ตำนานเทพเจ้ากรีก 5
สมาชิกเลขที่98286 | 03 ส.ค. 55
8.9K views

โพรเมทิอัส พระบิดาแห่งมนุษยชาติ

 

       หากไม่พูดถึงเทพเจ้าพระองค์คงน่าเสียดาย ถึงท่านจะไม่ใช่เทพเจ้าในวงศ์วานเทพเจ้ารุ่นใหม่ ซึ่งท่านนั้นกำเนิดในเชื้อสายไททัน แต่กลับประกอบคุณงามความดีไว้ในโลกาอย่างมหาศาล หากไม่มีพระองค์แล้ว มนุษย์หรือคนอย่างพวกเราคงไม่มีในโลกใบนี้แน่ รวมถึงสรรพสัตว์ต่างๆอีกด้วย พระองค์ทรงเป็นพระโอรสในเทพไออาเพทัส ซึ่งเป็นลุงแห่งเทพซีอุส เท่ากับว่าเทพโพรเมทิอัสเป็นลูกพี่ลูกน้องกับเทพซีอุส ด้วยผลในสงครามเทพไททันที่จะโค่นอำนาจทวงบัลลังก์คืนให้เทพโครนัสนั้น เทพโพรเมทิอัส กับ เทพเอพิเมทิอัสผู้เป็นน้องชาย ได้เข้าข้างและสนับสนุนฝ่ายเทพซีอุส ผลออกมาว่าเทพไททันที่ทำสงครามเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ และลงทัณฑ์จองจำในทาทารัสตลอดกาล และเทพแอตลาสผู้เป็นแม่ทัพและเป็นพี่ชายแห่งเทพโพรเมทิอัสด้วยนั้น ถูกลงโทษให้แบกสวรรค์ไปตลอดกาล ส่วนเทพโพรเมทิอัส กับ เทพเอพิเมทิอัส ได้รับการปูนบำเหน็จจากเทพซีอุสอย่างดี และได้รับความเอ็นดูจากเทพซีอุสเป็นอันมาก ถึงกับให้ไว้วางพระทัยรับหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่คือ สร้างสิ่งมีชีิวิตบนโลก โดยเทพซีอุสมอบพลังพรวิเศษและพลังชีวิตให้เทพโพรเมทิอัส กับ เทพเอพิเมทิอัส ไป 

      พอเทพทั้งสองลงมาจากโอลิมปัส ก็ไม่เห็นสิ่งใดนอกจากป่าไม้ภูเขาและลำธาร เทพโพรเมทิอัสทรงเป็นเทพที่ทำอะไำรมักจะคิดก่อนทำ จึงนำดินเหนียวมาปั้นเป็นรูปสัตว์ต่างๆ ไำม่ว่า สิงห์ เสือ กระทิง แรด สัตว์บก สัตว์น้ำ แมลง สัตว์เลื้อนคลาน สัตว์ครึ่งบกครึ่้งน้ำ เป็นต้น และใส่พลังชีวิตลงไป ทำให้ดินเหนียวที่เป็นรูปสัตว์ต่างๆมีชีวิตขึ้นมา เทพเอพิเมทิอัส เป็นเทพที่มักจะทำอะไรก่อนคิดก็เลยประทานพรของเทพซีอุสที่ให้มานั่น ใส่ไปตามสัตว์ต่างๆอย่างเพลิดเพลิน เช่น ประทานพรให้สิงโตสามารถล่าสัตว์และเป็นเจ้าป่า ประทานพรให้หนอนกลายเป็นผีเสื้อ ประทานพรให้กระต่ายวิ่งกระโดดเร็ว ประทานพรให้ปลาสามารถว่ายน้ำและอาศัยอยู่ในน้ำ เป็นต้น แต่พอเทพโพรเมทิอัสเดินทางมาถึงงานชิ้นสุดท้าย พระองค์ปั้นรูปดินเหนียวเป็นรูปมนุษย์เพศชาย โดยมีลักษณะเหมือนพระองค์และเทพเจ้าผู้ชาย พระองค์ประทานชีวิตให้ แต่พรของเทพซีอุสหมดไปเสียแล้ว เทพีอธีน่าทรงลงมาดูงานแทนเทพซีอุส เมื่อเห็นผลงานของเทพโพรเมทิอัส พระองค์ทรงพอพระทัยจึงมอบพรวิเศษให้มนุษย์มีความคิดเป็นของตนเอง และสามารถเอาชนะเหนือสรรพสัตว์ทั้งปวง และเทพโพรเมทิอัสก็กลัวว่ามนุษย์ที่พระองค์สร้างนั้นจะกลัวกับบรรดาสัตว์ร้ายต่างๆ พระองค์จึงขึ้นไปบนสวรรค์และขโมยไฟที่ดวงตะวันแห่งเทพอะพอลโลมามอบให้แก่มวลมนุษย์ (ชาวกรีกเชื่อว่ามนุษย์ในกลุ่มแรกที่เทพโพรเมทิอัสสร้างนั้นเป็นเพศชายเท่านั้นยังไม่มีเพศหญิง)

           เทพซีอุสทรงพระทัยกับผลงานที่พระองค์มอบให้เืทพโพรเมทิอัสทำนั้น พระองค์จึงกล่าวกับเทพโพรเมทิอัส มนุษย์ควรทำการถวายเครื่องสักการะแก่เทพเ้จ้าด้วย เทพโพรเมทิอัสยอมรับพระโองการ จึงจับการล้มวัวตัวหนึ่งและแร่เอาเครื่องใน เนื้อ และกระดูกมาออกแบ่งเป็น 2 กอง โดยเอาเนื้อไว้อีกกองแล้วเอาเครื่องในปิดไว้ และอีกกองมีแต่โครงกระดูกแต่เอาไขมันของวัวปิดไว้ เทพซีอุสลงมารับเครื่องสักการะพระองค์กลับเลือกกองที่มีโครงกระดูกโดยไม่รู้ว่าเป็นแผนของเทพโพรเมทิอัส ส่วนกองที่เป็นเนื้อและเครื่องในนั้นมนุษย์ก็นำไปแบ่งกันกิน เทพซีอุสทรงกริ้วมากจึงให้เทพเจ้าแห่งลมพัดให้ไฟของมนุษย์ดับ แต่เทพโพรเมทิอัสก็มีความมานะเพื่อที่จะปกป้องลูกหลานที่พระองค์สร้าง พระองค์ก็แอบขึ้นไปขโมไฟสวรรค์ที่มิอาจจะมีสิ่งใดดับมันได้ มามอบให้แก่มนุษย์ เทพซีอุสกริ้วเป็นทวีคูณจึงจับเทพโพรเมทิอัสตรึงไว้กับเขาคอเคซัส และพระองค์ต้องทรมานเพราะจะมีนกเหยี่ยวบินมากินตับของเทพโพรเมอิทัสและพระองค์จะต้องตายและฟื้นในเช้าวันใหม่และนกเหยี่ยวจะบินมากินตับของพระองค์เช่นนี้ไปตลอดกาล แต่สุดท้ายได้รับความช่วยเหลือจากเฮอร์คิวลิสวีรบุรุษแห่งกรีก ซึ่งเฮอร์คิวลิสได้สังหารนกเหยี่ยวนั้นจนตาย และปลดปล่อยเทพโพรเมทิอัสจากบ่วงเครื่องพันธนาการ (การที่เฮอร์คิวลิสปลดปล่อยเทพโพรเมทิอัสได้เพราะครั้งสงครามเทพเจ้ากับอสูร ฝ่ายเทพเจ้าได้ชัยชนะได้ก็เพราะเฮอร์คิวลิสผู้นี้เละ)  

         มีบางตำนานว่าคามจริงการกระทำของเทพโพรเมทิอัสที่ทำทุกอย่างเพื่อมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นการหลอกให้พระองค์เลือกเครื่องสักการะที่มีแต่โครงกระดูกและไขมัน หรือ ขโมยไฟสวรรค์ ก็ตาม พระองค์มิได้ถือโกรธ แต่มีความที่มันลึกซึ้งกว่านั้นคือ เทพโพรเมทิอัสรู้ความลับที่เทพไททันรอคอยมานาน คือ เวรกรรมที่เทพเจ้ารุ่นใหม่จะได้รับคือ กรรมแห่งการพ่อถูกลูกโค่นบัลลังก์ ซึ่งเทพซีอุสรู้ว่าเทพโพรเมทิอัสรู้คำทำนายนี้ จึงต้องการลงทัณฑ์เพื่อให้เทพโพรเมทิอัสบอกคำทำนายนั้นมา แต่เทพโพรเมทิอัสกลับไม่บอก ถึงพระองค์จะให้เทพเฮอร์เมสไปแกล้งหลอกถามแล้วก็ตาม เทพโพรเมทิอัสก็ยังไม่หลงกล 

   ซึ่งความลับของคำทำนายนั้นมีอยู่ว่า หากเทพซีอุส ได้เทพีทีมิส ซึ่งเป็นนางพรายทะเลผู้งดงามมากเลยทีเดียวมาเป็นพระชายา พระโอรสที่เกิดจากพระเทพีจะโค่นล้มบัลลังก์แห่งเทพซีอุสลง แต่เป็นความโชคดีของเทพเจ้ารุ่นใหม่ ที่เทพซีอุสมิได้เทพีทีมิสเป็นพระชายา แต่พระเทพีกลับไปอภิเษกเป็นราชินีแห่งท้าวพีลูส และมีพระโอรส นามว่า"อะคิลลิส" ซึ่งเป็นวีรบุรุษแห่งสงครามทรอยที่ลือเลือง

แพนโดร่า (Pandora) กล่องแห่งความลับ

 

แพนโดร่า เธอมาพร้อมกับความอยากรู้อยากเห็น

       ครั้งที่แล้วได้กล่าวถึงการกำเนิดมนุษย์ว่ามนุษย์นั้นชาวกรีก เชื่อว่ามนุษย์ถูกสร้างโดยเทพเจ้านามว่า "โพรเมทิอัส" ซึ่งมนุษย์ในยุคแรกๆนั้น เป็นเพศชาย ซึ่งต่อมาเป็นผลงานที่ทวยเทพพอพระทัย เทพซีอุสได้ให้เทพโพรเมทิอัสสอนให้มนุษย์ทำการเคารพในเทพเจ้าและทำเครื่องสักการะบูชา เทพโพรเมทิอัสคิดว่าหากมนุษย์ทำการบูชาสังเวยด้วยเนื้อสัตว์ที่บริโภคได้ ถวายแด่เทพเจ้าจนหมดแล้วจะไม่มีอะไรให้มนุษย์กิน เทพโำพรเมทิอัสจึงสอนเล่ห์โกงแก่มนุษย์ โดยแบ่งวัวเป็นสองกอง กองหนึ่งเป็นโครงกระดูกและเอาไขมันปิดไว้ ส่วนกองที่สองเป็นเนื้อล้วนๆแต่เอาเครื่องในปิดไว้ เทพซีอุสหลงเทพเลือกกองที่มีโครงกระดูกเพราะคิดว่าภายใต้กองไขมันจะเป็นเนื้อวัว แต่ปรากฏว่าเป็นโครงกระดูก ซึ่งเทพซีอุสไม่พอพระทัยและพิโรธเทพโพรเมทิอัสเป็นอันมาก ไหนจะเรื่องที่ขโมยไฟสวรรค์มาอีก พระองค์จึงจับเทพโพรเมทิอัสตรึงๆไว้กับเทือกเขาคอเคซัค และลงโทษให้เหยี่ยวบินมาจิบกินตับของเทพโพรเมทิอัสทุกวัน พระองค์จะตายและฟื้นในเช้าวันใหม่ต่อไป 

         เมื่อเทพซีอุสลงทัณฑ์เทพโพรเมทิอัส พระองค์ยังมาเล่นงานมนุษย์อีกด้วยข้อหาสมรู้ร่วมคิดหลอกลวงพระองค์ พระองค์จึงรวมตัวกับเหล่าเทพเจ้า สร้างมนุษย์เพศหญิงขึ้นมา นามว่า "แพนโดร่า" โดยมีเหล่าเทพเจ้าช่วยกันต่อไปนี้

   - เทพฮีฟีสทัส ปั้นรูปมนุษย์เลียนแบบเทพเจ้าเพศหญิง

   - เทพีอธีน่า ประทานพร เรื่องสติปัญญาความเฉลียวฉลาด

   - เทพีอะโฟรไดทิ ประทานเสน่ห์และความงามให้

   - เทพเฮอร์เมส ประทานชีวิต

   - เทพซีอุส ประทานความอยากรู้อยากเห็น 

     เมื่อทุกอย่างเสร็จสมบูรณ์แล้ว มนุษย์เพศหญิงคนแรกปรากฏแล้ว เทพซีอุสทรงพอพระทัย และมอบกล่องใบหนึ่งมอบแก่แพนโดร่า และย้ำว่า ห้ามเปิดกล่องใบนี้เป็นอันขาด และเทพเฮอร์เมสก็นำ แพนโดร่ามายังโลก และมอบนางให้เป็นชายาเทพเอพิเมทิอัส โดยว่าเป็นของขวัญของเทพซีอุส เทพเอพิเมทิอัสทรงรับไว้ด้วยดี ทั้งๆที่พระองค์เคยถูกเทพโพรเมทิอัสเตือนว่าห้ามรับของจากเ้ทพเจ้าเป็นอันขาด ซึ่งเทพเอพิเมทิอัสก็ทรงลืมเพราะหลงในเสน่ห์และความงามของแพนโดร่า ซึ่งทั้งสองก็ครองรักกันจนมีบุตรมากมายเป็นมนุษย์รุ่นต่อๆมาทั้งชายและหญิง และขยายลูกหลานมนุษย์ไปเรื่อยๆ 

       ในที่สุดวันที่ทวยเทพรอคอยก็มาถึง เมื่อความอยากรู้อยากเห็นในตัวแพนโดร่าเริ่มกำเริ่มรุนแรงขึ้น นางสงสัยในกล่องที่มาพร้อมกับนาง นางจึงปิดมันออกด้วยความสงสัย นางฝ่าฝืนคำสั่งแห่งเทพซีอุส นางเตะฝากล่องและปิดมันออกมา นางคิดว่าอาจจะเป็นของที่มีค่าจากสวรรค์ แต่ที่แท้กลับเป็นความหายนะและความวิบัติที่เทพเจ้าประทานมาในกล่อง ความเกลียดชัง ความโกรธ ความอาฆาตแค้น ความโลภ ความหลง โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ และความตาย มันพุ่งกระจายไปทั่วและเข้าไปยังมนุษย์ทุกคน จนมนุษย์กลายเป็นคนเลว ที่ทั้งมีความโกรธ เกลียด แค้น อาฆาต และมีโรคภัยไข้เจ็บและจบด้วยความตาย…. แต่แพนโดร่ายังดีที่ปิดกล่องนั้นทัน ซึ่งเขาว่าภายในกล่องนั้นยังมีบางสิ่งที่มนุษย์ยังคงหลงเหลืออยู่ ซึ่งในกล่องนั้นมีความสิ้นหวังที่ยังไม่ได้ออกมา มนุษย์เราจึงยังคงดำรงอยู่ได้เพราะความหวังที่จะดำรงชีพไปในทุกๆวันนี้…

เฮอร์คิวลิส (hercules) วีรบุรุษแห่งกรีก ที่มีพละกำลังมหาศาล

 

       Hercules เป็นวีรบุรุษของชาวกรีก ที่แข็งแรงที่สุดในโลก และเขาก็มีความมั่นใจ ในความแข็งแกร่ง ของร่างกายของตนเอง และประเมินความสามารถของเขา เทียบเท่ากับเทพเจ้าเลยทีเดียว ซึ่งก็ไม่ได้เป็นการประมาณตน ไว้สูงเกินไปเลย เพราะเขาได้ช่วยเทพเจ้า ในการเอาชนะ Giants เขาบ้าบิ่นถึงขนาด ท้าทายเทพ Apollo เพื่อที่จะบังคับ เอาคำตอบจาก Oracle ของ Apollo

อย่างไรก็ตาม เขาไม่ใช่คนที่ฉลาดเท่าไรนัก เป็นคนที่มีอารมณ์ร้อน เขามักจะระเบิดโทสะ ลงบนผู้บริสุทธิ์ และด้วยความที่เขามีพละกำลังมหาศาล ทำให้รุนแรงถึงชีวิต แต่เมื่อเขารู้สึกตัว เขาก็จะรู้สึกเสียใจอย่างมาก และรับการลงโทษทุกชนิด ไม่มีใครสามารถลงโทษเขาได ้ถ้าเขาไม่เต็มใจ และก็ไม่มีใครสามารถทนทาน การลงโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างเขาได้

ตลอดชีวิตของวีรบุรุษคนนี้ หมดไปกับการไถ่บาป ที่เขาได้ทำครั้งแล้วครั้งเล่า และเขาก็รับการลงโทษ ด้วยความเต็มใจ ถึงแม้ว่า จะเป็นงานที่ไม่มีทางสำเร็จก็ตาม หลายครั้งที่เขาลงโทษตัวเอง ขณะที่คนอื่นๆ ปฏิเสธที่จะลงโทษเขา ความยิ่งใหญ่ของวีรบุรุษคนนี้ ไม่ได้อยู่ที่ความสามารถ ในการประกอบกิจ ที่ยากลำบากทั้งหลาย ได้ด้วยพละกำลังมหาศาล แต่อยู่ที่ความดีของจิตวิญญาณ ที่มีความสำนึกผิด ในบาปที่เขาได้ก่อขึ้น และความเต็มใจ ในการที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อลบล้างความผิดนั้น

ชีวิตของ Hercules

Hercules เกิดใน Thebes (ทีบีส) เป็นบุตรของ Zeus ที่เกิดจาก Alcmene (อัลค์-มี-นี) จำแลงมาในรูปของสามีของเธอ Amphitryon (แอมฟิทรีออน) นายพลของ Thebes ระหว่างที่กำลังออกรบ Alcmene มีบุตรชายสองคน Iphicles และ Hercules

ชื่อกรีกของ Hercules คือ Herakles ซึ่งแปลว่าของขวัญล้ำค่าจาก Hera (แต่เนื่องจากชื่อ Hercules เป็นที่รู้จักกันทั่วไป มากกว่าชื่อกรีก จึงใช้ชื่อละตินเฉพาะชื่อนี้ แต่ตัวละครอื่นๆ มีชื่อเป็นกรีกทั้งหมด) ยิ่งทำให้ Hera โกรธมากยิ่งขึ้น และตั้งใจจะฆ่า Hercules ให้ได้

เมื่อ Hercules อายุเพียง 1 ปี Hera ส่งงูตัวมหึมาเข้ามาที่ห้องเด็ก เมื่อเด็กๆ ตื่น Iphicles ก็หวีดร้อง ในขณะที่ Hercules บีบคองูมือข้างละตัว เมื่อพ่อแม่ได้ยินเสียง ก็รีบวิ่งมาที่ห้องเด็ก ก็เห็น Hercules นั่งหัวเราะ กำมือแน่นอยู่รอบคองู ที่หมดพิษสง และยื่นซากงูให้ Amphitryon อย่างร่าเริง ทำให้ทุกคนรับรู้ว่า ชะตาชีวิตของเด็กคนนี้ ถูกลิขิตมาให้เป็นคนสำคัญในอนาคต

โหรตาบอดที่มีชื่อเสียงของ Thebes ชื่อ Teiresias กล่าวว่า “ข้าขอสาบานว่า ทั้งลูกชายของเจ้า และเจ้าผู้ให้กำเนิด จะกลายเป็นตำนานเล่าขานทั่วไป ของชนชาวกรีก บุตรของเจ้าจะเป็นวีรบุรุษ ของมวลมนุษยชาติ”

Hercules ได้รับการอบรม ตามอย่างที่กุลบุตรชาวกรีกจะได้รับ แต่เขาไม่ชอบวิชาดนตรี เคยถึงกับลงมือเกินกว่าเหต ุทำให้ครูสอนเสียชีวิต ถึงแม้ว่าเขาจะเสียใจมากเพียงไร เขาก็ยังทำผิดซ้ำซาก อย่างไรก็ตาม วิชาอื่นๆ ที่ Hercules ชอบ เช่น วิชาดาบ, วิชามวยปล้ำ, วิชาขับรถเทียมม้า อาจารย์ที่สอนวิชาเหล่านี้ ก็มีชีวิตอยู่เป็นปกติสุข

เมื่อเขาเติบโตเต็มที่ มีอายุได้ 18 ปี เขาก็สามารถ ฆ่าสิงโตได้เพียงลำพัง หลังจากนั้น เขาสามารถพิชิตพวก Minyans ที่เป็นเมืองที่บรรดา ชาวเมืองทีบีส ต้องส่งส่วยให้ เป็นประจำได้สำเร็จ จากงานนี้เอง เขาได้แต่งงานกับเจ้าหญิง Megara เป็นรางวัล เขาเป็นสามีที่ดี และพ่อที่ดีของลูกๆ

เมื่อเขามีบุตรคนที่สาม Hera ได้ส่งความบ้าคลั่งมาหาเขา ทำให้เขาฆ่าลูกๆ รวมทั้ง Megara ที่พยายามปกป้อง ลูกคนสุดท้อง เมื่อเขาได้สติ เขาก็พบห้องโถงที่เตมไปด้วยคราบเลือด พร้อมกับร่างกายที่ไร้วิญญาณ ของลูกและภริยาของเขา Hercules ยืนนิ่งมีแต่เพียง Amphitryon ที่กล้าเข้ามาหาเขา และเล่าความจริงที่เกิดขึ้นให้ฟัง

เมื่อเขาได้ทราบเรื่องทั้งหมด Hercules จึงกล่าวว่า “และข้าเป็นคนฆ่าผู้เป็นที่รักของข้าเอง” ถึงแม้ Amphitryon จะพยายามอธิบายว่า เป็นเพราะ Hercules ขาดสติไปชั่วขณะ เขาก็ไม่สามารถที่จะทนดู โดยที่ไม่ลงโทษตัวเองได้ “ข้าสมควรจะชดใช้การตายเหล่านี้ด้วยชีวิตของข้าเอง”

ก่อนที่ Hercules จะด่วนฆ่าตัวตายไปนั้น ก็พลันเกิดปาฏิหาริย์ขึ้น ปาฏิหาริย์นี้ไม่ได้เกิดจากเทพเจ้า ลงมาจากสวรรค์ แต่เป็นปาฏิหาริย์ ที่เกิดจากความเป็นเพื่อน Theseus ยืนอยู่เบื้องหน้าของเขา ยื่นมือออกมาจับมือที่เปื้อนเลือดของ Hercules ไว้ (ซึ่งตามความเชื่อของชาวกรีกทั่วไปว่า Theseus จะกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด และมีส่วนในการกระทำของ Hercules ด้วย)

Theseus กล่าวกับ Hercules ว่า “อย่าตกใจไปเลย อย่าห้ามไม่ให้ข้าได้มีส่วนร่วม ในการกระทำทุกอย่างของเจ้า ความเลวร้ายที่ข้าได้แบ่งเบามาจากเจ้านั้น ไม่ใช่ความเลวร้ายสำหรับข้าเลย และฟังทางนี้ มนุษย์ที่มีจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ สามารถทนแรงกระทำจากสวรรค์ได้ โดยที่ไม่กระพริบตาด้วยซ้ำ”

Hercules “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าได้ทำอะไรลงไป”

Theseus “ข้ารู้ ความทุกข์ของท่าน แม้แต่สวรรค์ยังรับรู้”

Hercules “ถ้าเช่นนั้นปล่อยให้ข้าได้ตายเถิด”

Theseus “วีรบุรุษไม่เอ่ยคำเช่นนั้นหรอก”

Hercules “นอกจากตายแล้วข้าจะทำอะไรได้” Hercules สำลักถ้อยคำออกมา “ถ้าอยู่หมู่ชนจะติเตียน กล่าวขานว่า ‘คนนั้นนั่นแล ที่ฆ่าทั้งเมียและลูกของเขา’ ข้ามีตราบาปไปชั่วชีวิต”

Theseus “แม้จะเป็นเช่นนั้นเจ้าก็ควรต้องทนทุกข์ และเข้มแข็ง มาอยู่เอเธนส์กับข้า ใช้ของร่วมกับข้า ใช้ชีวิตกับข้า จากการที่ได้ช่วยเจ้า เจ้าจะตอบแทนให้แก่ข้า และเมืองเอเธนส์อย่างใหญ่หลวงนัก”

Hercules นิ่งไปพักหนึ่งแล้วจึงตอบถ้อยอย่างช้าๆ ว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ปล่อยให้มันเป็นไปเถิด ข้าจะเข้มแข็งและรอคอยความตาย”

หลังจากนั้นทั้งสองก็ไปยังเอเธนส์ ชาวเมืองเอเธนส์เห็นชอบกับ Theseus ที่ว่า Hercules ไม่สมควรต้องรับผิดจากการกระทำที่เขาไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำว่าได้ทำอะไรลงไป แต่ Hercules เองที่ไม่เข้าใจเรื่องเช่นนั้น เขามีแต่อารมณ์ที่เป็นใหญ่ เขาจึงอยู่เอเธนส์ได้ไม่นานนัก

แล้วเขาก็ไปที่ Delphi เพื่อปรึกษา Oracle (ผู้มีญาณวิเศษ เป็นสื่อกลางระหว่างมนุษย์กับเทพเจ้า) ของเทพ Apollo ซึ่ง Oracle ก็มองเรื่องที่เกิดขึ้น ในแง่เดียวกันกับที่เขาคิด เพื่อล้างมลทินของเขา Oracle บอกว่า เขาจะต้องหาญาติของเขา Eurystheus (ยู-ริส-ทูส) กษัตริย์ของ Mycenae (หรือบางเรื่องก็ชื่อ Tiryns) และรับใช้ทุกอย่างที่ Eurystheus สั่ง

Eurystheus เป็นคนทั้งโง่และหยาบช้า เมื่อ Hercules มาปวารณาตัวเป็นทาส Eurystheus ก็สั่งงานให้ Hercules ทำภารกิจที่เรียกว่า “แรงงานของ Hercules” (The labours of Hercules) แต่ละงาน ล้วนแล้วแต่เป็นงานที่ทำให้สำเร็จได้ยาก ซึ่งมีทั้งหมด 12 งาน ได้แก่

การล่าสิงโตเมืองนีเมีย (The Nemean Lion)

การปราบ Hydra (The Lernean Hydra)

การพากวางแดง (The Hind of Ceryneia)

การพาหมูป่ากลับมาเป็นๆ (The Erymanthian Boar)

การทำความสะอาดคอกม้าเมือง Augeas (The Augean Stables clean up)

การขับไล่นกที่เมือง Stymphalos (The Stymphalian Birds)

การปราบวัวกระทิงเมือง Crete (The Cretan Bull)

การพาม้ากินคนของ Diomedes กลับมา (The Man-Eating Horses of Diomedes)

การนำเอาเข็มขัดของ Hippolyte มา (Hippolyte’s Belt)

การพาเอาคอกปศุสัตว์ของ Geryon กลับมา (The Cattle of Geryon)

การนำเอาแอปเปิลของ Hesperides (The Apples of the Hesperides)

การพาเอา Ceberus กลับมาเป็น ๆ (Ceberus)

หลังจากที่เขาได้ทำงานทั้ง 12 ชิ้นเรียบร้อย ชีวิตเขาก็ไม่ค่อยสงบสุข เพราะเขามักจะก่อเรื่องขึ้น และพยายามไถ่โทษตัวเองอยู่เสมอ จนกระทั่งได้พบกับ Deianira Hercules ได้ต่อสู้กับ Achelous เทพแห่งแม่น้ำ เพื่อ Deianira

ในการต่อสู้ ไม่ว่า Achelous จะพยายามใช้เหตุผลหว่านล้อมเท่าใด Hercules ได้แต่บอกว่า “ข้ามีพละกำลังที่แข็งแกร่งกว่าฝีปาก สู้กันแล้วข้าจะแสดงให้เห็นว่า ข้าชนะในการต่อสู้ ส่วนเจ้าก็อาจจะพูดชนะ” Achelous ได้จำแลงเป็นวัวกระทิงในการต่อสู้ และโจมตีอย่างรุนแรง ในการต่อสู้ Hercules ได้หักเขาข้างหนึ่งซึ่งกลายเป็น Cornucopia เขาแห่งความอุดมสมบูรณ์ และได้ชัยชนะ ทำให้ Hercules ได้แต่งงานกับ Deianira

หลังจากที่ Hercules ได้ไปรบเพื่อล้างแค้นกษัตริย์ Eurytus (ยุ-ริ-ทัส) ที่ทำให้เขาต้องถูกลงโทษจาก Zeus ให้ไปเป็นทาสของ Omphale จากการฆ่าลูกชายของยูริทัส จากชัยชนะนี้ เขาได้เชลยศึกเป็นเจ้าหญิง Iole ทำให้ Deianira เกิดความริษยา จึงทอเสื้อคลุมที่ลงมนต์จากเลือดของ Nessus คนครึ่งม้า ที่บอกว่า เลือดของเขาจะใช้เป็นมนต์เสน่ห์ เมื่อ Hercules คิดนอกใจ แต่เนื่องจาก Nessus ตายด้วยศรอาบเลือด Hydra ของ Hercules จึงทำให้เลือดมีพิษด้วย เมื่อ Hercules ใส่เสื้อดังกล่าว จึงร้อนเหมือนถูกไฟเผา แม้จะถอดออกแล้วก็ตาม Deianira ฆ่าตัวตายด้วยสำนึกผิด

ถ้าเป็นคนธรรมดาอาจจะตายด้วยพิษ ที่อยู่ในเสื้อ แต่ Hercules มีชีวิตอยู่ด้วยความทรมาน เขาจึงขอให้ก่อกองไฟขึ้นที่ภูเขา Oeta เมื่อเขาทราบว่า เขาจะได้ตายตามปรารถนา เขาก็รู้สึกเป็นสุขจึงเอ่ยปากว่า “โอ นี่คือการพัก นี่คือจุดจบ” เขาได้ขอให้ Philotetes เป็นคนจุดไฟ และมอบธนูและลูกธนู ซึ่งได้ถูกใช้ในสงครามกรุงทรอยในภายหลัง เมื่อไฟลุกท่วม Hercules ก็หายไปจากโลกมนุษย์ Athena ได้พาเขาขึ้นสู่สวรรค์ในรถลาก และก็สามารถไกล่เกลี่ยกับ Hera ได้สำเร็จ และแต่งงานกับ Hebe ลูกของ Hera

เทพีเฮสเทีย (Hestia) เทพีแห่งเตาไฟผู้คุ้มครองบ้านเรือน

 

            ในคณะเทพโอลิมเปียนมีเทวีพรหมจารีอยู่ 3 องค์ ทรงนามตามลำดับว่า เฮสเทีย (Hestia) เอเธน่า (Athene) อาร์เตมิส (Artemis) องค์แรกเป็นเทวีภคินีของเทพปริณายกซูส ส่วน 2 องค์หลังเป็นธิดา แต่ละองค์มีประวัติและความสำคัญดังจะกล่าวต่อไปนี้

 

             เฮสเทีย (Hestia) ในภาษาโรมันว่า เวสตา (Vesta) เป็นที่เคารพนับถือในฐานะอัคนีเทวีผู้ครองไฟ โดย เฉพาะไฟเตาผิงตาม เคหสถานบ้านช่อง เพราะฉะนั้นจึงถือกันว่าเจ้าแม่ย่อมคุ้มครองชีวิตความเป็นอยู่ในบ้านด้วย เตาไฟผิงเป็นที่ ศักดิ์สิทธิ์มากสำหรับครอบครัวกรีก และโรมันจนเกือบจะเรียกว่า ที่บูชาก็ได้ ด้วยเขาถือว่า ไฟที่ลุกบนเตานั้นเป็นไฟของเจ้าแม่ เมื่อ มีเด็กเกิดใหม่ในบ้านกรีก พอเด็กอายุได้ 5 วัน พ่อของเด็กจะอุ้มลูกไปเวียนรอบเตาผิง ซึ่งในสมัยโน้นอยู่กลางเคหสถาน ไม่ได้อยู่ ติดฝาเหมือนสมัยนี้ การอุ้มลูกไปเวียนรอบเตาผิงนั้นก็เพื่อให้ เป็นเครื่องหมายว่า เจ้าแม่จะได้รับเด็กนั้นไว้ในความอารักขา คุ้มครองของเจ้าแม่ โดยเฉพาะเวลาที่เด็กเริ่มเดิน

 

             เฮสเทียเป็นพี่สาวคนโตของซูส เป็นเทวีที่รักษาความโสดอย่างดียิ่ง ประชาชนจึงเคารพนับถือเฮสเทียด้วยเหตุผลนี้อีก อย่างหนึ่งด้วย เฮสเทียไม่ยอมเป็นชายาของซูส แม้โปเซดอนซึ่งเป็นพี่ชายขอแต่งงานด้วยเฮสเทียก็ไม่ยินยอม และอพอลโลซึ่ง เป็นหลานก็ถูกปฏิเสธเช่นกัน

 

             วิหารของเจ้าแม่เฮสเทีย มีลักษณะเป็นวงกลม และมีเจ้าพิธีเป็นหญิงพรมหมจารี ผู้สละการวิวาห์อุทิศถวายเจ้าแม่ ทำหน้าที ่คอยเติมไฟในเตาไฟสาธารณะ ซึ่งมีประจำทุกนคร มิให้ดับ

 

             ชาวโรมันเชื่อว่า ลัทธิบูชาเจ้าแม่เฮสเทียแผ่ไปถึงถื่นประเทศของตน โดยมีวีรบุรุษ อีเนียส (Aeneas) เป็นผู้นำเอาเข้า ไป แล้ว นูมาปอมปิเลียส (Numa Pompilius) กษัตริย์กรุงโรมจึงสร้างศาลเจ้าอุทิศถวายเจ้าแม่ขึ้นในกลางยี่สานโรมัน ซึ่งเรียกว่า Roman Forum เขาเชื่อกันเป็นมั่นเหมาะแน่นแฟ้นว่า สวัสดิภาพของกรุงโรมทั้งมวล และการแผ่นดินทั้งปวงนั้นขึ้นอยู่ที่ การรักษาเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ ณ วิหารนั้ให้ดำรงอยู่เป็นสำคัญ 

 

             หญิงพรหมจารีผู้ทำหน้าที่คอยอารักขาเปลวไฟแห่งวิหารนี้เรียกว่า เวศตัล (Vestal) ในชั้นเดิมมี 4 คน ต่อมาในชั้นหลังเพิ่มขึ้นเป็น 6 คน อยู่ในความควบคุม ของจอมอาจารย์บัญชาการศาสนาของโรมเรียกว่า Pontifex Maximus เมื่อคณะเวสตัลพรหมจารีขาดจำนวนลง จอมอาจารย์ผู้นี้จะเลือกผู้สืบแทนในตำแหน่งที่ ว่างจากเวสตัลสำรองทั้งหมดด้วยวิธีการจับสลาก ผู้สมัครเป็นเวสตัลสำรองนั้นจะต้องมีอายุในระหว่าง 6-10 ขวบ มีร่างกายและจิตใจสมประกอบ และมีชาติกำเนิดเป็นชาวอิตาลี เวสตัลสำรองจะต้องรับการฝึกฝนอบรมเป็นเวลา 10 ปี แล้วเลื่อนขึ้นเป็นเวสตัลปฏิบัติหน้าที่ในวิหารศักดิ์อีก 10 ปี เมื่อพ้นกำหนดนั้นแล้วต้องทำหน้าที่สั่งสอนอบรมเวสตัล สำรองต่อไปอีก 10 ปี จึงครบเกษียณอายุราชการ ปลดเป็นไทเมื่ออายุ 40 ถ้าพึงประสงค์ก็อาจประกอบอาชีพอย่างอื่นและมีสามีได้ในตอนนั้น

 

             นอกจากหน้าที่คอยเติมไฟศักดิ์สิทธิ์มิให้ขาดเชื้อแล้วพรหมจารีเวสตัลยังมีภาระกิจที่จะต้องกระทำอีก 2 อย่าง อย่างหนึ่งคือ ต้องไปตักน้ำจากบ่อน้ำพุ อิจีเรีย (Egeria)       ที่ชานกรุงโรมทุกวัน ความสำคัญของน้ำพุนี้มีตำนานเล่ากันว่า เดิมอิจีเรียเป็นนางอัปสรบริวารของเทวีอาร์เตมิส นางมีความเฉลียวฉลาด และเป็นคู่หูของ ท้าวนูมาปอมปิเลียส ซึ่งโปรดหารือการแผ่นดินทั้งปวงกับนางมิได้ขาด กวีโอวิคถึงแก

เทพโปเซดอน (Poseidon) เทพแห่งมหาสมุทร

 

 

เทพเจ้าแห่งท้องทะเลและมหาสมุทร ผู้ปกครองดินแดนแห่งท้องน้ำ ตั้งแต่แหล่งน้ำจืด เช่น แม่น้ำ ลำคลอง จนถึงใต้บาดาล มีสามง่ามเป็นอาวุธ บางตำนานกล่าวว่ามีท่อนล่างเป็นปลา นอกจากนี้แล้วยังถือว่าเป็นเทพแห่งแผ่นดินไหว และเป็นเทพแห่งม้าด้วย

ตามตำนานเล่าว่า โพเซดอนเป็นบุตรของโครโนส กับ เร มีพี่น้องร่วมบิดามารดาอีก 4 องค์ ซึ่งล้วนแต่เป็นเทพแห่งโอลิมปัสทั้งสิ้น ได้แก่

1.ซูส ผู้เป็นใหญ่ในสภาเทพแห่งโอลิมปัส

2.ฮาเดส ผู้ครอบครองยมโลก

3.เฮรา ชายาแห่งเทพซูส

4.เฮสเตีย เทพีแห่งเตาผิง

 

ภาพลักษณ์ของโพเซดอน ส่วนมากจะปรากฏเป็นชายวัยกลางคน รูปร่างกำยำล่ำสัน มีหนวดเครา ถือสามง่ามเป็นอาวุธ ซึ่งสามง่ามนี้มีอิทธิฤทธิ์มาก สามารถดลบันดาลให้เกิดทะเลคลั่งหรือแผ่นดินไหวได้ ครั้งหนึ่งโพเซดอนเคยคิดที่จะโค่นอำนาจของซุส โดยร่วมมือกับเฮราและอะธีนา แต่ไม่สำเร็จ จึงถูกซุสลงโทษ โดยการให้ไปสร้างกำแพงเมืองทรอยร่วมกับอพอลโลด้วยเช่นกัน

 

โพเซดอนมีมเหสีองค์หนึ่ง ที่เป็นหญิงรับใช้ของอะธีนา คือ เมดูซ่า ก่อนที่จะถูกสาบให้มีผมเป็นงู เพราะหลงใหลในความงามของเมดูซ่า (บางตำราบอกว่า เมดูซ่า หลงไหลโพไซดอนก่อน และโพไซดอน แปลงเป็นม้ามาร่วมรักกับเมดูซ่า)  เมื่ออะธีนาทราบเรื่องจึงสาบเมดูซ่าให้เป็นปีศาจที่มีผมเป็นงู และเมื่อมองใครก็จะกลายเป็นหินไปหมด เมื่อเปอร์ซิอุสตัดศีรษะของเมดูซ่าแล้ว เลือดของเมดูซ่าที่กระเซ็นออกมา กลายเป็นม้าบินสองตัว (เนื่องจากโพไซดอน แปลงกายเป็นม้ามาร่วมรักกับเมดูซ่า) คือ เพกาซัส (Pegasus) และ คริสซาออร์ (Chrysaor) ดังนั้นจึงถือว่า ทั้งเพกาซัสและคริสซาออร์เป็นลูกของโพเซดอนด้วย

 

โพเซดอน มีพาหนะเป็นม้าน้ำเทียมรถ ที่มีส่วนบนเป็นม้าและท่อนล่างเป็นปลา ซึ่งบางครั้งจะพบรูปโพเซดอนอยู่บนรถเทียมม้าน้ำนี้ขึ้นมาจากทะเล

 

โพไซดอน เทพเจ้าแห่งทะเลเป็นเทพเจ้าที่หงุดหงิด โมโหง่าย และอารมณ์รุนแรง ดวงเนตรสีฟ้าดุดันมองผ่านทะลุม่านหมอกได้ และเกศาสีน้ำทะเลสยายลงมาเบื้องหลัง เธอได้รับสมญา ว่า “ผู้เขย่าโลก” เพราะเมื่อปักตรีศูลลงบนพื้นดิน โลกพลันสั่นสะเทือน และแยกออกจากกัน เมื่อฟาดตรีศูลลงบนทะเล บังเกิดคลื่นลูกใหญ่เท่าภูเขา และเกิดพายุมีเสียงครึกโครมน่ากลัว ทำเรือแตกและผู้คนที่อาศัยอยู่ชายทะเลจมน้ำตาย แต่เมื่อยามโพไซดอนอารมณ์ดี ทรงยื่นพระหัตถ์ออกไป ทำให้ทะเลสงบและทรงยกแผ่นดินใหม่ขึ้นจากน้ำ

 

ในสมัยที่โครนัสและเทพไททันเป็นใหญ่อยู่นั้น เนรูส เป็นผู้ครอบครองทะเล เนรูสเป็นโอรสของแม่พระธรณีกับพอนทัส หรือทะเล ซึ่งเป็นสวามีองค์ที่สอง เนรูสเป็นเทพเจ้าผู้ชราแห่งทะเล มีหนวดสีเทายาว มีหางเป็นปลา และมีธิดาเป็นนางพรายน้ำห้าสิบนาง คือ เนรีด ผู้น่ารัก เมื่อโพไซดอน เทพเจ้าแห่งโอลิมปัสได้รับมอบหมายให้มาเป็นเจ้าแห่งทะเลแทน เนรูส ผู้ชราที่มีน้ำพระทัยดีก็ทรงยกธิดานามว่า อัมฟิไทรต์ ให้เป็นมเหสีของโพไซดอน แล้วเธอ(เนรุส) เองก็ปลีกตัวไปประทับอย่างสงบในถ้ำใต้บาดาล เนรูสทรงยกปราสาทใต้ทะเลให้แก่พระราชาและพระราชินีองค์ใหม่ด้วย ปราสาทองค์นี้ทำด้วยทองคำตั้งอยู่ในสวนหินปะการังและไข่มุก อัมฟิไทรต์ประทับที่ปราสาทนี้อย่างมีความสุข ห้อมล้อมด้วยนางพรายน้ำพี่น้องอีกสี่สิบเก้านาง นางมีโอรสองค์เดียว นามว่า ไทรทัน ซึ่งมีหางเป็นหางปลาเหมือน เนรูสผู้เป็นอัยกา ทรงขี่หลังสัตว์ทะเลและทรงเป่าสังข์ท่องเที่ยวไปในทะเล

โพไซดอนไม่ค่อยประทับอยู่ที่ปราสาท ไม่ชอบอยู่นิ่ง ๆ ทรงโปรดขับรถเทียมม้าสีขาวเหมือนหิมะแข่งกับลูกคลื่น กล่าวกันว่าเธอเนรมิตม้าในรูปของคลื่นที่แตกกระจาย โพไซดอนทรงมีชายาและโอรสธิดามากมาย เหมือนซูสอนุชา แต่อัมฟิไทรต์ไม่ทรงหึงหวงเหมือนเฮรา

 

มีเกาะหนึ่งที่โพไซดอนทรงยกขึ้นมาสูงกว่าระดับน้ำทะเลชื่อว่า เกาะดีลอส เกาะนี้เพิ่งสร้างขึ้นจึงยังคงลอยไปมาอยู่ในน้ำ เกาะเล็ก ๆ นี้พื้นดินยังไม่อุดมสมบูรณ์ ยังไม่มีพืชพรรณอื่นใดนอกจากต้นปาล์มต้นเดียวเท่านั้น ในร่มเงาของต้นปาล์มนี้ เทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สององค์ คือ อะพอลโล กับ อาร์ทีมิส ได้ถือกำเนิดขึ้นมา

 

ซูสได้อภิเษกกับเทพธิดา ลีโท พอเฮราทรงทราบว่าลีโททรงครรภ์แฝด ก็ทรงกริ้วมาก และรับสั่งห้ามมิให้พื้นดินทุกแห่งในโลกให้ที่พำนักแก่นาง ลีโทจึงต้องซัดเซพเนจรไปเรื่อยไป ไม่สามารถหาที่พำนักเพื่อประทานกำเนิดแก่เทพเจ้าแฝดได้

 

ในที่สุดนางก็มาถึงเกาะดีลอส เกาะน้อยนี้ให้การต้อนรับนาง เนื่องด้วยเกาะนี้ยังลอยอยู่ ยังไม่ได้เป็นแผ่นดิน จึงมีลักษณะไม่ตรงกับที่เฮราทรงรับสั่งไว้ ลีโททรุดกายลงใต้ร่มต้นปาล์มอย่างเหนื่อยอ่อน แต่ยังประสูติไม่ได้ เนื่องจากเฮรารับสั่งห้ามเทพธิดา อิลิเทียอา.. เทพีแห่งเด็กเกิดใหม่ไม่ให้ช่วยเหลือ ถ้านางไม่ช่วยเด็กจะคลอดไม่ได้ เทพธิดาอื่น ๆ ทรงสงสารลีโท จึงพยายามอ้อนวอนให้พระทัยของเฮราอ่อนลง โดยถวายสร้อยพระศอเส้นงามแก่นาง สร้อยเส้นนี้ยาวเก้าหลา ทำด้วยทองคำและอำพัน ในที่สุดเฮราก็ทรงยอมปล่อยอิลิเทียอาไป แล้วเทพธิดาไอริสทรงนำอิลิเทียอาลงมาหาลีโททางสายรุ้ง

 

ฝาแฝดพี่องค์แรกของลีโท คือ อาร์ทีมิส เป็นเทพธิดาแสนสวยดุจดวงจันทร์ เส้นเกศาสีดำเหมือนรัตติกาล นางได้เป็นเทพีแห่งการล่าสัตว์และสิ่งมีชีวิตที่เกิดใหม่ ฝาแฝดองค์รองคือ อะพอลโล ซึ่งเป็นเทพบุตรที่สง่างามราวดวงอาทิตย์ เธอได้เป็นเทพเจ้าแห่งดนตรี แสงสว่างและเหตุผล

 

ซูสดีพระทัยที่เห็นคู่แฝดสวยงามทั้งคู่ ท่านได้ประทานธนูเงินและลูกธนูเต็มกระบอกให้คนละชุด ลูกธนูของอาร์ทีมิสอ่อนนุ่มเหมือนแสงจันทร์ และผู้ถูกลูกธนูนี้จะตายโดยไม่เจ็บปวดเลย ส่วนลูกธนูของอะพอลโลแข็งและแหลมคมเหมือนแสงอาทิตย์

 

ซูสประทานพรแก่เกาะนี้และยังผูกติดไว้กับก้นทะเลด้วย หญ้าและไม้ดอกเจริญงอกงามขึ้นจากพื้นดินที่แห้งแล้ง แต่นั้นมา ดีลอสกลายเป็นเกาะที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในบรรดาเกาะของประเทศกรีซ ผู้จาริกแสวงบุญต่างพากันมาที่เกาะนี้ และสร้างเทสาลัยและสมบัติไว้มากมายเพื่อเทิดทูนลีโอและโอรสธิดาคู่แฝดของนาง ในสมัยโบราณ ที่แหลมสุนิอ้อน ห่างจากกรุงเอเธนส์ เมืองหลวงของกรีซไม่มาก มีวิหารที่สร้างถวายแด่โพเซดอนอยู่

 

อำนาจของโปเซดอนซึ่งปกครองดูแลน่านน้ำทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็น ทะเลลึก ทะเลสาบ แม่น้ำ ลำธาร ละหานห้วย หรือแม้แต่เทพและนางอัปสรประจำน่านน้ำทั้งปวง ยังมีประสาทงดงามตระการตาอยู่ใต้ท้องทะเล เอเยี่ยน นอกจากที่ประทับสวรรค์ชั้นโอลิมปัสแล้ว ดังจะเห็นว่านอกจากซูสเทพบดีแล้ว ไม่มีเทพองค์ใดที่มีอำนาจเกรียง ไกรไปกว่าท้าวเธอเลยที่เห็นก็มีเพียง ฮาเดส เทพครองนรก จ้าวแดนบาดาล ซึ่งทำให้ท้าวเธอถึงกับเคยคิดครองความ เป็นใหญ่แต่เพียงผู้เดียวโดยร่วมมือกับเทวีฮีร่าและเทวีเอเธน่าพยายามโค่นเทพปริณายกซูสแต่ไม่สำเร็จ จึงถูกซูสลง ทัณฑ์เนรเทศโปเซดอนให้มาทำงานตรากตรำลำบากบนโลกมนุษย์ในเมืองทรอยโดยต้องสร้างกำแพงกรุง ทรอยให้ท้าว เลือมมิดอน (Laomedon) กษัตริย์ในขณะนั้น

 

โปไซดอนคือเทวะที่ครอบครองผืนน้ำทุกถิ่นบนโลก ไม่ว่าจะเป็นทะเล มหาสมุทร ทะเลสาบ หนอง บึง หรือแม่น้ำ ลำคลอง เป็นนายของทุกชีวิตที่แหวกว่ายระเริงชลภายใต้น้ำ รวมทั้งนายตัวที่อยู่บริเวณผิวน้ำด้วยล่ะ แต่กว่าจะได้ตำแหน่งอันมโหฬารพันลึก เป็นใหญ่ในน่านน้ำอย่างนี้ได้ก็ต้องฝ่าฟันศึกใหญ่กันหืดขึ้นคอมาแล้ว เรื่องพี่น้องชิงบัลลังก์ เมื่อก่อนผืนน้ำทั้งหมดเนี่ยเป็นของเทพฝ่ายไททั่น ชื่อโอเชียนุส (Oceanus) ซึ่งก็เป็นผู้สร้างท้องทะเลขึ้นมากับมือ แต่หลังจากที่เทพกลุ่ม อันได้แก่ ซุส โปไซดอน และเฮเดส จับมือกัน ร่วมกันวางแผนเคลียร์ผู้ครองบัลลังก์คนเก่าๆทิ้งไปสำเร็จ โปไซดอน ก็ได้ส่วนแบ่งเป็นอาณาเขตผืนน้ำมาครอง ในขณะที่ ซุส จับจองสวรรค์และ เฮเดสก็ได้ครองยมโลก

 

ส่วนแบ่งทีมีขนาดมโหฬารพันลึกนี่เองที่ทำให้เทพโปไซดอนกำชะตาของโลกไว้ในอุ้งมือ เพราะทุกสิ่งในโลกมีน้ำเป็นพื้นฐานการดำรงอยู่ ความรู้สึกเช่นนี้ก่อให้ความลำพองใจแกมหาเทพเอามากๆ จนเหมาเอาว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกย่อมต้องเป็นของพระองค์ทั้งหมดเนื่องเพราะต้องอาศัยน้ำของพระองค์ จึงเมื่อพอใจจะประทานแก่ใครก็ให้แต่ผู้นั้น ส่วนคนที่พระองค์ไม่โปรดก็ต้องอดไปตามระเบียบ ความเดือดร้อนของชาวโลกที่เกิดเพราะนิสัยขี้โอ่อันนี้แหละ เลยทำให้บรรดามนุษย์ สัตว์ และภูตพรายต่างๆ พากันเข้าเฝ้าร้องเรียนต่อมหาเทพซูสผู้พี่ให้กำราบเอาบ้าง แต่โปไซดอนนะหรือจะยอม นอกจากจะไม่ฟังแล้วยังบันดาลให้น้ำท่วมเอาเสียบ้าง ให้น้ำแล้งเอาชีวิตเสียบ้าง เป็นการกลั่นแกล้งให้มนุษย์กลัวพระองค์

 

ผลการที่พระองค์ต้องการกลั่นแกล้งมนุษย์ โดบันดาลให้ผืนดินแห้งแล้ง ภายหลังกลับกลายเป็นหนามแหลมทิ่มแทงองค์เอง ผืนดินที่แตกระแหงไปแล้วไม่สามารถทำให้ชุ่มฉ่ำขึ้นมาได้อีกด้วยบางแห่งถึงกับกลายเป้นทรายไปเลย ยิ่งเห็นพื้นดินแห้งแล้งมากเท่าไรยิ่งทำให้โปไซดอนหัวเสียมากเท่านั้น ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีเริ่มรบกวนจิตใจของเทพเจ้า จนไม่ช้าก็ไม่อาจทนเห็นได้อีกต่อไป พระองค์จึงกลับลงไปใต้ท้องทะเลซึ่งปราสาททองคำของพระองค์ตั้งตระหง่านอยู่ที่นั่น มันเป็นที่เดียวเท่านั้นที่จะช่วยรักษาเยียวยาความรู้สึกผิดให้บรรเทาลง กระนั้นโปไซดอนก็ใช่ว่าจะทองะระไปเสียหมด หลายครั้งที่ท้าวเธอออกมาจากพระราชวังใต้ท้องสมุทร ทรงราชรถเทียมอสุรกายประเภทต่างๆ ขึ้นมาสำรวจโลกเหมือนกัน คราใดที่รถทรงของพระองค์ลอยฟ่องอยู่เหนือผิวน้ำยามนั้น เกลียวคลื่นจะแหวกเป็นทางพร้อมๆ กับลมพายุจะโหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง เรือใหญ่น้อยที่อยู่ในบริเวณนั้นจุถูกกลืนลงใต้น้ำในชั่วพริบตา น้ำทะเลที่ล้นเป็นระลอกก็จะกวาดชายฝั่งจนบ้านเรือนที่ตั้งเรียงรายอยู่ไม่มีอะไรเหลือ ยิ่งเห็นทะเลคลั่งมากเท่าไรดูเหมือนโปไซดอนจะยิ่งนึกสนุก พระองค์จะยิ่งพุ่งสามง่ามขึ้นไปบนท้องฟ้า บังเกิดเป็นสายฟ้าจากกลุ่มเมฆดำ และสายฝนจะยิ่งเทกระหน่ำลงมาท่วมบ้านเรือนได้รับความเดือดร้อนกันทั่วหน้า กว่ามหาเทพจะเล่นสนุกสะใจ มนุษย์ ก็ย่ำแย่ไปตามๆ กัน จากนั้นท้าวเธอก็จะเสด็จกลับไปสู่ใต้พื้นมหาสมุทรไม่ยอมปล่อยความชุ่มชื้นมาสู่ผิวโลกอีกเป็นเวลาเท่าที่จะพอใจ

 

เทพของฝรั่ง อาจต่างไปจากเทพที่เรารู้จักตามตำนานไทยหรืออินเดีย ที่มักรู้จักกันแต่ในด้านที่ดีงาม เทพฝรั่งจะมีอำนาจมาก และเต็มไปด้วยพฤติกรรมที่คล้ายมนุษย์หลายอย่างที่บางอย่างก็ไม่น่าเข้าใจ เราฟังมาและเลือกแต่เรื่องดีๆ มาใช้ดีกว่า อย่างไรก็ตาม เทพเหล่านี้ ก็เป็นที่เคารพบูชาของชาวฝรั่งอยู่ และเป็นแบบอย่างหลายเรื่อง รวมทั้งเป็นแรงบันดานใจ ในการทำความดีหลายเรื่องด้วย

เทพาอาเรส (Ares) หรือ Mars แทพแห่งสงคราม

 

 

แอรีส หรือที่ชาวโรมันเรียกว่า มาร์ส (Mars) เป็นเทพเจ้าแห่งสงคราม อาวุธ และชุดเกราะ และเป็นหนึ่งในสิบสองเทพแห่งโอลิมปัสด้วย

แอรีส เป็นเทพแห่งการสงครามเช่นเดียวกับ อธีน่า แต่ทว่าอธีน่าจะได้รับการยกย่องและบูชามากกว่า เนื่องจากอธีน่าเป็นเทพีที่ใช้สติปัญญาวางแผนในการสู้รบมากกว่า ซึ่งได้รับการบูชาในฐานะเทพีแห่งสติปัญญาด้วย ผิดกับแอรีสซึ่งมักจะใช้ความดุดันและโหดร้ายในการสงครามมากกว่า ซึ่งโฮเมอร์ กวีเอกคนสำคัญของกรีกโบราณ ยังเคยเขียนถึงพระองค์ว่า เป็นเทพที่โหดร้ายและหยาบช้า

           แอรีส ซึ่งเป็นชู้รักของเทวีอโฟรไดท์เธอเป็นบุตรองค์หนึ่งของเทพปริณายก ซูส กับเจ้าแม่ ฮีรา และเป็นที่เกลียดชังของเทพและมนุษย์ทั้งปวงเว้นแต่ชาวโรมัน ผู้มีนิสัยชอบการสงคราม

 

             ชาวโรมันเทิดทูนสดุดีเทพองค์นี้ยิ่งนัก ถึงกับอุปโลกน์ให้เป็นเทพบิดาของ โรมิวลัส (Romulus) ผู้สร้างกรุงโรม และพรรณาสรรเสริญเกียรติคุณของเธอนานัปการ ตรงกันข้ามกับชาวกรีก ซึ่งนอกจากจะไม่นิยมเลื่อมใสเทพองค์นี้แล้ว ยังถือว่า เธอเป็นเทพที่มีสันดานป่าเถื่อนดุร้าย ปราศจากความเมตตากรุณาเสียอีก ในมหากาพย์อิเลียด ซึ่งเป็นบทกวี เกี่ยวกับการ สงครามแท้ ๆ เธอเป็นที่เกลียดชังตลอดเรื่อง นักกวีโฮเมอร์ถึงแก่ประณามเธอว่า "ยินดีในการประหัตประหาร มีมลทินด้วยเลือด เป็นอุบาทว์สำหรับมนุษย์ทั้งปวง" เมื่อสรุปตามสายตาของกรีกดังกล่าว โดยสำนวนปัจจุบัน เราจะเห็นว่า อาเรสคือ เทพอันธพาลของกรีก

 

             อาเรสเป็นโอรสขององค์เทพซูสกับฮีร่าเทวี และทรงเป็นโอรสที่เทพบิดาซูสตรัสใส่หน้าเลยว่า "เจ้าเป็นที่น่าชังที่ สุดในบรรดาลูกของข้า ทั้งโหดร้าย ดื้อด้านเหมือนแม่เจ้าไม่ผิด!" ซึ่งวาทะประโยคนี้นับว่าวิจารณ์อุปนิสัยใจคอของ อาเรสได้ตรงเป็นที่สุด นอกจากโหดร้ายและดื้อดึง อาเรสยังบุ่มบ่าม โกรธง่าย และนิยมความรุนแรงมาก นับว่าเป็นอุปนิสัยที่ แตกต่างกับเจ้าแม่เอเธน่า มากซึ่งเป็นเทวีแห่งสงครามเหมือนกัน เอเธน่านั้นสุขุม เฉลียวฉลาดและกล้าหาญ จึงได้รับการ ยกย่องทั่วทุกหนแห่ง เป็นเหตุให้อาเรสเกิดจิตริษยาเอามาก เป็นดั่งว่า "ฟ้าให้อาเรสเกิดแล้วไฉนให้เอเธน่ามาเกิดอีกเล่า" เวลาพบกันทีไรจึงมักมีเรื่องทะเลาะวิวาทกันเป็นประจำ มีครั้งสำคัญอยู่ครั้งหนึ่ง เมื่อไปพบกันกลางทางและมีเรื่องทะเลาะกัน อย่างเคย เทพอาเรสเกิดบันดาลโทสะ จึงขว้างจักรอันเรืองฤทธิ์แรงกล้าพอ ๆ กับอสนีบาตขององค์ซูสเทพบิดา เข้า ใส่เอเธน่า เจ้าแม่เอี้ยวหลบแล้วทรงยกเอาหินที่วางอยู่แถว ๆ นั้นขึ้นทุ่มตอบกลับไป หินก้อนนั้นมิใช่หินธรรมดา แต่เป็นหินที่ตั้งไว้เพื่อ แสดงเขตแดนของนคร หินนั้นกระทบถูกอาเรสเข้าให้ถึงกับทรุดลงกองกับพื้น ก่อนที่เทวีเอเธน่าจะกลับไปเจ้าแม่ยังกล่าวเยาะ ให้เจ็บใจเล่นด้วยว่า "เจ้างั่ง! เพียงแค่นี้ เจ้าก็เดาได้แล้วใช่ไหมว่าเรี่ยวแรงของเรามากขนาดไหน อย่าแหยมมารบกวน เราอีกต่อไปเลย!"  

 

             เป็นที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งเกี่ยวกับอาเรสองค์นี้ คือในฐานะที่เป็นเทพแห่งสงคราม ตามปกติหากรบที่ไหนต้องมีชัยที่นั่น แต่ผิดถนัดสำหรับเทพองค์นี้ หากว่าอาเรส รบที่ไหนปราชัยที่นั่นมากกว่า จนน่าประหลาดใจ นอกจากจะพ่ายแพ้แก่เทวีเอเธน่าแล้ว ยังแพ้มนุษย์อีกด้วย อาทิเช่น วีรบุรุษเฮอร์คิวลิส เคยสังหารโอรสของอาเรสมาแล้ว ครั้นผู้เป็นพ่อเข้าช่วยลูก ก็ถูกต่อยตีจนต้องหลบหนีขึ้นไปบนโอลิมปัสแทบไม่ทัน เมื่อนำเรื่องทูลฟ้องซูสเทพบดี ไท้เธอก็ตัดสินไกล่เกลี่ยให้เลิกรากันไป เนื่องจากแท้ที่จริง เฮอร์คิวลิสก็เป็นโอรสของไท้เธอเช่นเดียวกัน เพียงแต่มีมารดาเป็นมนุษย์สามัญ

 

             เทพอาเรสมักเสด็จไปไหน ๆ โดยรถศึกเทียมม้าฝีเท้าจัดมากมาย แสงเกราะและแสงศาตราวุธของเธอส่องแสงเจิดจ้าบาดตาผู้พบเห็น มีบริวารที่ติดสอยห้อยตามอยู่ 2 คนคือ เดมอส (Deimos) ซึ่งแปลว่าความกลัว กับ โฟบอส (Phobos) แปลว่าความน่าสยองขวัญ บริวารนี้บางตำนานกล่าวว่าเป็นโอรสของเทพอาเรส ในทาง ดาราศาสตร์เมื่อตั้งชื่อดาวอังคารว่า มาร์ส ตามชื่อเทพแห่งสงครามแล้ว ก็เลยตั้งชื่อดวงจันทร์บริวารทั้งสองของดาวอังคารว่า เดมอสกับโฟบอสตามตำนานไปด้วยเลย

 

             ในด้านความรักของอาเรสนั้นเร่รักไปเรื่อยเช่นเดียวกับเทพบุตรอื่น ๆ ในโอลิมปัส ไม่ได้ยกย่องใครเป็นชายา แต่มีเรื่องรักสำคัญของอาเรสอยู่ครั้งหนึ่งที่เกิดขึ้น ได้แก่การลักลอบเป็นชู้กับเทวีแห่งความงามและความรักนาม อโฟรไดท์

 

             เมื่ออาเรสเป็นที่เกลียดชังของเทพและมนุษย์ (ชาวกรีก) เช่นนั้นพฤติการณ์ของเธอตอนเป็นชู้กับเทวี อโฟรไดท์จึงเป็นที่ครหารุนแรงและมวลเทพก็คอยจ้องจับผิดก็เพราะความมืดของราตรีกาลเป็นใจ ตราบใดเธอ หลบไปได้ก่อนดวงอาทิตย์ของอพอลโลไขแสง หากยังจับไม่ได้คาหนังคาเขา ตราบนั้นพฤติการณ์ของเธอก็ยังคง เป็นความลับ เธอเกรงกลัวอยู่ก็แต่แสงสว่าง ซึ่งเปรียบประดุจนักสืบของเทพอพอลโลเท่านั้น ถ้านักสืบนั้นแฉ พฤติการณ์ของเธอให้ประจักษ์แก่เทพอพอลโลแล้ว เทพอพอลโลก็คงจะนำความไปบอกแก่เทพฮีฟีสทัส ถึงกรณี ที่เธอลักลอบกับเทวีอโฟรไดท์เธอจึงวางยามไว้คนหนึ่งให้คอยปลุกเมื่อใกล้รุ่ง ผู้ทำหน้าที่นี้คือ หนุ่มน้อยชื่อว่า อเล็กไทรออน (Alectryon) 

 

             ในคราวที่ความจะแตก อเล็กไทรออนหลับยามเพลินไปจนรุ่งเช้าเป็นเหตุให้อพอลโลเห็นอาเรสกับอโฟรไดท์นิทรา หลับอยู่ด้วยกัน อพอลโลจึงนำความไปบอกแก่เทพฮีฟีสทัส ฮีฟีสทัสสานร่างแหเหล็กเตรียมไว้ก่อนแล้ว พอได้ความดังนั้นก็หอบ ร่างแหไปทอดครอบอาเรสกับอโฟรไดท์ไว้ให้เทพทั้งปวงมาดูและหัวเราะเยาะอย่างครื้นเครง แล้วจึงปล่อยไป ฝ่ายอาเรสได้รับ ความอัปยศอดสูท่ามกลางธารกำนัลยิ่งนัก จึงสาปอเล็กไทรออนให้กลายเป็นไก่ ทำหน้า ที่คอยขันยามในเวลาใกล้รุ่งทุกคืน เป็นการลงโทษในการที่หลับยาม

             ด้วยเหตุนี้ไก่ผู้ทุกตัวที่เกิดขึ้นในโลก จึงสืบสกุลมาจากไก่อเล็กไทรออนตัวแรกนั้นทั้งสิ้น

              และผลของการอภิรมย์ของคู่นี้ ทำให้เทวีอโฟร์ไดท์ ประสูติธิดาออกมาองค์หนึ่งนามว่า อาร์โมเนีย ซึ่งต่อมาได้ เป็นราชินีแห่งนครธีบส์

 

Share this