H.A.C.K5
สมาชิกเลขที่44889 | 24 ก.ค. 54
1.1K views
“พันธรัตน์!!!! พันธรัตน์!!!! เด็กชายพันธรัตน์” เสียงเกรี้ยวกราดเสียงหนึ่งเรียกชื่อของเขา
“อื๋อ? หา? อะไรๆ”เด็กชายผงกหัวขึ้นมาจากการฟุบหลับบนโต๊ะ ดวงตาปรือ
สติสตังค์ยังคงไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“นี่แค่คาบแรกก็หลับซะแล้วเหรอ เมื่อคืนไปทำอะไรมาหา?
ออกไปยืนนอกห้องเรียนเดี๋ยวนี้นะ”
เสียงเกรี้ยวกราดยังคงออกคำสั่งต่อไป เสียงที่เรียกชื่อของพันธรัตน์เป็นเสียงของครู
ประจำชั้นห้องที่เด็กชายเรียนอยู่ แต่จะว่าไปแล้วเรื่องที่เด็กชายโดนด่า เพราะหลับ
ในห้องเรียนนั้นเป็นเรื่องธรรมดามาก
เพราะพันธรัตน์จะตื่นก็ตอนพักเที่ยงที่ต้องไปกินข้าว และตื่นอีกทีก็กลับบ้านเลย
แต่ถึงเขาจะหลับตลอด แต่ผลการเรียนของเด็กชายก็ไม่เคยตก เขาสอบผ่านทุกวิชา
แต่เป็นการสอบผ่านแบบพอผ่าน เพราะพันธรัตน์ไม่มีเหตุผลที่จะต้องทำคะแนน
แข่งกับใคร และยิ่งกว่านั้น ถ้าขืนเด็กที่เอาแต่หลับคาห้องแบบเขา
กลับลุกขึ้นมาสอบได้คะแนนเยอะๆ มันคงแปลกพึลึก
“อื๋อ ขอนอนต่ออีกนิดนะ” พันธรัตน์พูดต่อด้วยเสียงยานคาง แล้วฟุบนอน
ลงบนโต๊ะราวกับทองไม่รู้ร้อน แต่ที่เด็กชายพูดออกไปนั้นคงเป็นเพราะ
เขายังตื่นไม่เต็มที่ ตามจริงแล้วพันธรัตน์คงจะไม่พูดแบบนี้หรอก
หากรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป
“ด.ช. พันธรัตน์!!!”คราวนี้ครูประจำชั้นตะโกนก้อง
“อ๋า ครับๆ ตื่นแล้วครับ” พันธรัตน์ลุกพรวดขึ้นมาจากโต๊ะเรียนยืนตัวตรงทันที
“ออกไปยืนนอกห้องเดี๋ยวนี้ !!!” ครูตะโกนเสร็จก็ชี้นิ้วพรวดไปทางประตู
“ครับๆ”เขารับคำแบบขอไปที พูดจบก็เดินออกไปจากห้องเรียนด้วยอาการโซเซ
เพราะความง่วงยังคงไม่หมดไป
แต่ทันใดนั้น...
โครม! ปัง! ภาพที่ทุกคนจะเห็นตามมาก็คือ ด.ช.พันธรัตน์ล้มกลิ้งลงไปนอนกับพื้นห้องเรียน
เพราะว่าความง่วงพาให้เขาเดินสะดุดขาตัวเอง
“ฮิๆฮิๆๆ ฮ่าๆๆๆ ฮิๆ” เสียงหัวเราะกระซิบกระซาบค่อยๆดังขึ้น เพราะคน 50 คน
ทั้งห้องเรียนกำลังหัวเราะเยาะเขา
“ไอ้แห้งก้นจ้ำเบ้า”เสียงเยาะเย้ยดังขึ้นตามมาทันที มันเป็นเสียงของ ไอ้จ๊อบ มันคือเด็ก
ที่ชอบคุยทับถมพันธรัตน์ ไอ้บ้านี่แหละที่เด็กชาย ส่งไวรัสไปยัดปากมัน แต่อยากจะรู้นักว่า
ถ้ามันรู้ว่า พันธรัตน์เป็นคนสั่งสอนมัน ดูซิว่ามันจะกล้าด่าเขาอีกไหม
แต่ถึงเด็กชายจะบอกไปก็ไม่มีใครเชื่อ เพราะใครบ้างเล่ามันจะเชื่อว่าเด็กอายุ 13 ปี
สามารถที่จะเขียนโปรแกรมไวรัสที่ร้ายกาจขนาดนั้นขึ้นมาได้ เขาก็เลยนิ่งเงียบซะ
ดีกว่าที่จะถูกหัวเราะเยาะ
สำหรับพันธรัตน์แล้ว การมาโรงเรียนไม่ต่างอะไรกับมาตกนรก
เพราะเด็กชายไม่มีเพื่อนเลยสักคนเดียว การจัดโต๊ะของห้องเรียนที่จัดกันเป็นคู่ๆ
แต่พันธรัตน์ก็ได้นั่งโต๊ะเดี่ยวคนเดียว เพราะว่าจำนวนนักเรียนทั้งห้องมี 50 คนแต่
เด็กชายเป็นคนที่ 51 ที่เข้ามาทีหลัง ดังนั้นเขาเลยต้องนั่งคนเดียว
ข้างๆตู้เก็บไม้กวาดหลังห้อง
สาเหตุที่ พันธรัตน์เข้าเรียนช้ากว่าเด็กปกติเป็นเพราะว่า พันธรัตน์ชักเมื่อตอนอายุ 12 ปี
เนื่องจากไข้ขึ้นสูง และเด็กชายยังมีโรคประจำตัวคือ โรคหอบหืดและภูมิแพ้ จากการชัก
ทำให้เขาต้องพักรักษาตัวนานถึง 6 เดือนจึงทำให้เข้าเรียนช้ากว่าเด็กปกติทั่วไป
และอาจจะเป็นเพราะ ความคิดที่ไม่เหมือนใครและเป็นผู้ใหญ่จนเกินตัว ทำให้เด็กชาย
ไม่สามารถคบเด็กคนอื่นได้ หรือจะพูดให้ถูกก็คือ “เขาไม่อยากที่จะคบใคร”
จนเหมือนอยู่ในโลกส่วนตัวคนเดียว
แต่เด็กชายก็ไม่เคยบอกเรื่องน่าอดสูที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ให้แม่ของตนรู้เลย
เพราะเด็กชายกลัวเธอจะกังวลใจซะเปล่าๆ พันธรัตน์คิดว่าการหาเงินและเลี้ยงเขา
มาด้วยตัวคนเดียวก็หนักหนาพอแล้ว เพราะพ่อของเด็กชายตายจากไปตั้งแต่เขายังเล็ก
เขารู้แค่ว่าพ่อชื่อ “ภานุรัตน์” และเรื่องเกี่ยวกับพ่อส่วนใหญแม่จะเป็นคนเล่าให้ฟัง
พันธรัตน์เคยเห็นหน้าพ่อของเขาก็แค่จากในรูปถ่ายเท่านั้น
พ่อเป็นชายร่างสูงโย่งสวมแว่นตา ผมสีดำสนิทบนหัวตั้งชี้ไม่เป็นทรงเหมือน
กับพันธรัตน์ พ่อที่อยู่ในรูปกำลังยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นและจริงใจ
แต่เมื่อใดก็ตามที่พันธรัตน์ถามแม่ของเขาว่า
“พ่อตายได้ยังไง หรือ พ่อหายไปไหน?”
สิ่งที่เด็กชายจะได้กลับมาแทนคำตอบก็คือ ความเงียบและน้ำตาของผู้เป็นแม่
ดังนั้นเด็กชายจึงเลี่ยงที่จะถาม แต่มีสิ่งหนึ่งที่เด็กชายรู้สึกภูมิใจมากก็คือ
เขาได้เป็นโปรแกรมเมอร์เหมือนพ่อของเขา เด็กชายคิดว่าที่เขามีสามารถนี้
ก็คงจะเป็นกรรมพันธุ์ที่สืบทอดมาจากพ่อ และบวกกับความสามารในการเรียนรู้
ของเขาเอง ที่มากว่าเด็กอื่น
เพราะเท่าที่จำความได้ หนังสือเล่มแรกที่พันธรัตน์อ่านไม่ใช่หนังสือการ์ตูน
เหมือนเด็กทั่วไป แต่มันคือหนังสือวิธีเขียนโปรแกรมโดยใช้ Visual Basic
และหนังสือเกี่ยวกับคอมมากมายที่ วางเรียงรายอยู่บนชั้นหนังสือในห้องสมุดของพ่อ
นอกจากหนังสือของพ่อแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่พ่อทิ้งไว้ให้ก็คือ
“คอมพิวเตอร์”
มันคือคอมที่พันธรัตน์ใช้อยู่ทุกวันนี้ ถึงภายนอกของมันจะดูเก่า
แต่ภายในไม่ใช่เลย ระบบประมวลผลของคอมพิวเตอร์เครื่องนี้ใหม่มาก
แถมยังไม่ใช่ระบบที่มีขายกันอยู่ตามท้องตลาดโดยทั่วไป
บางที....มันอาจจะใหม่กว่าที่มีขายตามท้องตลาดด้วยซ้ำ
พันธรัตน์เคยถามแม่ว่า..พ่อเอาคอมเครื่องนี้มาจากไหน?
และคำตอบที่เขาได้รับก็คือ แม่บอกว่าตั้งแต่เธอกับพ่อของเด็กชาย
แต่งงานกันและย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกันที่นี่....เธอก็พบคอมเครื่องนี้แล้ว
พันธรัตน์เคยพยายามจะแกะระบบประมวลผลของมันออกดูหลายครั้ง แต่ก็ไม่กล้าพอ...
เพราะเขาไม่มีความชำนาญทางด้าน Hard ware แถมชิพประมวลผลของคอมเครื่องนี้
ยังมีทีท่าว่าจะเสียทันที หากมีคนพยายามไปยุ่งกับมัน
ดังนั้นเขาจึงปล่อยเลยตามเลย ได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ
บางที...พันธรัตน์เคยคิดว่า พ่อของเขาอาจจะเป็นคนสร้างคอมเครื่องนี้
ขึ้นมาเองก็เป็นได้?
พันธรัตน์ค่อยๆพยุงร่างกายที่ผอมแห้งขึ้นมาจากพื้นห้องเรียน แล้วเดินออกจากประตูไป
ถ้าตามปกติแล้วเด็กชายจะหันไปมองหน้าไอ้ปากดี ที่ชอบเยาะเย้ยเขาด้วยแววตาขุ่นเขือง
ประมาณว่า “แ-กโดนแน่” แต่วันนี้ไม่ เด็กชายกลับลุกเดินออกไปยืนหน้าห้องซะเฉยๆ
เพราะตอนนี้ในสมองของเขามีแต่ความสงสัยเกี่ยวกับเว็บไซด์นั่น
และการที่เขาจะหลับในการเรียนคาบแรกก็ไม่แปลก เพราะว่าหลายวันมานี้
เด็กชายตามสืบเรื่องเกี่ยวกับเว็บไซด์นั่นทุกคืน ทั้งคืนจนแทบจะไม่ได้นอน
แต่ก็คว้าน้ำเหลวเขาไม่ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมอีกเลย.......แต่มันกลับทำให้
เด็กชายมั่นใจว่า องค์กรนั่นอาจจะมีอยู่จริง และกำลังปิดบังตัวตน เพื่อที่จะตรวจสอบ
อะไรบางอย่างจากเขา เพราะระยะหลังมานี่เกิดเรื่องราวแปลกๆขึ้นในชีวิตของเขามากมาย
“อื๋อ? หา? อะไรๆ”เด็กชายผงกหัวขึ้นมาจากการฟุบหลับบนโต๊ะ ดวงตาปรือ
สติสตังค์ยังคงไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“นี่แค่คาบแรกก็หลับซะแล้วเหรอ เมื่อคืนไปทำอะไรมาหา?
ออกไปยืนนอกห้องเรียนเดี๋ยวนี้นะ”
เสียงเกรี้ยวกราดยังคงออกคำสั่งต่อไป เสียงที่เรียกชื่อของพันธรัตน์เป็นเสียงของครู
ประจำชั้นห้องที่เด็กชายเรียนอยู่ แต่จะว่าไปแล้วเรื่องที่เด็กชายโดนด่า เพราะหลับ
ในห้องเรียนนั้นเป็นเรื่องธรรมดามาก
เพราะพันธรัตน์จะตื่นก็ตอนพักเที่ยงที่ต้องไปกินข้าว และตื่นอีกทีก็กลับบ้านเลย
แต่ถึงเขาจะหลับตลอด แต่ผลการเรียนของเด็กชายก็ไม่เคยตก เขาสอบผ่านทุกวิชา
แต่เป็นการสอบผ่านแบบพอผ่าน เพราะพันธรัตน์ไม่มีเหตุผลที่จะต้องทำคะแนน
แข่งกับใคร และยิ่งกว่านั้น ถ้าขืนเด็กที่เอาแต่หลับคาห้องแบบเขา
กลับลุกขึ้นมาสอบได้คะแนนเยอะๆ มันคงแปลกพึลึก
“อื๋อ ขอนอนต่ออีกนิดนะ” พันธรัตน์พูดต่อด้วยเสียงยานคาง แล้วฟุบนอน
ลงบนโต๊ะราวกับทองไม่รู้ร้อน แต่ที่เด็กชายพูดออกไปนั้นคงเป็นเพราะ
เขายังตื่นไม่เต็มที่ ตามจริงแล้วพันธรัตน์คงจะไม่พูดแบบนี้หรอก
หากรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป
“ด.ช. พันธรัตน์!!!”คราวนี้ครูประจำชั้นตะโกนก้อง
“อ๋า ครับๆ ตื่นแล้วครับ” พันธรัตน์ลุกพรวดขึ้นมาจากโต๊ะเรียนยืนตัวตรงทันที
“ออกไปยืนนอกห้องเดี๋ยวนี้ !!!” ครูตะโกนเสร็จก็ชี้นิ้วพรวดไปทางประตู
“ครับๆ”เขารับคำแบบขอไปที พูดจบก็เดินออกไปจากห้องเรียนด้วยอาการโซเซ
เพราะความง่วงยังคงไม่หมดไป
แต่ทันใดนั้น...
โครม! ปัง! ภาพที่ทุกคนจะเห็นตามมาก็คือ ด.ช.พันธรัตน์ล้มกลิ้งลงไปนอนกับพื้นห้องเรียน
เพราะว่าความง่วงพาให้เขาเดินสะดุดขาตัวเอง
“ฮิๆฮิๆๆ ฮ่าๆๆๆ ฮิๆ” เสียงหัวเราะกระซิบกระซาบค่อยๆดังขึ้น เพราะคน 50 คน
ทั้งห้องเรียนกำลังหัวเราะเยาะเขา
“ไอ้แห้งก้นจ้ำเบ้า”เสียงเยาะเย้ยดังขึ้นตามมาทันที มันเป็นเสียงของ ไอ้จ๊อบ มันคือเด็ก
ที่ชอบคุยทับถมพันธรัตน์ ไอ้บ้านี่แหละที่เด็กชาย ส่งไวรัสไปยัดปากมัน แต่อยากจะรู้นักว่า
ถ้ามันรู้ว่า พันธรัตน์เป็นคนสั่งสอนมัน ดูซิว่ามันจะกล้าด่าเขาอีกไหม
แต่ถึงเด็กชายจะบอกไปก็ไม่มีใครเชื่อ เพราะใครบ้างเล่ามันจะเชื่อว่าเด็กอายุ 13 ปี
สามารถที่จะเขียนโปรแกรมไวรัสที่ร้ายกาจขนาดนั้นขึ้นมาได้ เขาก็เลยนิ่งเงียบซะ
ดีกว่าที่จะถูกหัวเราะเยาะ
สำหรับพันธรัตน์แล้ว การมาโรงเรียนไม่ต่างอะไรกับมาตกนรก
เพราะเด็กชายไม่มีเพื่อนเลยสักคนเดียว การจัดโต๊ะของห้องเรียนที่จัดกันเป็นคู่ๆ
แต่พันธรัตน์ก็ได้นั่งโต๊ะเดี่ยวคนเดียว เพราะว่าจำนวนนักเรียนทั้งห้องมี 50 คนแต่
เด็กชายเป็นคนที่ 51 ที่เข้ามาทีหลัง ดังนั้นเขาเลยต้องนั่งคนเดียว
ข้างๆตู้เก็บไม้กวาดหลังห้อง
สาเหตุที่ พันธรัตน์เข้าเรียนช้ากว่าเด็กปกติเป็นเพราะว่า พันธรัตน์ชักเมื่อตอนอายุ 12 ปี
เนื่องจากไข้ขึ้นสูง และเด็กชายยังมีโรคประจำตัวคือ โรคหอบหืดและภูมิแพ้ จากการชัก
ทำให้เขาต้องพักรักษาตัวนานถึง 6 เดือนจึงทำให้เข้าเรียนช้ากว่าเด็กปกติทั่วไป
และอาจจะเป็นเพราะ ความคิดที่ไม่เหมือนใครและเป็นผู้ใหญ่จนเกินตัว ทำให้เด็กชาย
ไม่สามารถคบเด็กคนอื่นได้ หรือจะพูดให้ถูกก็คือ “เขาไม่อยากที่จะคบใคร”
จนเหมือนอยู่ในโลกส่วนตัวคนเดียว
แต่เด็กชายก็ไม่เคยบอกเรื่องน่าอดสูที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ให้แม่ของตนรู้เลย
เพราะเด็กชายกลัวเธอจะกังวลใจซะเปล่าๆ พันธรัตน์คิดว่าการหาเงินและเลี้ยงเขา
มาด้วยตัวคนเดียวก็หนักหนาพอแล้ว เพราะพ่อของเด็กชายตายจากไปตั้งแต่เขายังเล็ก
เขารู้แค่ว่าพ่อชื่อ “ภานุรัตน์” และเรื่องเกี่ยวกับพ่อส่วนใหญแม่จะเป็นคนเล่าให้ฟัง
พันธรัตน์เคยเห็นหน้าพ่อของเขาก็แค่จากในรูปถ่ายเท่านั้น
พ่อเป็นชายร่างสูงโย่งสวมแว่นตา ผมสีดำสนิทบนหัวตั้งชี้ไม่เป็นทรงเหมือน
กับพันธรัตน์ พ่อที่อยู่ในรูปกำลังยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นและจริงใจ
แต่เมื่อใดก็ตามที่พันธรัตน์ถามแม่ของเขาว่า
“พ่อตายได้ยังไง หรือ พ่อหายไปไหน?”
สิ่งที่เด็กชายจะได้กลับมาแทนคำตอบก็คือ ความเงียบและน้ำตาของผู้เป็นแม่
ดังนั้นเด็กชายจึงเลี่ยงที่จะถาม แต่มีสิ่งหนึ่งที่เด็กชายรู้สึกภูมิใจมากก็คือ
เขาได้เป็นโปรแกรมเมอร์เหมือนพ่อของเขา เด็กชายคิดว่าที่เขามีสามารถนี้
ก็คงจะเป็นกรรมพันธุ์ที่สืบทอดมาจากพ่อ และบวกกับความสามารในการเรียนรู้
ของเขาเอง ที่มากว่าเด็กอื่น
เพราะเท่าที่จำความได้ หนังสือเล่มแรกที่พันธรัตน์อ่านไม่ใช่หนังสือการ์ตูน
เหมือนเด็กทั่วไป แต่มันคือหนังสือวิธีเขียนโปรแกรมโดยใช้ Visual Basic
และหนังสือเกี่ยวกับคอมมากมายที่ วางเรียงรายอยู่บนชั้นหนังสือในห้องสมุดของพ่อ
นอกจากหนังสือของพ่อแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่พ่อทิ้งไว้ให้ก็คือ
“คอมพิวเตอร์”
มันคือคอมที่พันธรัตน์ใช้อยู่ทุกวันนี้ ถึงภายนอกของมันจะดูเก่า
แต่ภายในไม่ใช่เลย ระบบประมวลผลของคอมพิวเตอร์เครื่องนี้ใหม่มาก
แถมยังไม่ใช่ระบบที่มีขายกันอยู่ตามท้องตลาดโดยทั่วไป
บางที....มันอาจจะใหม่กว่าที่มีขายตามท้องตลาดด้วยซ้ำ
พันธรัตน์เคยถามแม่ว่า..พ่อเอาคอมเครื่องนี้มาจากไหน?
และคำตอบที่เขาได้รับก็คือ แม่บอกว่าตั้งแต่เธอกับพ่อของเด็กชาย
แต่งงานกันและย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกันที่นี่....เธอก็พบคอมเครื่องนี้แล้ว
พันธรัตน์เคยพยายามจะแกะระบบประมวลผลของมันออกดูหลายครั้ง แต่ก็ไม่กล้าพอ...
เพราะเขาไม่มีความชำนาญทางด้าน Hard ware แถมชิพประมวลผลของคอมเครื่องนี้
ยังมีทีท่าว่าจะเสียทันที หากมีคนพยายามไปยุ่งกับมัน
ดังนั้นเขาจึงปล่อยเลยตามเลย ได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ
บางที...พันธรัตน์เคยคิดว่า พ่อของเขาอาจจะเป็นคนสร้างคอมเครื่องนี้
ขึ้นมาเองก็เป็นได้?
พันธรัตน์ค่อยๆพยุงร่างกายที่ผอมแห้งขึ้นมาจากพื้นห้องเรียน แล้วเดินออกจากประตูไป
ถ้าตามปกติแล้วเด็กชายจะหันไปมองหน้าไอ้ปากดี ที่ชอบเยาะเย้ยเขาด้วยแววตาขุ่นเขือง
ประมาณว่า “แ-กโดนแน่” แต่วันนี้ไม่ เด็กชายกลับลุกเดินออกไปยืนหน้าห้องซะเฉยๆ
เพราะตอนนี้ในสมองของเขามีแต่ความสงสัยเกี่ยวกับเว็บไซด์นั่น
และการที่เขาจะหลับในการเรียนคาบแรกก็ไม่แปลก เพราะว่าหลายวันมานี้
เด็กชายตามสืบเรื่องเกี่ยวกับเว็บไซด์นั่นทุกคืน ทั้งคืนจนแทบจะไม่ได้นอน
แต่ก็คว้าน้ำเหลวเขาไม่ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมอีกเลย.......แต่มันกลับทำให้
เด็กชายมั่นใจว่า องค์กรนั่นอาจจะมีอยู่จริง และกำลังปิดบังตัวตน เพื่อที่จะตรวจสอบ
อะไรบางอย่างจากเขา เพราะระยะหลังมานี่เกิดเรื่องราวแปลกๆขึ้นในชีวิตของเขามากมาย