ำ ลมและไฟ จะช่วยให้เราออกไปจากถ้ำนี้ได้” เอและบีทำหน้างง “เธอรู้ได้อย่างไร” บีถาม น้อยหน่ายักไหล่เธอไม่ตอบคำถามของเขา บีไม่ชอบให้คนไม่ตอบคำถามของเขา ส่วนเอไม่ชอบให้มีคนเก่งมากกว่าเขาซึ่งเป็นนิสัยที่ไม่ดีเอาเสียเลย “นายว่าเธอเชื่อได้ไหม”เอกระซิบถามบี “ฉันว่าไม่ แต่อย่างน้อยก็มีอะไรดีขึ้นกว่าเดิม...เล็กน้อย” บีตอบ เอเห็นด้วยว่าเธอทำให้ทั้งสองได้หินวายุกลับคืนมา แต่เธออาจเป็นปีศาปลอมตัวมาก็ได้ “ฉันไม่อยากให้เธอมาที่นี่ เธอดูแปลกที่ผ่านมังกรมาได้และเธอหาเราเจอได้อย่างไร”เอสงสัย ในขณะนั้นน้อยหน่าหยิบก้อนหินสีเขียวขึ้นมา “หินธารา...”เธอพูด “ฉันว่าสีมันควรจะสลับกับหินวายุนะ” บีแสดงความคิดเห็น “แค่ได้มาอีกก้อนก็พอแล้ว ไม่ต้องสนใจเรื่องสีหรอก”เอว่า “ฉันจะใหก้อนหินนี้มารวมกับของพวกนาย”น้อยหน่าพูดแล้วโยนหินธาราให้เอ “แล้วเธอจะออกไปอย่างไรล่ะ”บีถาม“ฉันไม่จำเป็นต้องออก”เธอตอบแล้วเดินจากไป “เจอกันพรุ่งนี้” เอและบีมองหน้ากัน “ฉันว่าเราโชคดีหรือโชคร้ายล่ะ ที่เธอมาหาเรา” เอพูด ทั้งสองมองกระเป๋าเป้ซึ่งซิปกระเป๋าถูกเปิดและอาหารหายไปจนหมดสิ้นเธอเป็นคนขโมยอาหารไปทั้งหมดโดยที่ทั้งสองไม่รู้ตัว ซึ่งกว่าจะรู้ตัวอาหารก็ถูกเอาไปเสียแล้ว “แล้วตกลเราโชคดีหรือโชคร้ายล่ะ”เอถาม “ฉันว่าเรื่องนั้นเอาไว้ก่อนดีกว่า คำถามที่ดีคือเราจะกินอะไรกันดีต่างหาก”บีตอบ “ขออะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ก้อนหิน” เอว่า แล้วทั้งสองก็เก็บกระเป๋าเป้และเริ่มเดินทางต่อไปเรื่อยๆโดยที่ไม่รู้เส้นทางและจุดหมาย
๔
อาหารพิสดาร
เมื่อถึงเวลากลางวันทั้งสองก็ได้แต่นึกถึงเรื่องอาหาร อาหาร และอาหาร โดยไม่รู้เลยว่ามีหินปฐพีแห่งธาตุดินอยู่ใกล้ๆ “เราจะกินอะไรกันดี” บีถาม “ฉันคิดว่าเราควรจะกินก้อนหิน และสิ่งที่อาหารที่หาไดใกล้ๆ”เอตอบ ทั้งสองช่วยกันเตรียมอาหารจนเสร็จ “ของฉันมีกิ้งกือ ๒ ตัว ก้อนหินขนาดเล็ก ๖ ก้อน และตัวที่คล้ายๆแมงมุมสีส้มอีก ๔ ตัว” บีบอก “ฉันมีสัตว์ประหลาดตัวเล็กคล้ายๆลิง ๕ ตาอยู่ ๘ตัว และหนอยักษ์อีก ๑๑ ตัว” เอบอก ทั้งสองช่วยกันทำอาหารโดยการหั่นพวกสัตว์เป็นชิ้นๆแล้วโยนลงไปในหม้อที่บังเอิญหยิบมาจากห้องครัวที่บ้าน “แล้วจะต้มอย่างไรล่ะ แม่บอกว่าไม่ให้กินอาหารดิบๆ”เอบ่น “ไปตักน้ำมาสิ”บีสั่ง เอจำใจไปตักน้ำมาซึ่งเป็นน้ำขุ่นมีซากศพของแมลงต่างๆลอยน้ำมา “ฉันต้องทนกินอาหารแบบนีหรือ”เอคิด เขารีบตักน้ำแล้ววิ่งกลับไป ระหว่างทางเขาเจอหินปฐพีและนำมันกลับไปด้วย เอและบีเทน้ำใสหม้อแล้วนำหินมากองรวมกัน และใช้กิ่งไม้ที่เก็บได้มาจุดไฟ “สำเร็จ!กินกันเถอะ”บีตะโกน “ฉันจะกินมันให้อร่อยได้อย่างไรล่ะ”เอถาม “คิดว่ามันเป็นอาหารที่นายชอบสิ”บีแนะนำ “มันคือสุกี้...สุกี้...สุกี้”เอคิดเขารีบตักมันเข้าปากแล้วพ่นมันออกมา “แหวะ!ฉันทำไม่ได้”เอหยิบหินเขวี้ยงลงไปในหม้อ “งั้นนายก็ไมต้องกิน อยากอดตายหือไง”บีถาม “ฉันจะกิน” เอรีบตักอาหารใส่ปากทันทีโดยไม่สนใจรสชาติของมัน“รสชาติเหมือนมะละกอราดช็อกโกแลตโรยเกลืออบเนยเลย” เอบอก “ฟังดูแย่จัง”บีพูด “ฉันเจอหินอีกก้อแล้ว”เอพูด แล้วหยิบหินปฐพีให้บีดู “เหลืออีกแค่ก้อนเดียวสินะ”บีว่า “ไปกันเถอะ แต่เอาหม้อไปล้างก่อนล่ะ”
๕
พลังของหิน
เอและบีนำหม้อไปล้างทำให้พวกเขาพบกับน้อยหน่า “เธอมาทำไม”เอถาม “หึๆฉันมาเอาคืนน่ะสิ”น้อยหน่าตอบ เธอดูไม่อ้อนแอ้นเหมือนคราวก่อนเธอดูแข็งแรงและฉลาดเฉลียว เธอโบกมือหนึ่งครั้งทำให้น้ำยกระดับสูงขึ้นและสาดเข้าใส่เอและบี “เธอทำอะไรน่ะ”เอถาม “ฉันมาเอาก้อนหินคืน” น้อยหน่าตอบ “เธอให้เรามาแล้วนี่”บีบอก “ฉันจะมาเอาคืน!” เธอตะโกน แล้วกระทืบเท้าทำให้เพดานถ้ำถล่มลงมาครืน! ครืน! ครืน! แต่เพดานกลับไม่โดนทั้งสองเลย เพราะทั้งสองมีหินปฐพีอยู่ “โอ๊ะ!”เอและบีร้อง พวกเขาปวดท้องมาก “อาหารเป็นพิษ !อาหารพิสดารน่ะ” น้อยหน่าหัวเราะ เธอกลายร่างเป็นค้างคาวยักษ์กางปีกแล้วบินหายเข้าไปในถ้ำ “ฉันปวดท้อง โอ๊ย!”เอร้อง “ฉันด้วย” บีบอก ค้างคาวยักษ์บินกลับมาอีกครั้งพร้อมกับฝูงสัตว์ประหลาดมากมาย “พวกเรา ลุย!”ค้างคาวร้อง เอและบีค่อยๆลุกขึ้นและหยิบหินทั้งสามขึ้นมา “เราจะใช้มันต่อสู้” เอหยิบหินธาราขึ้นมา “คลื่นยักษ์จงปรากฏ!” แล้วคลื่นยักษ์ก็ซัดสาดเข้าใส่กองทัพของค้างคาว “จงเกิดแผ่นดินไหว!” บีตะโกน และพื้นถ้ำแยกออกจากกันเห็นลาวาอยู่ใต้ดิน “นั่นหินอัคคีนี่!”เอร้อง ค้างคาวบินมาโฉบหินอัคคีไปได้ “พลังแห่งสายลม!” เอตะโกน ทันใดนั้นก็มีลมออกมาจากในถ้ำ ทำให้ค้างคาวไม่สามารถบินเข้าไปในถ้ำได้ เพราะมีลมต้านเอาไว้ “เอาหินอัคคีคืนมานะ” บีตะโกน“ไม่มีทาง”ค้างคาวบอก “พลังแห่งไฟจงออกมา” มีลูกไฟจำนวนมากออกมาจากรอยแยกระหว่างพื้นถ้ำ
“ช่วยด้วย!”เอและบีร้อง “เราจะทำอย่างไรดี”บีถาม “ใช้น้ำสิ! น้ำดับไฟได้นะ”เอบอก “ฮ่า!ฮ่า! น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ผู้ที่มีกำลังน้อยกว่าย่อมแพ้ผู้ที่มีกำลังมากกว่าเสมอ” ค้างคาวบอก “แต่ผู้ที่มีปัญญามากกว่าย่อมชนะกว่าผู้ที่มีกำลัง!”เอบอก เขาค่อยๆลุกขึ้นยืน มือกำหินธาราเอาไว้
๖
กล่องดนตรีสีม่วง
“คลื่นยักษ์จงปรากฏ!” เอตะโกน มีคลื่นยักษ์ออกมาแต่ยังดับไฟไม่ได้ “จะทำอย่างไรต่อล่ะ”ค้างคาวถาม “น้ำบนโลกนี้มีมาก และไม่จำเป็นต้องอยู่ใต้ดินเหมือนไฟ”เอว่า “น้ำบนโลกนี้จงมารวมตัวกัน!” ทันใดนั้นน้ำจากทั่วโลกก็มารวมกันที่ถ้ำนี้ “ช่วยด้วย!” เหล่าปีศาจร้องโหยหวนรวมถึงค้างคาวด้วย หินอัคคีจึงลอยน้ำมาหาเอและบี “เย้!ได้ครบแล้ว” ทั้งสองดีใจ ปีศาจจมอยู่ใต้น้ำแต่เอและบีไม่เป็นอะไรเลย “น่าสงสารพวกปีศาจนะ”บีบอก “สายน้ำจงกลับสู่ที่เดิม”เอตะโกน แล้วน้ำก็หายไป “ขอบคุณมาก” ปีศาจพูด “ทำไมถึงช่วยเราล่ะ” ค้างคาวถาม “ฉันให้อภัยพวกนายแล้ว อย่างน้อยพวกนายก็เอาหินมาให้พวกเรานะ”บีบอก “แล้วเราจะออกไปจากถ้ำอย่างไรล่ะ”เอถาม “เห็นแก่ที่พวกท่านช่วยเราเอาไว้เราจะบอกให้ฟัง นำหินทั้งสี่ก้อนนี้มารวมกันสิ” ค้างคาวบอก เอนำหินมาอยู่ใกล้ๆกันแล้วก็เกิดลำแสงสีรุ้งพุ่งออกมา แล้วกลายเป็นประตูสีขาวอมชมพูขึ้นมา “เข้าไปสิ”ค้างคาวบอก เอและบีเปิดประตูเข้าไปก็พบกับทุ่งหญ้าสีชมพูอ่อนๆ มีลมพัดเบาๆ ทำให้รู้สึกสบายและผ่อนคลาย “ตรงโน้นมีปราสาทด้วย” เอบอกบีแล้วชี้ไปยังปราสาทสีขาวที่ตั้งอยู่กลางทุ่งหญ้า ทั้งสองรีบวิ่งไปยังปราสาททันที ทั้งสองขึ้นบันไดไปเรื่อยๆจนถึงชั้นสูงสุดและได้พบกับหญิงชราอายุประมาณ ๘๐ ปี กำลังหันหลังให้พวกเขาอยู่ “ใครน่ะ” เอถาม หญิงชราหันกลับมาและเดินเข้ามาใกล้ทั้งสอง“เอานี่ไปสิ” เธอบอก แล้วหยิบกล่องดนตรีสีม่วงอ่อนให้ บีและเอทำหน้างง “เปิดดูสิ” หญิงชราบอก เอค่อยๆเปิด และมีเสียงเพลงออกมาพยายามขับกล่อมพวกเขาให้หลับใหล “เก็บมันเอาไว้” เธอว่า เอรับกล่องดนตรีนั้นมา แล้วทั้งสองก็หลับไป ...
บทส่งท้าย
เมื่อตื่นขึ้นมา ทั้งสองก็พบว่าตัวเองอยู่ที่บ้าน “แล้วคุณยายคนนั้นล่ะ” บีถาม “ฉันไม่รู้” เอสั่นหัว แต่กล่องดนตรีนั้นยังอยู่” เขาหยิบกล่องดนตรีให้ดู “ฉันอยากไปที่ถ้ำนั้นอีก ยังมีอีกหลายที่ที่เรายังไม่ได้ไปดู”บีว่า “เราก็ต้องนอนฟังเพลงไปน่ะสิ” เอบ่น เขาอยากกลับไปที่นั่นอีก “ถ้าเราเปิดฝากล่องล่ะ จะเกิดอะไรขึ้น”บีและเอยิ้ม และพวกเขาก็พร้อมเปิดฝากล่องขึ้น...เมื่อไรก็ได้
ข้อคิด
๑. ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสําเร็จอยู่ที่นั่น
๒. การให้อภัยผู้อื่นย่อมทำให้เกิดผลดีต่อตัวเราเอง