งปัจจุบันนี้วิธีการเดินทางโดยเครื่องบิน ถือว่าได้รับความนิยมกว่าแต่ก่อนเยอะเลย เพราะราคาถูกลง แถมมีหลายสายการบินให้เลือกด้วย ดังนั้นไม่ว่าจะเดินทางในประเทศ หรือต่างประเทศ ก็ต้องพึ่งเครื่องบินกันแล้ว ประหยัดเวลากว่าเยอะเลย และแน่นอนที่สุด ถ้าเดินทางด้วยเครื่องบินแล้วล่ะก็ ต้องมาที่สนามบินสุวรรณภูมิ แต่พี่มิ้นท์ไม่อยากให้เสียเที่ยว มาทั้งทีก็หาความรู้กันหน่อยนึง
วันนี้พี่มิ้นท์ก็ขอพาชาว Dek-D.com มารู้จักกับคำศัพท์ต่างๆ ในสนามบินกัน ในกรณีที่จะเดินทางไปต่างประเทศนะคะ รู้เอาไว้จะได้ไม่งง
ก่อนอื่น เวลาเราจะเดินทาง เราต้องเช็คของกันนิดนึง ว่าครบมั้ย การเดินทางของเราจะได้ไม่สะดุด
PASSPORT ถ้าไม่มีนี่อย่าหวังจะได้ออกจากประเทศค่ะ พาสปอร์ตก็คือหนังสือเดินทางของเรานั่นเอง หน้าตาก็จะเป็นเล่มสีเลือดหมู ขนาดพอดีมือ ในเล่มก็จะมีรายละเอียดของเรา ชื่อ นามสกุล วันเดือนปีเกิด รวมทั้งหน้าตาเก๋ๆ ของเรา เจ้าสิ่งนี้สำคัญมากสำหรับการเดินทางเลยค่ะ เวลาเราเข้าประเทศอื่นๆ เราจะต้องยื่น เล่มนี้เพื่อให้เค้าปั๊มตราประเทศ เราถึงจะเข้าประเทศเค้าได้
SUITCASE คือ กระเป๋าเดินทาง หรือสัมภาระของเรานั่นเอง ซึ่งบางทีอาจจะใช้คำอื่น คือBAGGAGE/ LUGGAGE มีความหมายเหมือนกันค่ะ
พอเตรียมของพร้อม ก็ออกเดินทางเลย เมื่อมาถึงสนามบินแล้ว ก็จะมีคำศัพท์น่ารู้ ดังนี้
FLIGHT คือ เที่ยวบิน โดยทั่วไป เที่ยวบินจะประกอบไปด้วยตัวอักษรที่บ่งบอกสายการบินและตามด้วยตัวเลข แต่ละ flight ก็จะไปสถานที่แตกต่างกัน ซึ่งเที่ยวบินจะมีหลายประเภท คือ -INTERNATIONAL FLIGHT สายการบินระหว่างประเทศ DOMESTIC FLIGHT สายการบินภายในประเทศ และ CONNECT FLIGHT การต่อเที่ยวบิน
DEPARTURES คือ เที่ยวบินขาออก คือ เมื่อน้องๆ ไปถึงแล้วก็ต้องไปชั้นที่เป็นขาออกไปต่างประเทศ สำหรับสนามบินสุวรรณภูมิ คือ ชั้น 4 ค่ะ ดังนั้นเวลาที่เครื่องบินออกจึงเรียกว่าDEPARTURES TIME นั่นเอง
เมื่อมีขาออก ก็ต้องมีขาเข้า เรียกว่า ARRIVALS
DELAYED คำนี้น่าจะคุ้นหูกันพอสมควร คือ ล่าช้า ซึ่งก็คือ เที่ยวบินล่าช้านั่นเอง
BOARDING PASS บอร์ดดิ้งพาส คือ ตั๋วที่เราใช้ขึ้นเครื่องบิน จะได้หลังจากที่เช็คอินเรียบร้อยแล้ว ในนี้จะระบุไว้หมดเลย ทั้ง เวลาเครื่องออกจากสนามบินต้นทางเวลาถึงสนามบินปลายทาง ตำแหน่งที่นั่ง ดังนั้นห้ามหายเด็ดขาดเลย สำหรับที่นั่งที่หมายปองของทุกคน คือ ที่นั่งริมหน้าต่างเพื่อดูวิวสวยๆ เราจะเรียกว่า WINDOW SEAT ค่ะ แปลกันตรงๆ แบบนี้แหละ
CARRY-ON LUGGAGE แปลกันตรงๆ อีกเหมือนเดิม carry on ก็คือการแบกนั่นเอง ดังนั้น carry on luggage ก็คือ กระเป๋าที่เราสามารถเอาขึ้นเครื่องไปได้ โดยผู้ให้บริการแต่ละสายการบินจะกำหนดเอาไว้ว่าเอาขึ้นได้ไม่เกินกี่กิโล โดยทั่วไปก็ไม่เกิน 7 กิโลค่ะ
ดังนั้นของส่วนใหญ่เราเอาขึ้นเครื่องก็จะเป็นของสำคัญๆ อย่างกระเป๋าเงิน มือถือ โน็ตบุ๊ค หรืออาจจะเป็นของเล็กๆ น้อยๆ อ้อ... พวกของเหลวก็จะจำกัดที่ 100 มิลลิลิตรนะคะ ถ้าเกินก็ต้องโหลดลงเครื่องให้หมด ซึ่งเราจะทำการชั่งน้ำหนักของกระเป๋ากันที่เคาน์เตอร์เช็คอินของสายการบินนั้นๆ ค่ะ ซึ่งในจุดนี้กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ของเราเมื่อชั่งน้ำหนักแล้ว เจ้าหน้าที่ก็จะปล่อยให้โหลดไปใต้เครื่อง เราไม่ต้องไปสนใจแล้วค่ะ ปล่อยไปๆ ไว้เจอกันตอนลงเครื่อง^^ ส่วนใบที่จะเอาขึ้นเครื่อง เราจะต้องถือเองไปตลอดทาง
นอกจากนี้ที่เคาน์เตอร์เช็คอินจะมี IMMIGRATION FORM คือ ใบสำหรับตรวจคนเข้าเมือง เพื่อเป็นข้อมูลเอาไว้ว่าเราได้ทำการออกจากประเทศเมื่อไหร่ และจะกลับเข้าประเทศอีกทีเมื่อไหร่ ใบนี้จะเป็นแถบยาวๆ สีฟ้า ห้ามหายเช่นกัน เราต้องใส่ข้อมูลของเราลงไปทั้งชื่อ นามสกุล วันเกิดรวมทั้งเลขพาสปอร์ต เที่ยวบิน ฯลฯ
เมื่อเช็คอินแล้ว ได้ใบตรวจคนเข้าเมืองแล้ว ก็กรอกๆ ข้อมูลลงไป หลังจากนั้น หน้าที่ของเรายังไม่จบต้องไปที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองก่อน ในภาษาอังกฤษ เรียกว่า IMMIGRATION โดยไปที่IMMIGRATION COUNTER โดยจะเป็นเคาน์เตอร์ มีเจ้าหน้าที่ยืนประจำอยู่ เมื่อเราไปถึงก็ยื่นเอกสารทั้งหมดให้กับเจ้าหน้าที่ รวมทั้ง IMMIGRATION FORM ด้วย ซึ่งเค้าจะฉีกไว้ส่วนนึง อีกส่วนนึงจะแม็กติดกับพาสปอร์ต เอาไว้ยื่นตอนกลับประเทศ หายอดเข้าประเทศนะ!! หลังจากนั้นเค้าก็จะถ่ายรูปเราเอาไว้ ยืนยันว่าเราออกจากประเทศแล้วจริงๆ
ด่านต่อไปก็คือ การแสกนสัมภาระ รวมทั้งร่างกายของเรา เรียกว่าจุดนี้ต้องถอดกันเกือบทุกอย่าง ทั้งเข็ดขัด นาฬิกา เสื้อคลุม ฯลฯ แต่อย่าไปเผลอถอดเสื้อกับกางเกงล่ะ เดี๋ยวโดนข้อหาอนาจาร ฮ่าๆ
เมื่อผ่านด่านตรวจเรียบร้อยแล้ว ก็มุ่งหน้าไปที่ GATE คือ ประตูขึ้นเครื่อง ซึ่งเป็นด่านสุดท้ายแล้ว ซึ่งก่อนขึ้นเครื่อง จะมีเจ้าหน้าที่ของสายการบินนั้นๆ มาเช็คอีกทีว่าถูกเที่ยวบินมั้ย ซึ่งในสนามบินจะมีหลาย GATE ดังนั้นควรดูหมายเลขให้ดีๆ เพราะการเดินผิด GATE จะทำให้เสียเวลามาก และทางที่ดีก็ควรไปถึงก่อนเวลาขึ้นเครื่องประมาณ 20 นาที
DUTY FREE อันนี้หลายๆ คนชอบมาก ดิวตี้ฟรี คงคุ้นหูกันอยู่แล้ว มันก็คือ ร้านค้าปลอดภาษีนั่นเอง ซึ่งจะอยู่ตามรายทางก่อนเดินไปที่ GATE ดังนั้นถ้าคิดจะเดินแบบเพลินๆ ควรคำนวณเวลาให้ดีด้วย จะได้ขึ้นเครื่องทัน โดยปกติสินค้าพวกแบรนด์ดังๆ จะแพงใช่มั้ยล่ะ แต่ในส่วนนี้จะปลอดภาษี ราคาจึงถูกกว่าข้างนอก แต่มันมีข้อแม้อยู่ว่าเราจะต้องผ่านด่านตรวจคนเพื่อออกต่างประเทศแล้วเท่านั้น คนนอกอยู่ดีๆ จะมาซื้อไม่ได้นะคะ
เอาล่ะค่ะทีนี้ก็ได้เวลาขึ้นเครื่อง ก็ไปนั่งตามเลขที่นั่งที่ระบุไว้ใน BOARDING PASS ของเรานะคะ
LANDING หมายถึง เครื่องบินลงจอด
EMERGENCY LANDING คือ การลงจอดฉุกเฉิน ในกรณีที่มีความผิดปกติ แต่โดยทั่วไปก็ไม่ค่อยเกิดขึ้นค่ะ รุ้จักคำศัพท์เอาไว้เฉยๆ ละกัน
MEETING POINT หรือจุดนัดพบ เอาไว้สำหรับเรานัดใครเอาไว้ จะได้หากันง่าย เพราะสนามบินไม่ใช่เล็กๆ เลย
JET LAG คือ อาการเมาเครื่องบินค่ะ คือรู้สึกเหนื่อย ไม่ค่อยสบายที่ต้องอยู่บนเครื่องนานๆ หรือต้องไปอยู่ในประเทศที่เวลาต่างจากไทยมากๆ ซึ่งอาการนี้จะส่งผลไปหลายวันเลย
หลังจากนั้นเราก็ไปที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองของ ประเทศนั้นๆ ค่ะ
ถ้าผ่านแล้วก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย ไปรับกระเป๋าที่จุดรับกระเป๋า หรือที่เรียกว่า BAGGAGE CLAIM ซึ่งจะเป็นสายพาน ทยอยเอากระเป๋าออกมา ถ้าเจอของเราก็หยิบออกมา โดยแต่ละสายการบินจะมีระบุไว้ว่าให้ไปรับที่สายพานไหน ก็ต้องไปให้ถูกนะคะ และเมื่อได้รับกระเป๋าแล้วก็อย่าลืมตรวจดูว่าเป็นกระเป๋าของเราหรือไม่ แค่นี้โปรแกรมเที่ยวของเราก็จะสนุกแล้วค่ะ