ปาริฉัตร ฮินดูเรียก “มังการา” ชื่อพื้นเมืองคือ ทองหลาง ปาริชาติ ทองบ้าน
ปาริฉัตรพฤกษชาติจากดาวดึงส์ เป็นพรรณไม้อีกชนิดหนึ่งซึ่งพระองค์นำกลับมายังโลก เมื่อคราวทรงไปเก็บพรรณไม้ในสวรรค์เพื่อปราบพยศชฎิลดาบส
และหลังจากที่พระพุทธองค์ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ปราบเดียรถีย์ (กรุณาย้อนอ่านในเอนทรี่ต้นมะม่วงค่ะ)แล้ว ทรงมีพุทธดำริถึงจารีตธรรมเนียมของบรรดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายว่า ได้ไปจำพรรษา ณ ที่ใด ทรงทราบได้ด้วยพุทธญาณว่า ที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์
ในปฐมสมโพธิมีการกล่าวถึงการจำพรรษาของพระพุทธองค์ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ไว้ว่า ได้ทรงจำพรรษาที่นั่นในพรรษาที่ 7 เพื่อโปรดพุทธมารดา ซึ่งมาจุติเป็นเทพบุตรอยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิต พระอินทร์ได้ป่าวประกาศให้หมู่เทพมาร่วมฟังธรรม ปฐมสมโพธิว่า เสียงป่าวประกาศนั้น ดังทั่วไปในสกลเทพยธานีทั้งหมื่นโยชน์
ทรงประทับที่โคนไม้ปาริฉัตร อันเป็นต้นไม้ประจำสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ อยู่ในสวนนันทวันของพระอินทร์ มีแท่นหินอยู่ใต้ต้น ปูลาดด้วยผ้ากัมพลสีแดง เรียก “บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์”
และเมื่อถึงวันออกพรรษา ยามเสด็จลงมาจากสวรรค์ ทวยเทพต่างพากันมาส่งเสด็จ พระอินทร์ได้เนรมิตบันไดอันเป็นทางเสด็จลง 3 บันไดด้วยกันคือ บันไดทองอยู่ทางขวาสำหรับหมู่เทพ บันไดเงินอยู่ทางซ้าย สำหรับท้าวมหาพรหม และบันไดแก้วมณีอยู่ตรงกลางสำหรับพระพุทธองค์
องค์อินทร์เอง อุ้มบาตรตามมาส่ง ปัญจสิงขรคนธรรพ์เทพบุตร ถือพิณบรรเลงเพลง มาตุลีเทพบุตร ถือพานดอกไม้ทิพย์ โปรยปรายนำทางเสด็จพระดำเนิน
พระบาทแรกที่ทรงเหยียบลงบนพื้นโลกนั้น ต่อมากลายเป็นสถานที่ระลึก เรียก “อจลเจดีย์” หรือรอยพระพุทธบาท
นักเขียนเรื่องราวในพุทธศาสนารุ่นต่อมาได้ถวายพระนามพระพุทธองค์ว่า “เทวาติเทพ” คือเทพที่ยิ่งใหญ่กว่าเทพทุกชั้น เพราะเทพต่างๆทั้งนั้นในอินเดียล้วนถูกนำมาเป็นลูกศิษย์พระพุทธองค์เสียหมด ( เขียนถึงตอนนี้ เลยนึกถึงคัมภีร์ปุราณะ ที่พราหมณ์แต่งขึ้นมาได้ โดยนำพระพุทธเจ้าไปแต่งเป็นปางที่ 9 ของพระนารายณ์ แสดงถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองศาสนา อันยากจะแยกกันออก และหากมองด้วยสายตาเป็นกลาง จะพบว่าต่างก็พยายามยกย่องศาสดาตนว่ายิ่งใหญ่กว่าอีกฝ่าย )
พุทธศาสนิกชนในประเทศไทย ก็ถือวันออกพรรษาเป็นวันสำคัญวันหนึ่ง มีการตักบาตรเทโว หรือ “เทโวโรหณะ”ในวันนี้
เมื่อพระพุทธองค์เสด็จลงมาถึงโลก ขณะที่ประทับยืนบนบันไดแก้ว ทรงทอดพระเนตรไปทิศเบื้องบน เทวโลกและพรหมโลกก็เปิดโล่ง ทอดพระเนตรไปยังทิศเบื้องต่ำ นิรยโลกทั้งหลายก็เปิดโล่ง ในครั้งนั้น ทั้งสวรรค์ มนุษย์ สัตว์นรก ต่างมองเห็นซึ่งกันและกันทั่วจักรวาล
ถ้าจะถอดความก็คือ พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรม มีคนมาฟังกันมากที่สุด ผู้คนมองเห็นบาปบุญคุณโทษ เห็นผลบาป ผลบุญ และความมีศีลธรรม อันทำให้คนต่างจากสัตว์เดรัจฉานนั้นเอง
.........................................................................
อ้างอิงเรื่อง และรูป
พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตตฺโต) พจนานุกรมพุทธศาสตร์ฉบับประมวลศัพท์ โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ พระนคร
เหม เวชกร สมุดภาพพระพุทธประวัติ ธรรมสภา 35/270 จรัลสนิทวงศ์ 62 บางพลัด บางกอกน้อย กรุงเทพ
เสถียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต สิ่งแรกในพระพุทธศาสนา เกษมอนันต์พริ้นติ้ง 02-809-7452-4
ศาสตรจารย์ พเยาว์ เหมือนวงษ์ญาติ ไม้พุทธประวัติ สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด้จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชวังดุสิต กรุงเทพ