แหวนโซโลมอน ( Solomon Ring)
สมาชิกเลขที่110332 | 28 ก.ค. 55
3.7K views

กษัตริย์ของอาณาจักรฮิบรูพระองค์หนึ่งนามว่าโซโลมอนได้มีพระราชโองการขึ้นฉบับหนึ่งซึ่งต้องนับว่าเป็นพระราชโองการที่แปลกเอาการอยู่

พระบรมราชโองการนั้นสั่งให้เหล่าอำมาตย์ที่ปรึกษาของพระองค์สร้างแหวนวิเศษขึ้นวงหนึ่ง และให้แหวนวิเศษนั้นมีคำจารึก ซึ่งไม่เกี่ยงว่าจะเป็นคาถาหรือบทสวดใดๆ ก็ได้ลงบนแหวน และเมื่อใดก็ตามที่พระองค์ทอดพระเนตรแหวน แหวนนั้นจักต้องสามารถเปลี่ยนอารมณ์พระองค์ได้

โซโลมอนเป็นกษัตริย์ของชาวฮิบรู ถ้าจะถามว่าวฮิบรูเป็นใครนั้นอธิบายอย่างง่ายสุดคือชาวยิวนั่นเอง พระองค์มีชีวิตอยู่ในสมัยก่อนคริสตกาลเกือบพันปีได้ ชื่อโซโลมอนนี้ บางทีท่านผู้อ่านอาจจะเคยพบในอีกชื่อหนึ่งว่า สุไลมาน ของชาวมุสลิม ส่วนอาณาจักฮิบรูที่โซโลมอนปกครองนั้น ทุกวันนี้ก็คือบริเวณแถวๆ นครเยรูซาเล็ม

หลายคนคงตั้งคำถามในใจเหมือนผมว่า มุสลิมชาวปาเลสไตน์กับอิสราเอลหรือยิวที่รบกันอยู่ทุกวันนี้ มีบรรพกษัตริย์พระองค์เดียวกันด้วยหรือ

หนังสือเล่มหนึ่งอ้างถึงคัมภีร์อัลกุรอานของศาสนาอิสลามเล่าว่าโซโลมอนหรือสุไลมาน คือศาสดาคนที่ 25 ของชาวมุสลิม

ส่วนทางอิสราเอลก็เล่าว่า กษัตริย์โซโลมอนเป็นราชโอรสของ กษัตริย์ดาวิด และปกครองอิสราเอลต่อจากกษัตริย์ดาวิด

อันที่จริงอย่าว่าแต่มนุษย์เราเคยมีบรรพกษัตริย์พระองค์เดียวกันเลย ถ้าพูดให้สุดๆ เราก็ต้องพูดว่ามนุษย์ทั้งโลกก็ล้วนมีบรรพบุรุษเดียวกัน

เมื่ออ่านมาถึงบรรทัดนี้ ผมก็จะอนุญาตออกตัวไว้ก่อนครับ หากมีผู้เคร่งศาสนาใดก็ตามมาอ่านบทความนี้เข้า แล้วรู้สึกว่าบทความนี้บิดเบือนผิดไปจากความรู้ทคี่ท่านมีอยู่ไม่ว่าจะในแง่ประวัติศาสตร์ หรือการสะกดชื่อ ผมก็ขอแสดงความจริงใจขอโทษไว้ตรงนี้เลยครับ ละที่ต้องบอกล่วงหน้าก็คือบทความนี้ไม่ได้มีเจตจำนงดูแคลนศาสนาใดๆ เลย ตรงกันข้าม ด้วยความเป็นคนที่เชื่อว่าศาสนาทุกศาสนาสอนให้เป็นคนดีผมจึงเห็นว่า เรื่องเกร็ดของกษัตริย์โซโลมอน ที่ผมกำลังเล่าให้ฟังนี้สอดคล้องกับทุกคำสอนของทุกศาสนาอย่างแน่นอน

ย่อหน้าต่อไปนี้เป็นคำบอกเล่าในเชิงเทพพยากรณ์เกี่ยวกับกษัตริย์โซโลมอน ซึ่งไม่ว่าตำนานกษัตริย์โบราณของประเทศไหนๆ ก็ย่อมมีเรื่องเกี่ยวกับเทพยากรณ์ทั้งนั้น

หนแรกโซโลมอนได้ไปขอสติปัญญาจากพระเจ้า เพื่อจะได้นำมาใช้ในการปกครองอาณาจักร แต่ต่อมาพระองค์ไม่ยอมดำเนินในแนวทางของพระเจ้า เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ พระเจ้าจึงลงโทษให้อาณาจักร ถูกแยกเป็น 2 ส่วน กลายเป็นฝ่ายเหนือกัยฝ่ายใต้ ต่อมาฝ่ายเหนือล่มสลายไปด้วยน้ำมือของอาณาจักรอัสซีเรีย และฝ่ายใต้ก็ล่มสลายด้วยน้ำมือของอาณาจักบาบิโลน และนี่ก็เป็นเหตุให้คนอิสราเอลต้อง กระจัดกระจายไปในทั่วโลกนับแต่บัดนั้น

เรื่องราวของโซโลมอนนี้มีหลายฉบับ อันนี้ต้องยอมรับความจริงว่า เรื่องราวที่ผ่านไปตั้งสองสามพันปีแล้วนี่ ส่วนใหญ่จะเริ่มต้นกันด้วยปากต่อปาก และหลังจากนั้นจึงบันทึกด้วยอักขระ แต่ถึงจะบันทึกอักขระบนหนังสัตว์ หรือก้อนหิน อย่างไรก็ต้องเสียก็ต้องมีเลือนมีเพิ่มเข้าไปบ้าง ตามแต่วัตถุประสงค์ของผู้เล่า และผู้บันทึก ดูประวัติศาสตร์ไทยย้อนหลังไปแค่ เจ็ดแปดร้อยปีก็พอ นักประวัติศาสตร์ก็ยังถกเถียงกันอยู่เลย

ส่วนที่พูดตรงกัน และเป็นที่ยอมรับของนักประวัติศาสตรืก็คือ อาณาจักรที่อยู่ภายใต้การปกครองของโซโลมอนนั้นมีความมั่งคั่งทางการค้าอย่างมาก พระองค์สรางโบสถ์อันงดงามที่นครเยรูซาเล็ม และได้สร้างราชวังใหญ่โตอยู่ใกล้ๆ กัน

และก็ย่อมเป็นธรรมดาสำหรับนครที่มีความเจริญ ผู้คนที่ต้องเดินทางไกลก็มักจะต้องแวะเวียนผ่านไปเสมอ เปรียบง่ายๆ เราเป็นคนเพชรบุรี จะขึ้นเหนือมันก็น่าจะ แวะกรุงเทพฯ เสียหน่อย ดังนั้นจึงเป็นธรรมเนียมไปเสียแล้ว ที่กองเรือสินค้าที่ ต้องล่องผ่านทะเลแดงไปยัง อาณาจักรโอฟีร์อีกฟากหนึ่ง ต้องนำเอาทองคำมาถวายพระองค์ อีกทั้ง รายได้ในการเก็บภาษีจากพ่อค้าที่ผ่านไปมานั้นก็มากมายมหาศาล

อาณาจักรไหนรวยหรือไม่รวยนั้น เข้าว่าให้ดูจากตำนานมหาสมบัติ

เพราะถ้าอาณาจักรไหนมีตำนานมหาสมบัติหลายฉบับ นั่นก็แสดงว่า ความร่ำรวยนั้นมีความจริงอยู่มาก ในกรณีของกษัตริย์โซโลมอนนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง ทั้งนิยาย และภาพยนต์ที่อ้างถึงกรุสมบัติของพระองค์นั้นมีนับไม่ถ้วน

ชุมชนของมนุษย์นั้น หากภาพรวมทางเศรษฐกิจเหลือกินเหลือใช้ ไร้ซึ่งสงครามกวนใจ ทั้งนครก็จะเต็มไปด้วยช่างและกวี เศรษฐกิจกับศิลปวัฒนธรรมมันเป็นของคู่กันนี่ครับ สิ่งมหัศจรรย์ทั้งเจ็ดที่มนุษย์รังสรรค์ขึ้นมาประดับโลก แม้จะด้วยสติปัญญาก็จริง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ย่อมขาดความเรืองรุ่งทางเศรษฐกิจไปไม่ได้ก็คงเหมือนทุกวันนี้แหละครับ ประเทศจนๆ จะไปจัดโอลิมปิคให้ยิ่งใหญ่ได้อย่างไร ต่อให้มีความคิดสวยหรูในการจัดมากเท่าไหร่ก็เถอะ

เนื่องจากกษัตริย์โซโลมอนเป็นกษัตริย์ที่ทรงโปรดกวี และศิลปะ และถึงแม้พระองค์จะได้ชื่อว่าเป็นคนฉลาดหลักแหลมมากคนหนึ่ง แต่พระองค์ก็ยังทรงมีนักปราชญ์ และกวีเป็นที่ปรึกษามากมาย งานวรรณกรรมที่ว่ากันว่าเกิดในยุคนั้นก็ยังมีหลงเหลือเล่าขานจนถึงทุกวันนี้ ที่ผมเคยเห็นเคยรวมเล่มภาษาไทยก็คือ สุภาษิตโซโลมอน บทเพลงโซโลมอน ฯลฯ และที่เคยอ่านผ่านตามาบ้าง ผมว่าทางเยรูซาเล็มนี่ก็ คมคายไม่แพ้ทางกรีกเหมือนกัน

จะด้วยพระองค์รำรวยมากจนเกิดความต้องการแปลกๆ หรือจะด้วยอยากลองภูมิปราชญ์ที่ปรึกษาของตัวเองก็ไม่รู้ได้ พระราชโองการ ฉบับที่ผมเล่าไว้ตอนต้นจึงเกิดขึ้น

ความต้องการของพระองค์คือแหวนหนึ่งวง

แหวนที่สลักคำจารึกที่จะทำให้พระองค์สามารถเปลี่ยนแปลงอารมณ์ได้

ทำเล่นไป แหวนนี้ผมว่าอานุภาพของมันน่าจะยิ่งใหญ่กว่าแหวนในนิยายเรื่อง เดอะ ลอร์ด ออฟ เดอะ ริงส์ นะครับ

รายละเอียดของพระราชโองการนี้ก็คือ ไม่ว่าพระองค์จะอยู่ในอารมณ์ใดก็ตาม หากพระองค์ทอดพระเนตรไปที่แหวน แหวนนี้จะต้องเปลี่ยนอารมณ์ของพระองค์ได้ ไม่คำนึงว่าพระองค์จะโทมนัส หรือทรงโสมนัสอยู่ หรือต่อให้พระองค์ทรงกริ้วอยู่ แหวนนี้ก็จะต้องเปลี่ยนอารมณ์ทำให้หายกริ้วได้ หรือต่อให้แม้แต่ตอนที่ทรงสำราญอยู่ แหวนวงนี้ก็ต้องแสดงถึงอิทธิฤทธิ์ออกมาให้ทรงหายสำราญได้

เมื่อฟังโองการจบ เหล่าอำมาตย์ต่างก็คิดกันหนักว่าจะไปหาแหวนวิเศษขนาดนี้ที่ไหน

ช่าง และกวีทั่วทั้งเยรูซาเล็มถูกตามตัวมารับงานขึ้นเรือนแหวน นักบวชตามวิหารต่างๆ ถูกตามมาสวดมนต์เพื่อแหวน แล้วก็เป้นอย่างที่คาดไว้ ไม่มีใครสามารถสร้างแหวนที่ทรงพลานุภาพอย่างนั้นได้

การประชุมของเหล่าที่ปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้มีแทบทุกวัน วันกำหนดก็ใกล้เข้ามาทุกที ความกังวลมายึดอยู่ในจิตใจทุกคน แต่ที่หนักสุดเห็นจะเป็นปราชญ์เฒ่า ผู้เป็นหัวหน้าคณะที่ปรึกษาของกษัตริย์โซโลมอน เพราะถ้าทำไม่สำเร็จ พระราชอาญาก็คงต้องตกกับตัวเองเพียงผู้เดียว

ความกังวลเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ไม่ว่าใครก็ตามก็มักจะก่อตัวใหญ่ขึ้น แหละเมื่อกังวลเรื่องหนึ่งเรื่องใด มันก็จะกังวลต่อไปอีกไม่รู้กี่เรื่องต่อกี่เรื่อง ปราชญ์เฒ่าผู้เป็นหัวหน้าก็เช่นกัน ถึงตอนนี้แล้ว ความกังวลมากมายจึงก่อตัววนอยู่รอบๆ ความคิดของปราชญ์เฒ่า ไหนจะเรื่องพระราชอาญาที่อาจถึงแก่ชีวิต ไหนจะเรื่องครอบครัว ไหนจะเรื่องความจงรักภักดี ฯลฯ

และเมื่อถึงที่สุดแล้ว ความเป้นปราชญ์ของเขาก็คิดได้ว่า เขาจะกังวลไปทำไมในเมื่อ ความมั่นคงในชีวิตมนุษย์อย่างแท้จริงนั้นมันไม่เคยมีอยู่ คนเรานั้นจะดีใจหรือหดหู่กับเคราะห์หามยามร้ายมากเกินไปทำไม

และวินาทีนั้นเองท้องฟ้าก็ดูเหมือนจะเปิดออกให้ได้เห็นแสงสว่าง

ในวันที่ถวายแหวนวิเศษแด่กษัตริย์โซโลมอน ทันทีที่พระองค์หยิบแหวน ขึ้นมาทอดพระเนตรคำจารึก พระองค์ถึงกับนิ่งอึ้งไปพักใหญ่ แล้วจึงทรงแย้มพระโอษฐ์ออกมาอย่างพึงใจ เหล่าอำมาตย์ทั้งปวงจึงพร้อมใจกันเปล่งเสียงถวายพระพร

ในแหวนวิเศษนั้นมีคำจารึกไว้ว่า.........

"แล้วสิ่งนี้ก็จะผ่านพ้นไปเช่นกัน"

Share this