เงิน
เงิน..สำคัญมั้ย? เงิน..ใช่ทั้งหมดของชีวิตมั้ย?เงิน..จำเป็นต่อชีวิตคุณหรือไม่ อย่างไร?หลายคนให้คำจำกัดความของคำว่า “เงิน” ไว้ว่า สัญลักษณ์หรือเครื่องหมายที่ใช้แทนอัตราการแลกเปลี่ยนสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือหลายสิ่ง
เงิน…สำคัญมั้ย?ทุกคนมีคำตอบในใจของตัวเองอยู่แล้ว หลายคนบอกว่า เงินไม่สำคัญหรอก “เพราะผมอยู่อย่างพอเพียง” คุณครับคุณใช้คำนี้ผิดครับ หากคุณจะใช้คำว่าคุณอยู่อย่างพอเพียง นั่นแปลว่าคุณต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มีวันเจ็บ ไม่มีวันป่วย ไม่จำเป็นต้องเรียนสูงๆ ไม่จำเป็นต้องทานอาหารดีๆ ไม่ต้องแต่งตัวสวยๆ ไม่จำเป็นต้องใช้สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ คุณลองคิดดูนะครับ หากวันนึงลูกของคุณอยากเรียนสูงๆ อยากไปเรียนต่อต่างประเทศเพื่ออนาคตที่ดี คุณจะทำอย่างไร หรือลองคิดง่ายๆนะครับ วันนึงลูกของคุณป่วยหนัก โอกาสรอดชีวิตมีไม่กี่เปอร์เซ็นต์ ผมอยากจะถามคุณว่า คุณต้องทำไงก็ได้ให้ลูกของคุณรอด ถูกต้องมั้ยครับ? คุณต้องการให้ลูกของคุณได้รับการรักษาจากแพทย์ที่ดีที่สุดในประเทศ ให้พักอยู่ในโรงพยาบาลที่ดีที่สุด รับยาที่ดีที่สุด ถูกต้องมั้ยครับ?แล้วผมถามคุณว่า คุณจะเอาเงินเหล่านั้นมาจากไหน มารักษาลูกคุณอย่างไร?หรือคุณต้องการให้ลูกของคุณได้รับการรักษาที่ไหนก็ได้ ไม่รอดก็ไม่เป็นไร อย่างนั้นหรือ?อยากให้อยู่ในโรงพยาบาลที่ห้องนึงมีเป็นสิบเตียง คนป่วยนอนรอเป็นสิบ พยาบาลทำหน้าบูด ยาก็ใกล้หมดอายุ ถึงหมอจะใหม่แต่โรงพยาบาลก็เก่า อย่างนั้นหรือครับ? ผมเชื่อว่าคุณไม่ต้องการให้มันเป็นอย่างนั้นแน่นอน ใช่มั้ยครั้บ?แล้วคำที่คุณบอกว่าพอเพียงหล่ะครับ ใช้ได้มั้ย?คำว่าพอเพียงของคุณ ใช้ได้เมื่อคุณอยู่ในสถานการณ์ปกติเท่านั้นครับ แล้วสถานการณ์ฉุกเฉิน หล่ะครับ สถานการณ์วิกฤตหล่ะครับ คุณจะทำอย่างไร?
เงิน…ใช่ทั้งหมดของชิวิตมั้ย?ไม่ใช่ครับ ผมยืนยันว่าไม่ใช่ ชีวิตเรายังมีอะไรอีกที่มากกว่าเงิน บางคนบอกว่า “ผมปลง”คำนี้คุณก็ใช้ผิดเช่นกัน คำว่าปลง คุณลองคิดดูดีๆนะครับว่า คนที่ปลงจริงๆคือพระครับ ชีครับ หรือเณรครับ คุณยังปลงไม่ได้หรอก เพราะถ้าคุณปลงได้ คุณไปบวชแล้วครับ หลายคนแย้งคำนี้กับผม บางคนเค้าบอกผมว่า เคยอ่านหนังสือเล่มนึงชื่อ “เข็มทิศชีวิต” หนังสือเล่มนี้สอนให้ผมปลง คุณครับผมอยากบอกคุณว่า คุณไม่ได้ปลงจริงๆหรอก คุณแค่ยอมแพ้ในโชคชะตา คุณแค่ไม่รู้ว่าทำไงคุณถึงจะรวย แล้วก็โทษที่เป็นเพราะลิขิตฟ้า “ก็พ่อแม่ผมไม่รวยหนิ” “ก็ผมมันหัวไม่ดีหนิ” อย่างนั้นบ้างแหละ อย่างนี้บ้างแหละ ข้ออ้างมากมายที่หามาให้ตัวเองสบายใจ บอกกับตัวเองไปวันๆว่า “ผมปลง” แล้วก็อยู่กับชีวิตเดิมๆ ไม่พัฒนาตัวเอง คุณครับผมอยากจะบอกคุณอีกอย่างครับว่า คุณแค่เล่นเกมอยู่ในกฎกติกาที่ไม่มีทางชนะครับ คุณเข้าใจคำนี้มั้ยครับ “กฎกติกาที่ไม่มีทางชนะ” “กฎกติกาที่ไม่มีทางชนะ” ก็คือ การที่คุณยังคงคิดเหมือนคนอื่น คุณยังคงคิดเหมือนทุกคน นั่นทำให้คุณแพ้เหมือนทุกคน นั่นทำให้คุณยังคงจนเหมือนคนอื่นยังไงหล่ะครับ คุณเคยอ่านบทความวิจัยของนักวิชาการคนนึงมั้ยครับว่า ถ้าเปรียบเงินในโลกใบนี้มีแค่ 100บาทและคนในโลกใบนี้ก็มีแค่ 100คนคุณรู้มั้ยครับว่า เงิน 99บาทจะตกอยู่ในกระเป๋าของคน 5คนและเงินอีก 1บาท จะอยู่ในกระเป๋าของคน 95คนที่เหลือ คุณลองคิดดูนะครับว่าจริงมั้ย ผมจะยกตัวอย่างให้เข้าใจง่ายๆนะครับ คุณรู้มั้ยครับว่า คนทั้งประเทศไทยทำงานทั้งปี ได้ผลกำไรน้อยกว่า คนในบริษัทไมโครซอฟท์ของบิลเกตซึ่งมีแค่สามหมื่นกว่าคน ที่ทำงานแค่เดือนเดียวซะอีก นั่นแปลว่าอะไรครับ?นั่นแปลว่า ความคิดของคนมันทำให้คุณภาพของคนมันแตกต่างกันยังไงหล่ะครับ
เงิน…จำเป็นต่อชีวิตคุณหรือไม่ อย่างไร?คุณคงเข้าใจแล้วนะครับว่า เงินจำเป็น และเงินก็สำคัญ คุณควรจะคิดใหม่ทำใหม่ได้แล้วครับ ตอนนี้ วันนี้ ณ เวลานี้ โลกมันเปลี่ยนไปทุกขณะ คำสอนของคนเมื่อ 20ปีก่อน ที่สอนให้ตั้งใจเรียนโตมาจะได้เป็นเจ้าคนนายคน หรือ สอนให้ขยัน
ทำงานเก็บเงินเก็บทองอนาคตจะได้สบาย มันใช้ไม่ได้อีกแล้ว เพราะทุกวันนี้ถ้าคุณยังคงคิดเหมือนเดิม คุณจะจนลงทุกวัน เหตุใดคุณถึงจนลงทุกวัน คุณลองคิดดูนะครับ คนจบปริญญาตรีเมื่อ 20ปีก่อน เงินเดือน 8,000ทุกวันนี้ คนจบปริญญาตรี เงินเดือน 15,000แต่เมื่อเทียบกับค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นทุกวัน ซึ่งดูได้จากมูลค่าของทอง เมื่อ 20ปีก่อนทองมูลค่าบาทละไม่ถึง 4000แต่วันนี้ บาทละไม่ต่ำกว่า 25000เมื่อก่อนทำงาน 1เดือนซื้อทองได้ 2บาทกับอีก 2สลึง แต่วันนี้ต้องทำงานเกือบ 2เดือนถึงจะได้ทอง 1 บาท นั่นแสดงว่าคุณจนลง ถูกต้องมั้ยครับ?เพราะฉะนั้นคุณต้องคิดให้แตกต่าง ต้องคิดให้พลิกแพลงกว่า ต้องคิดให้เหมือนคนส่วนน้อย ต้องทำให้เหมือนคนส่วนน้อย ต้องเป็นเหมือนคน 5คน ที่กำเงิน 99บาท นั่นสิครับ ถึงจะถูก จริงมั้ยครับ?
คนจนไม่มีสิทธิ์อ่าน
คำคมวันนี้
หากวันนี้ยังเอาตัวไม่รอด แล้วพรุ่งนี้มันจะดีกว่าวันนี้ได้ไง ชีวิตที่ไม่มีการวางแผน ไม่มีทางมีอนาคตที่ดีได้
( No Plan… No Action )
· Re-Thought คืออะไร? การเปลี่ยนกระบวนทัศน์ เปลี่ยนกระบวนการคิด ใหม่ทั้งหมด
· ทำไมต้อง Re-Thought? เพราะวิธีการเดิมๆที่เคยทำให้ประสบความสำเร็จ เมื่อ 10-20ปีก่อน มันใช้ไม่ได้แล้วเพราะโลกมันเปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก ถ้าอยากรวยก็ต้องเปลี่ยนความคิดให้โตทันโลก
· วิธีการทำอย่าไร? ให้ดูคนที่รวยที่สุดในโลกว่าเขาคิดอะไรถึงทำให้เขารวย
· ถ้าไม่ Re-Thought? ให้ลองคิดย้อนไปว่า วิธีการเดิมๆ
- มันทำให้คุณ รวยมั้ย
- มันทำให้คุณ ประสบความสำเร็จมั้ย
- มันทำให้คุณ มีอนาคตที่ดีขึ้นมั้ย
- ถ้ามันทำได้ คุณก็รวยไปตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วๆซิ
แต่ถ้าความคิดเดิมๆ มันยังทำให้คุณจนอยู่หล่ะก็ เปลี่ยนความคิดนั้นซะเถอะ
ความคิดที่ผมจะเสนอต่อไปนี้จะทำให้คุณเป็นเศรษฐี เพราะเป็นความคิดที่ไม่มีสอนในโรงเรียน ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัยและไม่มีสอนที่ใดในโลก เพราะเป็นความคิดที่
คนจนไม่มีสิทธิ์ได้รับรู้ เพราะถ้าคนจนรู้ ป่านนี้เขาหายจนไปนานแล้ว
คุณรู้มั้ยครับว่า “หนึ่งช่วงอายุคน จะทำให้จนลงหนึ่งระดับ”ทุกวันนี้คุณกำลังจนลง เคยสังเกตบ้างมั้ยว่ามันเป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงของสังคมในโลกที่มันเปลี่ยนไปทุกขณะ ผมจะยกตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงง่ายๆนะครับ คนจบปริญญาตรี เมื่อ15ปีที่แล้ว เงินเดือน 8000 ทำงานหนึ่งเดือนเก็บทองได้ 2 บาท แต่ทุกวันนี้เงินเดือน 15000ทำงานเกือบ 2เดือนถึงจะได้ทอง 1บาท เห็นมั้ยครับว่าคุณจนลง อีกหนึ่งตัวอย่าง เมื่อก่อนถ้าคุณมีเงินล้านไปฝากธนาคารดอกเบี้ยปีละ16%คุณจะได้ดอกเบี้ยปีละ แสนหก แต่ทุกวันนี้ ดอกเบี้ยเหลือไม่ถึง 1%คุณฝากเงินล้าน ดอกเบี้ยที่คุณได้ยังไม่พอเสียภาษีเลยครับ ตัวอย่างสุดท้ายที่จะชี้ให้เห็นนะครับ ว่าสังคมมันเปลี่ยนแปลงไปถึงไหนแล้ว สมัยนี้สาขาที่เรียนในมหาวิทยาลัย แล้วจบมาทำงานได้เงินดีก็เปลี่ยนไป ถ้าเรียนวิศวะก็ต้องเรียนเกี่ยวกับพลังงานทดแทน แต่ถ้ายังคิดเรียนโยธาเหมือนเดิม โอกาสรวยไม่เหมือน 10-20ปีที่ผ่านมา เพราะปัจจุบันสิ่งปลูกสร้างมีอัตราเพิ่มขึ้นน้อยลงกว่าเมื่อก่อนลงทุกวัน ถ้าเรียนหมอ ก็ต้องเรียนหมอสกินแคร์ เกี่ยวกับเรื่องผิวหนัง หรือ หมอศัลย์ ที่ตัดจู๋เติมจิ๋ม ถึงจะรวย เดี๋ยวนี้เขารวยจากการขาย Goodwill (ความนิยม) ขาย Know How(ความคิดสร้างสรรค์)หรือสร้าง Network(เครือข่าย)กันแล้ว ดังวลีเด็ดของคนที่รวยที่สุดในโลกกล่าวว่า “คนรวยหาเงินจากการสร้างเครือข่าย ต่างกับคนจนที่เลือกจะทำงานเพื่อหาเงิน” ถ้าถามว่าเงินเงินสำคัญมั้ย และทำไมเราต้องรวย เพราะ คนรวยเข้าสามารถได้ เกือบทุกสิ่ง…แต่คนจน เพียงขอแค่มีปัจจัยสี่ บางทียังไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะคิดเลย หรืออยากตอบแทนคุณพ่อแม่ อยากให้ท่านได้สุขสบาย มีความเป็นอยู่ที่ดี ยังทำไม่ได้เลย ถามว่าเพราะอะไร?เพราะไม่มีเงินไงครับ คุณอยากรวยต้องทำไง? คุณต้องคิดและทำไม่เหมือนกับคนส่วนใหญ่ในสังคม คุณถึงจะรวย คนส่วนใหญ่ในสังคมทำอะไร…หลังเลิกงาน ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม กินเหล้า ดูบอล คนส่วนใหญ่ทำอะไรไม่ได้แปลว่าจะทำให้คุณรวย คนส่วนน้อยนี่สิครับทำอะไรถึงทำให้เขารวย… หลังเลิกงาน คิด วางแผน คิด วางแผน แล้วก็ปล่อยให้เงินทำงานเพื่อหาเงิน มันต่างกันตรงนี้ไงครับ ระหว่างคนจนกับคนรวย ที่คนนึงเลือกที่จะวางแผนชีวิตแต่อีกคนนึงเลือกที่จะปล่อยชีวิตส่วนมากคนเหล่านี้มันจะบอกว่าเงินไม่สำคัญ คนที่บอกว่าเงินไม่สำคัญมีแค่ 2 ประเภทครับ คือ 1.คนที่ไม่มีเงิน และ 2.คนที่หาเงินไม่เป็น จริงอยู่ที่เงินไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต แต่เงินซื้อคุณภาพชีวิตที่ดีได้ จริงมั้ยครับ?ส่วนเหตุผลที่ทำให้คนไม่ประสบความสำเร็จ ไม่ร่ำรวย และยังจน มีอยู่ 5ข้อครับ คือ 1.ไม่รู้ว่าชีวิตลิขิตได้ คนจนส่วนใหญ่โทษที่เป็นเพราะ ไม่มีบุญพาวาสนาส่งบ้างแหละ หรือเป็นเพราะโชคชะตาไม่ดีบ้างแหละ ผมอยากบอกคุณว่า ความจนไม่ใช่กรรมพันธุ์ครับที่จะแก้ไขไม่ได้ คุณแค่เล่นเกมอยู่ในกฎกติกาที่ไม่มีทางชนะ คุณก็เลยยังจนอยู่เรื่อยไป คนจนก็มี 2ประเภทนะครับ คือ “จนเพราะขาดโอกาส”กับ “จนเพราะขาดความคิด”คนที่จนเพราะขาดโอกาสนี้น่าสงสารนะครับ ผมเคยไปศรีลังกาผมจึงรู้ว่าคนที่จนแบบขาดโอกาสนี้เป็นยังไง ส่วนพวกที่จนเพราะขาดความคิด คือพวกที่คิดไม่เป็น อยากรวยแต่ไม่อยากคิด แต่ทั้งสองประเภทนี้ ก็ยังดีซะกว่าพวกที่ขี้เกียจ ทั้งที่ “ขี้เกียจเพราะไม่รู้ว่าต้องขยัน”พวกนี้ยังแก้ได้ แต่พวกที่ “ขี้เกียจโดยนิสัย”นี่สิครับแก้ไม่ได้ เหมือนโดนสาปยังไงก็ไม่รู้ ข้อต่อไปข้อที่ 2.ทำแต่สิ่งที่ชอบ ทำแต่สิ่งที่ถนัด คือพวกที่ทำแต่สิ่งที่ไม่สามารถสร้างอนาคตได้ ข้อที่ 3.ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง คือพวกที่รู้ว่าคิดผิด ทำผิด แต่ไม่ยอมเปลี่ยน ข้อที่ 4. อยู่ในกฎกติกาที่ไม่มีทางชนะ คือพวกที่ทำงานทั้งชาติก็ไม่มีวันรวย ยกตัวอย่างคนขายหอยทอดนะครับ ผมไม่ได้ว่าขายหอยทอดไม่ดีนะไม่ได้ดูถูกนะ ในประเทศไทยมีคนขายหอยทอดเยอะแยะ มีหลายคนขายหอยทอดมาเกือบทั้งชีวิต แต่จะมีสักกี่คนที่คิดอยากจะรวยเป็นมหาเศรษฐีเหมือนคุณเจริญ (เจ้าของ เบียร์ช้าง) …ไม่มีครับ มีแต่คิดว่ากูจะขายหอยทอดไปทั้งชีวิตนี่แหละ ก็อย่างที่ผมบอกไป ขายหอยทอดไม่ใช่ไม่ดีนะ แต่คุณต้องคิดก้าวหน้า ต้องคิดต่อยอด ข้อสุดท้ายข้อที่ 5.ไม่มีเวลานึกถึงอนาคต คือพวกที่ยุ่งอยู่กับงานที่ทำเงิน แต่ไม่สามารถสร้างอนาคตได้ จนไม่มีเวลาวางแผนชีวิต จากเหตุผลทั้ง 5ข้อนี้ สามารถแก้ได้ด้วยการเช็คกระบวนทัศน์ของตัวเองก่อนที่จะเริ่ม Re-Thought หรือเปลี่ยนมันซะ ขั้นตอนแรก ก่อนที่คุณจะประสบความสำเร็จ คุณต้องมี “ความฝัน”ความฝันเป็นสิ่งแรกที่คุณต้องมี หลังจากนั้นเริ่ม “ตั้งเป้าหมาย” เมื่อคุณมีเป้าหมายแล้วคุณต้องวางแผน “ทำแผนงาน”เตรียมที่จะ “ดำเนินงาน” หลังจากนั้นเมื่องานคุณสำเร็จคุณต้อง “สังเกตผล” ของงาน ว่างานที่คุณเพิ่งทำสำเร็จไปนั้น จะสำเร็จได้ตลอดไปหรือป่าว โดยการที่คุณต้องใช้ปัญญาทั้งหมดที่คุณมี “วิเคราะห์”และกลับไปแก้ไขที่ “แผนงาน”ของคุณจนกว่างานของคุณนั้นจะประสบความสำเร็จ ยกตัวอย่างง่ายๆนะครับ คุณรู้จัก โทมัส อัลวา เอดิสันมั้ยครับ เค้าคือผู้ประดิษฐ์หลอดไฟหลอดแรกของโลก ผมถามว่าถ้าวันนึงเค้าไม่มีความฝันว่าอยากมีหลอดไฟใช้ แล้วไม่ลงมือทดลองกว่าหนึ่งหมื่นครั้งถึงจะสำเร็จ ในวันนี้โลกของเราจะมีแสงสว่างจากหลอดไฟใช้ในยามกลางคืนหรือไม่ครับ อีกหนึ่งตัวอย่างนะครับ สองคนนี้คือสองพี่น้องตระกูลไลท์ ที่วันนึงคิดพิเรนอยากบินได้เหมือนนก จึงหาวิธีการสร้างเครื่องบินขึ้นมาจนสำเร็จ ผมถึงอยากบอกกับคุณว่า คุณต้องมีความคิดใหม่ๆ เพราะวิธีคิดเดิมๆใช้ไม่ได้ผลแล้ว ถ้าไม่อย่างนั้นความฝันหรือเป้าหมายที่คุณตั้งไว้จะไม่สำเร็จอย่างแน่นอน เดี๋ยวนี้ถ้าอยากรวยต้องสร้างธุรกิจเป็นของตัวเอง แต่ปัญหาก็อยู่ตรงที่สร้างธุรกิจเป็นของตัวเองนี่แหละว่าจะสำเร็จมั้ย ปัจจัยหนึ่งหล่ะคุณต้องมีทุน ปัจจัยที่สองคือแบรนด์ ถ้าคุณไม่สามารสร้างแบรนด์เป็นของตัวเองได้มันก็จำเป็นที่คุณต้องหาธุรกิจใหม่ที่มีลูกพี่ ถามว่าธุรกิจที่มีลูกพี่คืออะไร?คือธุรกิจที่ติดสอยห้อยตาม ถ้าคุณโตผมก็โต ตัวอย่างเช่นบริษัทล้างขวดให้เบียร์ช้าง โรงงานผลิตนอตและส่งนอตให้โตโยตา ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเลยก็คือโรงงานผลิตนอต ถ้าโรงงานนี้ไม่มีธุรกิจลูกพี่อย่างโตโยตา ก็คงเจ๊ง เพราะถ้าโดนตีตลาดจากจีนคงจะสู้ไม่ไหว แล้วถ้าคุณไม่มีทั้งทุน แล้วก็ไม่มีทั้งแบรนด์หล่ะ คุณจะทำอะไร?
โอกาส
ในชีวิตของคนๆนึงต้องการโอกาสสักกี่ครั้ง หนึ่ง สอง หรือสาม หรือต้องการเสมอ คุณครับ…โอกาสบางทีมันมีครั้งเดียวครับ คุณครับ…โอกาสนี้เป็นโอกาสสุดท้ายของคุณแล้วนะครับ คุณครับ… คุณครับ…และคุณครับ…คุณคงเคยได้ยินคำเหล่านี้เสมอ แต่คุณเลือกที่จะละเลยมัน เพราะอะไร?เพราะคุณไม่รู้ไงครับ ว่านี่คือโอกาส โอกาสไม่ได้มีมาให้คุณเลือกเสมอไปหรอกนะครับ เมื่อคุณมีโอกาสคุณควรจะเลือกมันไว้ คุณควรจะคว้ามันไว้ นี่สิครับถึงเรียกว่าโอกาสที่คุ้มค่า ผมจะยกตัวอย่างให้คุณเข้าใจง่ายๆนะครับ คุณลองคิดภาพเมื่อคุณตกน้ำ คุณกำลังจะจมน้ำ คุณกำลังจะหมดแรง และคุณก็จะต้องจมลงในที่สุด แต่ด้วยลมหายใจสุดท้ายและแรงหยดสุดท้ายทำให้คุณตะเกียกตะกายขึ้นพ้นน้ำได้อีกครั้ง คุณมองเห็นเชือกฟางเส้นนึง แต่คุณไม่รู้เลยว่าเชือกฟางเส้นนี้บางมากแค่ไหน ไม่รู้เลยว่าแข็งแรงมากพอมั้ย ที่จะใช้ช่วยชีวิตคุณได้ ผมอยากถามคุณว่า คุณเลือกที่จะดึงมันมั้ย หรือ คุณจะรอเชือกฟางเส้นต่อไป…
“โอกาส”ที่ผมจะสื่อต่อไปนี้คือโอกาสทางธุรกิจ ถ้าคุณถามผมว่าธุรกิจที่ผมหมายถึงมันคือธุรกิจอะไร ผมขอตอบโดยที่ไม่ลังเลใจเลยว่า “ธุรกิจเครือข่าย”หลายคนที่ได้ยินคำนี้ถึงกับเบือนหน้าหนี คุณก็เช่นกัน ใช่มั้ยหล่ะครับ?อาจเป็นเพราะว่า หลายๆธุรกิจที่ผ่านมาที่ทำการตลาดแบบนี้ ทำให้ภาพลักษณ์ของคำว่า “ธุรกิจเครือข่าย” เสื่อมเสีย แต่คุณรู้มั้ย เหตุใดผมถึงเรียก “ธุรกิจเครือข่าย”ตัวนี้ว่า “โอกาส”เพราะธุรกิจตัวนี้ไม่เหมือนกับธุรกิจเครือข่ายตัวอื่นๆทั่วไป ที่ต้องตื๊อลูกค้า ต้องขายตรง ต้องรักษายอด แต่ธุรกิจตัวนี้เป็นธุรกิจเครือข่ายโทรคมนาคมในเครือของทรูคอร์ปอเรชั่น ที่มีอัตราการเจริญเติบโตเร็วที่สุดในประเทศไทยในระยะเวลาไม่กี่ปี ได้รับการแต่งตั้งให้มาทำ “ธุรกิจระดมทุน” เพื่อสร้างเสาสัญญาณให้ครอบคลุมทั่วทุกพื้นที่ของประเทศไทยและขยายธุรกิจในเครือของทรูให้ครอบคลุมทุกเรื่องของการสื่อสาร ในการระดมทุนครั้งนี้เปรียบเสมือนการลงทุนที่ไม่ต้องรอผลตอบแทน ทุกสิ้นปี แต่คุณสามารถรับผมตอบแทนจากการที่คุณช่วยทรูสร้างเครือข่ายระดมทุน ได้ทุกเดือน ดังนั้น ธุรกิจนี้ก็อาจเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของคนที่มองหาโอกาสสร้างเนื้อสร้างตัวอยู่ก็เป็นได้ คุณลองคิดและพิจารณาอย่างถี่ถ้วนที่สุดนะครับ ว่าข้อมูลที่ผมจะพูดต่อไปนี้ จริงมั้ย?คุณพอทราบหรือไม่ว่าในปี 2015หรือ พ.ศ.2558 อีก 3ปีข้างหน้านี้ ประเทศไทยจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ในอีก 3ปีข้างหน้านี้ ประเทศไทยจะเปิดประเทศ เข้าสู่สมาคมอาเซียนอย่างสมเกียรติ โดยมีนโยบายจากสมาคมอาเซียนให้เปิดรับการพัฒนาทางการศึกษา เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ผมถามคุณว่าการที่ประเทศไทยเปิดประเทศมันส่งผลกระทบต่อคุณอย่างไรบ้าง?คุณอาจจะคิดว่าไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณสักหน่อย ก็แค่การเปิดประเทศ จะมีผลกระทบอะไรต่อคุณ ผมอยากจะบอกว่า คุณคิดผิดครับ ในอีก 3ปีข้างหน้านี้ เมื่อประเทศไทยเปิดประเทศ การจ้างงานในประเทศไทยจะเปลี่ยนไป เพราะคนทุกชาติในเอเชียสามารถเข้ามาทำงานในประเทศไทยได้ หากวันนี้คุณยังเป็นลูกจ้างเค้าอยู่ คุณลำบากแน่!คุณลองคิดดู หากคนชาติไหนก็ได้ในอาเซียนมาสมัครงานเป็นลูกจ้าง สมมตินะครับ สมมติว่าเป็นคนพม่า คนพม่าต้องการค่าแรงขั้นต่ำ 200บาทต่อวัน แต่คนไทยต้องการค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท คุณลองคิดในมุมกลับ หากคุณเป็นเจ้าของกิจการ คุณจะจ้างใคร?นี่แหล่ะครับผลกระทบ ไม่เพียงแต่ลูกจ้างนะครับ ระดับผู้บริหารยังกระเทือนเลย คุณลองคิดดูนะครับ หากตอนนี้คุณเป็นผู้บริหาร จริงอยู่คุณเรียนมาสูงคุณมีประสบการณ์ แต่อีก 3 ปีข้างหน้า คุณสมบัติเท่านี้ไม่เพียงพอหรอกครับ คุณจะต้องแข่งขันกับผู้บริหารทั้งหน้าใหม่ หน้าเก่าที่เคยบริหารบริษัทเล็ก บริษัทใหญ่มาก่อนจากทั้งในและต่างประเทศ ทั้งที่เรียนจบปริญญาสองใบ ปริญญาสามใบจากมหาวิทยาลัยต่างๆ เก่งทั้งสองภาษา สามภาษา หรือสี่ภาษา คุณคิดว่าคุณสมบัติของคุณที่มีอยู่ เพียงพอมั้ย? ถ้าคุณสมบัติของคุณไม่พอคุณจะทำอย่างไร? หากคุณมีแนวคิดที่ไม่ต้องการเผชิญหน้ากับการแข่งขันที่จะมีมากขึ้นในอนาคตโดยที่คุณไม่สามารถหลีกเลี่ยงมันได้เลย และคุณต้องการโอกาสที่จะสร้างชีวิตใหม่ ที่จะทำให้คุณหลุดพ้นจากการแข่งขันเหล่านี้ คุณจะเลือกที่จะทำมันมั้ยครับ?
คุณคงพอทราบการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้แล้ว สรุป…คุณคิดได้หรือยังว่า เหตุใดผมถึงเรียก “ธุรกิจเครือข่าย” นี้ว่า“โอกาส”ธุรกิจนี้สามารถสำเร็จได้ภายในระยะเวลาหนึ่งปีหรืออาจเร็วกว่านั้น และมันทำให้คุณมีรายได้ต่อเดือนไม่ต่ำกว่า 1ล้านบาท ผมอยากถามคุณว่า คุณจะเลือกและคว้าโอกาสนี้ เพื่อสร้างฐานะ เพื่อสร้างคุณภาพชีวิต ของคุณ ของครอบครัว หรือของคนที่คุณรัก เพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่า หรือไม่ครับ?
ความลับของ REAL NETWORK
ก่อนที่คุณจะเริ่มทำธุรกิจนี้คุณต้องเข้าใจก่อนว่าธุรกิจนี้เค้าทำอะไร ทำอย่างไร และทำเพื่ออะไร ผมจะอธิบายคร่าวๆอย่างนี้นะครับ ทรูกับทรูมูฟไม่เหมือนกันและทรูมูฟกับ REAL NETWORKก็ไม่เหมือนกัน ไม่เหมือนกันอย่างไร?คุณต้องทราบก่อนว่า ทรูหรือทรูคอร์ปอเรชั่น มีธุรกิจในเครือหลายธุรกิจและมีธุรกิจหลักอยู่ 5ธุรกิจด้วยกันก็คือ 1.ทรูมูฟ 2.ทรูออนไลน์ 3.ทรูวิชั่นส์ 4.ทรูมันนี่ และ 5.ทรูไลฟ์ ส่วนธุรกิจ REALNETWOKเป็นธุรกิจรอง ที่ได้รับการแต่งตั้งจากบริษัททรูคอร์ปอเรชั่นให้มาทำธุรกิจระดมทุนเพื่อสร้างเสาสัญญาณให้ครอบคลุมทั่วทุกพื้นที่ของประเทศไทยและขยายธุรกิจในเครือของทรูให้ครอบคลุมทุกเรื่องของการสื่อสาร เนื่องด้วยทรูคอร์ปอเรชั่นเป็นบริษัทหน้าใหม่ที่ปรากฏตัวโดยการส่งธุรกิจทรูมูฟมาแทนที่เจ้าของธุรกิจเดิมคือ ทีเอ ออเรนจ์ ด้วยเงินลงทุนที่ค่อนข้างสูง และมีแผนขยายธุรกิจเพิ่มด้วยเงินทุนที่มีอยู่ แต่ทั้งนี้ก็ยังไม่พอถ้าเทียบกับการเจริญเติบโตทางธุรกิจอย่างรวดเร็วในระยะเวลาไม่กี่ปี และเมื่อเทียบกับราคาหุ้นของTRUEที่อยู่ประมาณ 3.68 บาท/หุ้นซึ่งต่างกับราคาหุ้นของDTACที่อยู่ประมาณ 74.5 บาท/หุ้น ทรูจึงหาหนทางเพื่อเพิ่มเงินลงทุนเพื่อขยายธุรกิจในอนาคต โดยทำธุรกิจเพิ่มอีกหนึ่งธุรกิจเพื่อระดมทุนขยายกิจการ โดยธุรกิจระดมทุนนี้เปรียบเสมือนการลงทุนซื้อหุ้นเป็นกลุ่มแต่ทำเป็นกลุ่มลงทุนโดยมีเครือข่ายระดมทุนเป็นผู้ถือหุ้น และมีแผนการตลาดให้กลุ่มลงทุนหรือเครือข่ายระดมทุนนี้ ได้รับผลกำไรตอบแทนทุกเดือนซึ่งต่างจากการลงทุนซื้อหุ้นที่ต้องรอรับผลกำไรจากการปันผลของบริษัททุกสิ้นปี เพราะทรูรู้ดีว่าคนไทยทั่วไปไม่มีเงินทุนมากพอที่จะมาลงทุนซื้อหุ้นเป็นจำนวนมากๆ จึงทำแผนการตลาดแบบเครือข่ายนี้ขึ้นมาเพื่อระดมทุนลงทุนกับ REAL NETWORKเพื่อขยายธุรกิจทรูในอนาคตต่อไป
ธุรกิจครอบครัว
“ธุรกิจครอบครัว” คำนี้หมายความว่าอย่างไรในความหมายของคุณ?“ธุรกิจครอบครัว”หมายถึง “ธุรกิจหรือกิจการใดๆก็ตามที่ถ่ายทอดและส่งต่อผ่านไปยังทายาทรุ่นต่อไปเพื่อดำรงไว้ซึ่งเอกภาพของธุรกิจ”สำหรับในความหมายที่ผมจะสื่อนั้นคือ “การทำธุรกรรมทางการเงินที่เป็นกิจการที่ครอบครัวช่วยกันทำเพื่อนำไปสู่ความสำเร็จ”ดังตัวอย่างบทความต่อไปนี้
เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ขณะที่ผมกำลังนั่งอ่านหนังสือเตรียมสอบปลายภาคกับพี่คนหนึ่งอยู่ อยู่ดีๆพี่คนนี้ก็หันมาถามผมว่า โบ๊ตมาทำธุรกิจกับพี่มั้ย?ผมก็ทำหน้างงๆ …..และคิดในใจว่าอะไรของแกวะเนี่ย มาอารมณ์ไหนวะจะสอบอยู่แล้วมาชวนกุทำธุรกิจ…..ผมก็เลยหันกลับไปถามแกว่า ธุรกิจอะไรครับพี่?แล้วทำไมพี่ถึงมาชวนผมทำหล่ะ?คนอื่นมีตั้งเยอะตั้งแยะ หรือว่าพี่ชวนเค้าแล้วแต่เค้าไม่ทำ?พี่แป๊ะตอบผมกลับมาว่าก็เทอมที่แล้วโบ๊ตติดF…..เอาแล้วครับ ผมงงหนักเข้าไปใหญ่ แกมามุขไหนของแกวะเนี่ย…..ผมเลยตอบแกไปว่า ผมไม่เข้าใจที่พี่สื่ออ่ะครับ พี่แป๊ะหัวเราะแล้วเล่าให้ผมฟังว่า ก็พี่เคยอ่านในหนังสือเล่มนึง เค้าเขียนไว้ว่า คนที่มีไอคิวสูงหรือว่ามีอีโก้สูงจะมีวิสัยทัศน์ต่ำ มันจะแปรผกผันกัน …..ผมเลยคิดในใจว่า นี่แกชมหรือว่าแอบด่าวะ…..แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น พี่แป๊ะแกพูดต่อไปว่า เชื่อพี่มั้ยไม่เกินสามเดือน โบ๊ตจะมีรายได้เสริมไม่ต่ำกว่า 7000บาทต่อเดือน ผมฟังแล้วถึงกับเบือนหน้าหนีเลยครับ แล้วแกยังพูดต่อไปอีกว่า พี่ทำแค่สองวันก็ได้มา 3000บาทละ แล้วแกก็หัวเราะ …..เอาแล้วครับผมชักจะไม่อยากฟังที่แกพูดแล้ว…..หลังจากแกพูดจบ แกเปิดรูปในไอโฟนให้ผมดู ปรากฏว่าเป็นรูปบัญชีธนาคารที่มีเงินโอนเข้ามาในนามของบริษัท REAL NETWORKจำนวน 3000บาท …..ผมเริ่มชั่งใจแล้วครับว่ามันจริงหรอวะ ถ้ามันเป็นเรื่องจริงนะผมทำแน่นอน ก็ผมมันลูกคนจนนี่นา มีงานอะไรที่ผมทำได้ แล้วมันได้เงิน ยากแค่ไหนผมก็ทำหมดแหละ…..ในระหว่างที่ผมกำลังคิดอยู่นั้น พี่แป๊ะแกก็พูดต่อไปว่า โบ๊ตงงใช่มั้ยหล่ะ ว่าพี่ไปทำงานตอนไหน?แล้วได้เงินมาได้ยังไง?พี่บอกตามตรงนะ เมื่อสองวันก่อนพี่ก็งงเหมือนกัน อยู่ดีๆแม่พี่ก็โทรมาบอกว่า “แป๊ะ!หลังจากนี้แม่จะไม่ให้เงินแป๊ะใช้แล้วนะ อยากได้ก็ต้องทำเอาเอง ตอนนี้มีเงินโอนเข้าบัญชีมาแล้ว โอนมาจากบริษัท REAL NETWORKงั้นแค่นี้นะ แม่กำลังคุยกับลูกค้าอยู่” สรุปก็คือ แกงงครับ หลังจานั้น คืนนั้นทั้งคืนแกนอนไม่หลับเพราะไม่เข้าใจในสิ่งที่แม่พูด จนแกคิดขึ้นได้ว่า แม่แกพูดถึงบริษัท REAL NETWORKแกจึงเปิด GOOGLE ค้นหาถึงบริษัทนี้ ว่าบริษัทนี้ทำอะไร จนเข้าใจว่า บริษัทนี้ถูกแต่งตั้งโดยบริษัททรูคอร์ปอเรชั่นเพื่อมาทำธุรกิจเครือข่ายระดมทุน และเมื่อสามเดือนก่อนหน้านี้ ที่แม่แกให้เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์เพราะอะไร แกเล่าให้ผมฟังต่อไปว่า เมื่อสามเดือนก่อนนะโบ๊ต ครอบครัวของพี่อยู่ดีๆเค้าก็พากันเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์มาใช้ “ซัคเซสซิม” เครือข่ายทรูมูฟกันหมด เท่านั้นไม่พอ ยังบังคับให้พี่เปลี่ยนเบอร์ด้วย ตอนนั้นแกก็ไม่ได้คิดติดใจอะไรเพราะแม่แกเป็นคนจ่ายรายเดือนให้ …..แกก็ได้แต่เซ็งในใจว่า แล้วแกจะโทรไปบอกเพื่อนครบมั้ย ว่าแกเปลี่ยนเบอร์แล้ว….. จนมาถึงสองวันก่อนที่แกจะมาคุยกับผมแกหาข้อมูลจาก WWW.REALNETWORK.COMเพื่อตอบข้อสงสัยที่ว่าทั้งๆที่แกไม่เคยทำงาน ไม่เคยทำธุรกิจ ไม่เคยชวนคนมาใช้ซัคเซสซิมเครือข่ายทรูมูฟนี้เลย แล้วทำไมแกถึงได้รับผลตอบแทนจากบริษัทนี้ หลังจากที่แกทำความเข้าใจเรียบร้อยแล้ว แกถึงได้รู้ว่าแม่แกแนะนำให้คนในบริษัทหันมาทำธุรกิจเสริมจากงานประจำ ซึ่งก็คือธุรกิจเครือข่ายระดมทุนในเครือของทรูคอร์ปอเรชั่นโดยที่เปลี่ยนมาใช้ซัคเซสซิมเครือข่ายทรูมูฟ แล้วคนในบริษัทเหล่านี้ซึ่งเป็นลูกน้องของแม่แกมี 100กว่าคน ได้อยู่ในสายงานทั้งสองสายของแกหมดเลย และซึ่งคนเหล่านี้นี่แหละถูกนับรวมเป็นเงิน “โบนัสจากการบริหารทีมอ่อน”ซึ่งในสายงานทั้งสองสาย คือสายงานฝั่งซ้ายซึ่งมี 40 คนและสายงานฝั่งขวาซึ่งมี 60คน โดยเงินโบนัสคิดจากสายงานฝั่งทีมอ่อนจำนวน 40คน ได้โบนัส 75บาทต่อคน เป็นจำนวนเงิน 3000บาท จึงทำให้มีเงินโอนเข้ามา 3000บาทเป็นเงินโบนัสนั่นเอง
จากการที่ผมได้ศึกษาและวิเคราะห์ถึงโครงสร้างของธุรกิจนี้แล้ว ผมคิดว่าธุรกิจระดมทุนนี้ จะเติบโตได้อย่างรวดเร็ว และจะสำเร็จได้ หากเราเข้าใจในธุรกิจนี้ว่า ธุรกิจนี้คือธุรกิจครอบครัวมากกว่าเข้าใจว่าธุรกิจนี้คือธุรกิจเครือข่าย ดังตัวอย่างในกรณีของพี่แป๊ะที่ไม่เคยทำงานและไม่เคยชวนคนมาก่อน แต่กลับได้รับผลตอบแทน เพราะเครือข่ายระดมทุนนี้ถูกสร้างโดยครอบครัวโดยธรรมชาติของตัวมันเอง สมมติง่ายๆ หากทุกคนในครอบครัวหันมาใช้ซัคเซสซิมเครือข่ายทรูมูฟ ทุกๆคนจะสามารถโทรติดต่อหากันฟรี 22ชม.และหากคนในครอบครัวนี้ ยังแนะนำให้คนที่รู้จักหรือคนสำคัญมาช่วยกันระดมทุนและมาใช้ซัคเซสซิมเครือข่ายทรูมูฟนี้อีก ทุกๆคนก็จะสามารถโทรติดต่อหากันฟรี และได้รับผลตอบแทน จากการที่ทุกคนช่วยกันสร้างเครือข่ายระดมทุนนี้ขึ้นมาเช่นกัน ดังนั้นการที่ธุรกิจนี้เติบโตได้อย่างรวดเร็วและแพร่หลายภายในไม่กี่เดือนนั้น คงหลีกเลี่ยงไม่ได้หากจะกล่าวว่า มันเป็นเพราะครอบครัวนั่นเองที่สร้างเครือข่ายที่เข้มแข็งนี้ขึ้นมาด้วยความช่วยเหลือของซึ่งกันและกัน
ผมถามพี่แป๊ะกลับไปว่าถ้าผมเริ่มทำวันนี้ ซึ่งไม่ได้มีคน 100กว่าคนเหมือนพี่อยู่ในสายงานเลย แล้วผมจะได้เงินมาได้ยังไง?แกตอบผมกลับมาว่า โบ๊ตอย่าห่วงไปเลย เงินโบนัสไม่ได้ได้มาแค่ทางเดียวหรอก มันยังมีโบนัสจากการสปอนเซอร์คนอีก แล้วสปอนเซอร์คนแปลว่าไรอ่ะครับ?แกตอบผมว่า การสปอนเซอร์คน ก็คือการชวนคนมาลงทุนหรือการหาเครือข่ายเพื่อระดมทุนนั่นแหละ สมมตินะ สมมติว่าโบ๊ตชวนคนมาลงทุนโดยให้เค้าเปลี่ยนซิมมาใช้ซัคเซสซิมเครือข่ายทรูมูฟได้ 10 คน โบ๊ตจะได้โบนัสการสปอนเซอร์นี้ 51บาทต่อคนต่อเดือน แสดงว่าโบ๊ตจะได้โบนัสจากคน 10คนนี้ 510บาทต่อเดือน และยังไม่หมดนะ ถ้า 10 สิบคนเหล่านี้ไปสปอนเซอร์คนต่ออีกคนละ 10คน แสดงว่า 10คนนี้จะสปอนเซอร์คนได้ทั้งหมด 100 คน ซึ่ง 100คนนี้ โบ๊ตจะได้โบนัสจากพวกเค้าคนละ 39บาทต่อคนต่อเดือน แสดงว่าโบ๊ตจะได้โบนัสจาคน 100คนเหล่านี้คือ 3900 บาท แล้วอย่าลืมนะว่ามีโบนัสจากการบริหารทีมอ่อนอีก 75บาทต่อคนต่อเดือนต่อคนทั้งสายงานฝั่งทีมอ่อน ซึ่งมีทั้งหมด 110หาร 2= 55คน 55คน คูณ 75= 4125ดังนั้นฝั่งที่คะแนนน้อยรวมเป็นโบนัส 4125 บาท ถ้าคิดรวมรายได้ทั้งหมดแล้ว จะได้ 510 + 3900 + 4125= 8535บาท แล้วโบ๊ตคิดว่าที่พี่บอกไปตั้งแต่แรกว่าภายในสามเดือน โบ๊ตจะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 7000บาท พี่ถามว่าจริงมั้ย? หลังจากนั้นสามเดือน เดือนที่สามที่ผมได้ทำธุรกิจนี้กับแก ผมได้โบนัสทั้งหมด 8000 กว่าบาท และในเดือนหน้านี้ ผมก็ได้แต่หวังและคาดหมายไว้ว่ารายได้ของผมน่าจะแตะหลักหมื่น เพราะเงินโบนัสที่พี่แป๊ะเล่าให้ฟังมานั้นมันยังไม่หมด ผมจะอธิบายง่ายๆก็คือ ถ้าผมสปอนเซอร์คน 10คน 10คนนี้ผมขอเรียกพวกเค้าว่า ลูก ผมจะได้โบนัสจากชั้นลูกคือ 51บาทต่อคนต่อเดือน และถ้าลูกสปอนเซอร์คนอีกคนละ 10 คน ผมจะมีหลาน 100คน ซึ่งผมจะได้โบนัสจากชั้นหลานคือ 39บาทต่อคนต่อเดือน และถ้าหลานสปอนเซอร์คนอีกคนละ 10คน ผมจะมีเหลน 1000คน ซึ่งผมจะได้โบนัสจาชั้นเหลนคือ 30บาทต่อคนต่อเดือน และถ้าเหลนชวนคนอีกคนละ 10 คน ผมจะมีโหลน 10000คน ซึ่งผมจะได้โบนัสจากชั้นโหลนคือ 21บาทต่อคนต่อเดือน และถ้าโหลนสปอนเซอร์คนอีกคนละ 10 คน ผมจะมีลื้อ 100000คน ซึ่งผมจะได้โบนัสจากชั้นลื้อคือ 9บาทต่อคนต่อเดือน รวมรายได้จากการสปอนเซอร์คนแล้ว คือ (51 บาทคูณ 10 คน) + (39บาท คูณ 100 คน) + (30บาท คูณ 1000 คน) + (21บาท คูณ 10000 คน) + (9 บาท คูณ 100000 คน) = 1144410 บาท แล้วอย่าเพิ่งลืมนะครับ ว่ายังมีรายได้จากการบริหารทีมอ่อนในองค์กรอีก สมมติในสายงานทีมอ่อนมีคนทั้งหมด (10+100+1000+10000+100000คน )หาร 2 คูณ 75 บาท จะได้โบนัสจากการบริหารทีอ่อน 4166625 บาท และมีข้อแม้ว่าโบนัสบริหารทีมอ่อนมีเพดานเงินสูงสุดอยู่ที่ 2000000บาท สรุปรวมรายได้จากโบนัสทั้งสองทางแล้วคือ 1144410 + 2000000 = 3144410 บาทต่อเดือน หากคุณมีรายได้ 3ล้านกว่าบาทต่อเดือนคุณจะเอาไปทำอะไร?
ตั้งแต่วันที่ 18มิถุนายนนี้เป็นต้นไป คุณสามารถทำธุรกิจกับเราได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ ด้วยบริการเปลี่ยนค่ายใช้เบอร์เดิม
สนใจติดต่อขอรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 0874848169<โบ๊ต>
เงื่อนไข 4ข้อที่พึงปฏิบัติตามเมื่อร่วมธุรกิจกับเรา
1.คุณต้องรับคำแนะนำในการทำธุรกิจจากหัวหน้าทีมและเปลี่ยนทัศนะคติใหม่ทั้งหมด
2.คุณจำเป็นต้องเติมเงินค่าโทรเดือนแรก 1000บาท
3.คุณควรจะสปอนเซอร์คนให้ครบ 4 คนภายในเดือนแรก
4.เมื่อคุณมีลูกทีมคุณต้องให้คำแนะนำในการทำธุรกิจแก่ลูกทีมของคุณและสอนทัศนะคติให้เค้าใหม่ทั้งหมด