มินามาตะ เรื่องราวที่มากกว่าโรคร้าย ภาค 1
สมาชิกเลขที่118626 | 03 ส.ค. 55
1K views

มินามาตะ เรื่องราวที่มากกว่าโรคร้าย ภาค 1

มองจากมุมสูงทางทิศตะวันออก มินามาตะ (Minamata) คือเมืองที่มีขนาดกะทัดรัดและสมบูรณ์แบบ ขณะที่ด้านหนึ่งเปิดโล่งออกสู่ทะเล ด้านที่เหลือก็มีแนวเทือกเขาเขียวโอบล้อมไว้ บนที่ราบผืนย่อมนั้นมีแม่น้ำไหลหล่อเลี้ยง เชื่อมต่อระหว่างภูเขากับทะเล ที่นี่ยังมีน้ำตกใหญ่และบ่อน้ำร้อนธรรมชาติ สภาพทางธรรมชาติสวยงามและทรัพยากรที่ร่ำรวย ในขณะที่วิถีชีวิตของผู้คนก็เรียบง่าย ทั้งเมืองมีประชากรเพียง 3-40,000 คนเท่านั้น บ้านเมืองจึงโปร่งโล่ง ไม่แออัด และไม่อึกทึกจอแจ สภาพของเมืองโดยทั่วไปเป็นบรรยากาศแห่งความสบายๆ สงบ และสะอาด

ที่ตั้งของเมืองมินามาตะคือเกาะคิวชู ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศญี่ปุ่น อ่าวมินามาตะเป็นส่วนหนึ่งของทะเลชิรานุย (Shiranui Sea) ทะเลตอนในที่โอบอยู่ด้วยเกาะขนาดใหญ่ 2 เกาะ คือ เกาะคิวชูและเกาะอะมาคูซะ ทะเลชิรานุยมีขนาดพอๆ กับอ่าวโตเกียว หรือประมาณ 1,200 ตร. กม. มีความยาวจากเหนือจรดใต้ 70 กิโลเมตร และจากตะวันออกถึงตะวันตก 10 กิโลเมตร มีความลึกไม่มาก บริเวณที่ลึกสุดของทะเลประมาณ 50 เมตร 

ทะเลชิรานุย หมายถึง “ทะเลแห่งลูกไฟปริศนา” เล่ากันว่า ชื่อของทะเลตั้งตามปรากฏการณ์ธรรมชาติของท้องถิ่นนี้ ที่จะมีลูกไฟจำนวนมากลอยจากท้องทะเลขึ้นสู่ฟ้าในช่วงเดือนเดียวกันของทุกปี เป็นเช่นนั้นนานมาจากอดีตจนปัจจุบัน โดยไม่มีใครรู้เลยว่าปรากฏการณ์ธรรมชาติอันลี้ลับนี้เกิดจากอะไร

ทั้งทะเลชิรานุยและอ่าวมินามาตะเป็นทะเลที่เงียบสงบ สวยงาม อุดมด้วยปลาและสัตว์น้ำหลากหลายชนิด ชาวประมงใช้เครื่องมือมากมายจับปลาที่แตกต่างกัน หรือแม้แต่ไม่ต้องมีเครื่องมือก็ยังทำมาหากินได้ ดังที่ปรากฏว่ามีชาวบ้านจำนวนหนึ่งที่จับหอยบนหาดและเก็บสาหร่ายทะเลเป็นอาชีพหลัก ในอดีตก่อนที่จะเกิดปัญหาโด่งดังระดับโลก แถบนี้จึงนับเป็นเขตอุตสาหกรรมประมงที่สำคัญเขตหนึ่งของญี่ปุ่น

ในยามนั้น โดยรอบทะเลชิรานุยมีประชากรอาศัยอยู่ราว 200,000 คน กระจายกันอยู่ตามหมู่บ้านต่างๆ ส่วนใหญ่มีอาชีพประมง เฉพาะในเมืองมินามาตะช่วงปี 2503 นั้นมีประชากรประมาณ 48,000 คน มากกว่าประชากรที่มีในปัจจุบันเสียอีก

มองมินามาตะในวันนี้ สำหรับคนที่ไม่รับรู้ต่อเรื่องราวของโรคร้ายที่มีชื่อเดียวกับเมืองก็คงไม่ต้องรู้สึกสะท้อนใจต่อความจริงที่ว่า ในความสวยงามสมบูรณ์แบบนั้นซ่อนความทุกข์ระทมอย่างสาหัสของผู้คนทั้งอดีตและปัจจุบันนับหมื่นนับพันชีวิตเอาไว้

แต่สำหรับเราที่ใช้เวลาสองเดือนกับการรับฟังเรื่องราวเกี่ยวกับโรคมินามาตะ ไปเยี่ยมเยียนครอบครัวของผู้ป่วย พบปะและแลกเปลี่ยนกับผู้คนมากมายที่ร่วมขบวนการต่อสู้ เยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งร่วมกิจกรรมหลากหลายกับกลุ่มผู้ป่วยและผู้สนับสนุนช่วยเหลือทั้งหลาย ความสะเทือนใจจู่โจมหลายครั้ง แต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นก็ใช่มีเพียงด้านโศกเศร้าร้าวราน ยังมีด้านของความซาบซึ้ง ชื่นชม และอิ่มเอมรวมอยู่ด้วย เพราะแม้ว่าผู้ป่วยหลายคนอยู่กับความทุกข์มานานกว่าครึ่งศตวรรษแล้ว โดยที่สำหรับหลายคนก็คือตลอดชีวิต แต่พวกเขาก็ยังคงต่อสู้อย่างเข้มแข็ง เช่นเดียวกับบรรดาผู้สนับสนุนช่วยเหลือที่ยังคงยืนหยัดเพื่อความเป็นธรรม ด้วยความมุ่งหวังร่วมกันที่จะให้ที่นี่เป็นแห่งสุดท้ายของโศกนาฏกรรมโลกที่เกิดจากการทำลายสิ่งแวดล้อม

Share this