มีตำนานเล่าขานเกี่ยว กับสฟิงซ์ว่า เมื่อพันปีที่แล้ว หลังจากการสร้างพีระมิดของฟาโรห์คาฟรา เสร็จสิ้นลง เจ้าชายองค์หนึ่งพระนามว่า ทัตโมซิส ได้ออกล่าสัตว์บริเวณที่ตั้งพีระมิด และได้ทรงบรรทมอยู่ใต้สฟิงซ์ ซึ่งสมัยนั้นถูกทรายทับถมจนถึงต้นคอ พระองค์ทรงพระสุบินว่า สฟิงซ์สิงโตปรากฎกายเป็นเทพเจ้าฮาร์มาชีส
เทพองค์นี้ได้ทำนายว่า ....เจ้าชายจะได้ขึ้นครองราชย์แน่นอน และหากขึ้นครองราชย์แล้ว
ขอให้พระองค์ได้ปลดปล่อยตน ให้เป็นอิสระจากกองทรายที่ทับถมไว้ทั้งหมดด้วย.....
เมื่อเจ้าชายทัตโมซิสทรงตื่นขึ้น ก็จำความฝันได้อย่างแม่นยำ พระองค์ทรงสวดมนต์ภาวนา และสัญญาจะปฏิบัติตามคำขอของเทพเจ้าฮาร์มาชีสอย่างแน่นอนหากขึ้นครองราชย ์ ซึ่งคงเป็นไปได้ยากเนื่องจากเจ้าชายทัตโมซิสทรงมีพระเชษฐา และพระอนุชาหลายพระองค์
แต่ด้วยความที่เป็นพระโอรสองค์โปรดของฟาโรห์ ทำให้เป็นที่อิจฉาของบรรดา พระเชษฐา และพระอนุชายิ่งนัก การต่อสู้ชิงอำนาจภายในจึงเกิดขึ้นอย่างรุนแรง อันเป็นที่มาของความกลัดกลุ้มพระทัยของเจ้าชาย
จึงได้เสด็จออกไปล่าสัตว์จนได้พบกับเทพเจ้าฮาร์มาชีสดังกล่าว

(http://near-east-images.blogspot.com/2007/10/images-of-great-sphinx-of-giza.html)
แต่ ในที่สุดเจ้าชายทัตโมซิส ได้ขึ้นครองราชย์สมบัติตามคำทำนาย
ทรงพระนามว่า ฤาโรทัตโมซิสที่4 เมนคาพีรูเร (1419-1389) ปีก่อนคริสต์ศักราช ทรงปกครองบ้านเมืองอย่างสงบสุขถึง 33 ปี
หลังจากขึ้นครองราชย์ พระองค์สั่งระดมคนงาน ขุดทรายออกจากสฟิงซ์ตามคำสัญญา
ทำให้สามารถเห็นรูปร่างของสฟิงซ์เต็มตัวอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก สร้างความตื่นเต้นให้กับผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตามเหตุที่เฮโรโดตัสไม่ได้ให้ความสำคัญสฟิงซ์ที่โผลมาแค่ศีรษะ
ก็เพราะคิดว่ารูปปั้นใหญ่ธรรมดาของฟาโรห์เท่านั้น่ หาทราบไม่ว่าใต้พื้นทรายที่สะสมกัีนนั้นเป็นร่างมหึมาของสิงโต
แต่เมื่อเวลาล่วงเลยไปจนถึงสมัยฟาโรห์ราเมซิสที่2 (1,279-1,212 ปีก่อนคริสต์ศักราช)
ในราชวงศ์ที่19 แห่งราชอาณาจักรใหม่ ทรายได้ทับถมสฟิงซ์ทั้งร่างอีกครั้ง เหลือให้เห็นเพียงศีรษะและคอเท่านั้น