หลวงพ่อตอบปัญหา ตอนที่ 10
ทำไม...ในการรบเราจะต้องต่อสู้กับข้าศึกที่เห็นตัวที่มีอาวุธ ก็รบกันก็สู้กัน เอาชีวิตเป็นเดิมพันกัน การทำทานก็เหมือนกัน คุณหนู มันต้องรบเหมือนกันนะ รบกับอะไร...รบกับความตระหนี่ ความตระหนี่มันหุ้มอยู่ในใจตัว มนุษย์ก็มองไม่เห็น เมื่อมองไม่เห็นก็คิดว่า ตัวเองใจกว้างแล้ว ดังนั้น เมื่อไปชวนมาทำบุญทำทาน แม้ในศาสนานั้นเอง ศาสนาเดียวกัน ก็ใช่ว่าเขาจะเต็มใจร่วมทำบุญทำทานทุกครั้งเมื่อไหร่
เพราะฉะนั้น ในการที่คุณหนูซึ่งมีคุณพ่อ-คุณแม่ ซึ่งยังไม่ได้เปลี่ยนมานับถือพระพุทธศาสนา เขาจะมาทำทาน ทำบุญง่ายๆ อย่างคุณหนู มันคงไม่ใช่หรอกนะ มันก็เหมือนกับคุณหนูกำลังชวนเขามาออกรบนะคุณหนูนะ อย่าเพิ่งไปแปลกใจ
หลวงพ่อเองก็เคยเจอเรื่องนี้กับญาติของหลวงพ่อเองนั่นแหละ ปัจจุบันนี้หลวงพ่อบวชมา 30กว่าพรรษา มีญาติบางคน หลวงพ่อไปชวนเขาทำบุญทำทานตั้งแต่พรรษาแรกๆ เดี๋ยวนี้เขาก็ยังไม่ทำกับหลวงพ่อเลย แล้วไม่ใช่กับหลวงพ่ออย่างเดียวหรอก กับวัดอื่นเขาก็ไม่ค่อยจะทำอีกเหมือนกัน มันเป็นอัธยาศัยของเขา
ถ้าถามว่า หลวงพ่อท้อไหม...ก็ไม่ท้อ เจอหน้าก็ชวนทำบุญทำทานเรื่องอื่นไป แทนที่จะทำบุญกับวัด กับศาสนา บางทีหลวงพ่อชวนไปทำเรื่องอื่น เช่นชวนไปปล่อยสัตว์ปล่อยปลา...เขาก็ยอมทำ...ให้ชีวิตเป็นทาน, ชวนให้ไปทำกับโรงพยาบาล...เขาก็ยอมทำ แต่มาทำบุญกับศาสนา เขายังมองไม่เห็นคุณค่า เขาก็ยังไม่ทำ ญาติหลายคนของหลวงพ่อก็มีอาการอย่างนี้
และบางคนเคยเป็นอย่างนี้ แต่เดี๋ยวนี้เปลี่ยนแล้ว ตั้งใจมาทำบุญทำทาน แล้วก็มาตำหนิหลวงพ่ออีกว่า ทำไมไม่อธิบายเรื่องทำบุญทำทานกับพระพุทธศาสนา กับพระ ให้เขาเข้าใจตั้งแต่เมื่อ 10-20ปีก่อนโน้น จะได้ทำบุญเยอะกว่านี้...เป็นงั้นไป กลายเป็นความผิดของหลวงพ่ออีก ทั้งๆที่เขาก็ไม่ค่อยอยากจะทำเอง
จากนั้น ทำอะไรอีก...ที่เขาลงทุนน้อยหน่อยแต่ได้ผลมาก...ทำอย่างไร...ก็หัดมานั่งสมาธิเสียบ้าง เพราะสมาธิเป็นของกลางๆ ไม่ได้ผูกขาดไว้กับศาสนาใดๆ ให้เขาทำสมาธิไป จากนั่งสมาธิทีละ 5นาที 10นาทีต่อครั้ง หนักเข้า หนักเข้าเป็น 10นาที 20นาทีต่อครั้ง หนักเข้าหนักเข้า นั่งครั้งหนึ่งตั้งครึ่งชั่วโมง ชั่วโมงหนึ่ง
จากนั้นคุณหนูค่อยดูอัธยาศัยใจคอ ดูการเปลี่ยนแปลงของเขาไปว่า ระดับนี้เหมาะที่จะไปทำทานตรงไหนกับในศาสนาเดิม ก็ทำไป, กับสังคมสงเคราะห์ ซึ่งเป็นของกลางๆ ไม่ขึ้นกับศาสนา ก็ทำไป หรือไปอาสาสมัครงานกุศลต่างๆ เพื่อประเทศชาติบ้านเมือง ก็ทำไป
เมื่อคุ้นต่อการให้ ตั้งแต่ให้ทรัพย์สินเงินทองแล้ว...ให้อะไรอีก...ให้ความรู้เป็นทาน, ให้เรี่ยวแรงเป็นทาน, ให้ข้อคิดความเห็นสารพัด...ให้อะไรอีก...รู้จักให้อภัยคน จากให้อภัยคน...ให้อะไรอีก...ให้รู้จักชมคนเป็น ยกย่องคนเป็น ค่อยๆเพิ่มดีกรีแก่กล้าของการสร้างบุญขึ้นมาอย่างนี้
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงชี้ให้เห็นว่า Step ในการก้าวหน้าของคนนั้น มีอยู่ถึง 10Step ในเรื่องของความเป็นบุญกุศลที่เกิดในใจ
Step ที่1. ท่านว่า...ให้รู้ว่า (1)โลกนี้เราต้องอยู่ร่วมกัน เพราะฉะนั้นการปันกันกินปันกันใช้ เป็นสิ่งที่ดี เป็นบุญมากหรือบุญน้อยไม่พูด ยังตามไม่ทัน เอาว่า ให้ได้อยู่ในโลกนี้มันต้องปันกันกินปันกันใช้ จะศาสนาเดียวกัน นอกศาสนาอะไรก็ตาม มันต้องปันกันกิน ปันกันใช้ โลกจึงจะเป็นสุข...คุณกินบ้าง ฉันกินบ้าง...ถ้าอย่างนี้เดี๋ยวก็เป็นสุข
จากตรงนี้...คนในโลกนี้มันก็มีทั้งคนอ่อนแอ มีทั้งคนแข็งแรง มีทั้งคนแก่ มีทั้งคนหนุ่ม มีทั้งคนช่วยตัวเองไม่ได้ ทั้งคนที่ช่วยตัวเองได้ เพราะฉะนั้น (2)โลกนี้อยู่ได้ด้วยการสงเคราะห์กัน เป็นขั้นเป็นตอน
จากนั้นอะไรอีก...พัฒนาการทางด้านจิตใจ บันไดขั้นที่3...(3)โลกนี้อยู่ได้ด้วยการให้เกียรติกัน ไม่จับผิดกัน
พัฒนาการขั้นที่4...(4)โลกนี้มันอยู่ใต้กฎแห่งกรรม คนทำดีต้องได้ดี คนทำชั่วต้องได้ชั่ว ค่อยๆให้เขาไต่เต้าขึ้นไปอย่างนี้ แล้วการทำดี ทำได้ทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจ
เมื่อเขามองออกในลักษณะที่เป็น มันเป็นอินเตอร์เสียแล้วนะ มันก็เลยข้าม...ข้ามอะไร...(9)ข้ามเขตแดนแห่งศาสนาไปกลายเป็น Universe มันกลายเป็นของกลางไปแล้ว
พอมาถึงจุดนี้เข้า นรกมี สวรรค์มี มันอยู่ที่บุญที่บาป มันไม่ใช่ว่า นับถือศาสนาไหน แล้วในที่สุด (10)เขาก็จะก้าวไปทำบุญกับผู้ที่มีความบริสุทธิ์ ผู้ที่มีความดี เขาไม่เกี่ยงเสียแล้วว่าจะศาสนาไหน
คุณหนูต้องเข้าใจอย่างนี้ว่า พัฒนาการทางจิตมันค่อยเป็นค่อยไป แล้วก็ปรับปรุงตัวเองให้เป็นต้นแบบญาติพี่น้องให้ได้ แล้วเขาก็จะเดินตามเรามา อยู่ๆคุณหนูจะมาชวนเขามาทำบุญข้ามศาสนาในทันที ไม่ก้าวมาทีละขั้นทีละตอนมันก็ยาก ไปเริ่มใหม่นะ เดี๋ยวก็ทำได้ เมื่อเราได้พยายามทำ
คำถาม:กราบนมัสการ...หลวงพ่อค่ะ ลูกอยากจะเรียนถามหลวงพ่อว่า จีวรของพระสงฆ์จะต้องเป็นสีเหลืองหรือสีกลักเสมอไปหรือไม่เจ้าคะ เพราะว่ามีฝรั่งเคยถามลูกว่า ทำไมพระถึงต้องห่มตัวสีเหลืองเจ้าค่ะ
สมมุติแล้วกันนะ...ตั้งแต่เด็กๆ สมัยประถม มัธยม อยู่ต่างจังหวัด อาตมาเคยไปช่วยรุ่นน้า รุ่นอา เขาย้อมจีวรกัน สมัยโน้นเขาใช้พวกแก่นขนุน พวกแก่นขนุนสีมันจะออกเข้มๆ แต่ว่าสีบางต้นบางพันธุ์ แม้อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน สีมันเข้มจัดจนกระทั่งคล้ำ ในขณะที่ขนุนบางต้นบางพันธุ์ สีมันออกเหลืองๆ คล้ายๆดอกจำปา
ยางไม้บางประเภทเมื่อย้อมแล้ว ทำให้ผ้านั้นไม่เก็บความชื้น วัตถุประสงค์ในการย้อมผ้าอยู่ตรงนั้น
แต่อย่างไรก็ตาม สีจีวรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เนื่องจากด้วยอำนาจบุญบารมีที่พระองค์สั่งสมมา สีจีวรของพระองค์ สีเหมือนอะไร...สีเหมือนอย่างกับเปลวเพลิง คือ เหลืองๆ ส้มๆ อาจจะอมแดงนิดๆ หน่อยๆ อะไรก็ตามที
แต่ว่าสีประเภทเหมือนเปลวเพลิงอย่างนั้น เปลวเพลิง เปลวถ่านอย่างนั้น ใครเห็นก็จับตาจับใจ แต่ว่า มันก็ไม่ได้สดใสเหมือนสีแดงสีชมพู หรืออะไรทำนองนั้น จับตาจับใจ แต่ว่าไม่ยั่วยุกามให้กำเริบ แต่ทำให้ผู้เห็นเกิดความเลื่อมใสศรัทธายิ่งขึ้น เพราะว่า ไม่ได้อยู่ในลักษณะที่เป็นเครื่องตกแต่ง เรามองกันตรงนี้
พระอรหันต์บางรูปสีจีวรของท่าน สีเหมือนอย่างกับสีอะไร...สีโครุ่น เราไปดูก็แล้วกัน วัวไทยในท้องทุ่งนั่นเอง จะออกสีน้ำตาลเข้ม หรือบางตัวก็ประเภทค่อนข้างจะน้ำตาลอ่อน หรืออะไรก็ตามที สรุปว่า สีจีวรในผืนหนึ่งนั้น
1.อย่ากระดำกระด่าง ถ้ากระดำกระด่าง...คงไม่งาม
2.เวลาพระนุ่งห่มกัน ใช้จีวรกัน
-
สบงที่นุ่ง
-
จีวรที่ห่ม
-
สังฆาฏิที่พาดไหล่
สามผืนที่เราใช้นุ่งห่ม ควรจะต้องเป็นสีเดียวกัน มิฉะนั้น เดี๋ยวจะกลายเป็นหลวงพ่อสามสีไป สบงที่นุ่งก็สีหนึ่ง จีวรก็แถมอีกสีหนึ่ง สังฆาฏิก็อีกสีหนึ่ง กลายเป็นหลวงพ่อ, หลวงพี่ สามสี อย่างนี้คงไม่งาม แต่ว่าถ้าเป็นสีเดียวกัน และเป็นสีย้อมฝาด ก็อนุโลมกันไป นี่ตั้งแต่โบราณก็จะเป็นกันมาอย่างนี้
บัดนี้ เราไม่ค่อยได้ใช้สีประเภทที่มาจากแก่นไม้กันแล้ว ทำไมล่ะ...ถ้าบวชทีก็ไปเอาแก่นไม้มาที สงสัยพระบวชมากเท่าไหร่ ป่าคงหมดเร็วเท่านั้น ไปเอาแก่นไม้มาย้อม เราจึงต้องใช้สีที่เขาผลิตขึ้นมา สังเคราะห์ขึ้นมาแทน เมื่อเป็นอย่างนี้ ก็อนุโลมกันพอสมควรว่า ให้มันใกล้กับสีของพวกยางไม้ก็แล้วกัน แก่นไม้ก็แล้วกัน ที่โบราณมีอยู่ ก็ตามประเพณีนิยมในพื้นบ้านนั้นๆ
คำว่า พื้นบ้านนั้นๆ หมายถึงอะไร...พระที่บวชอยู่ในประเทศศรีลังกา ถ้าเราสังเกตเห็น จะสีเข้มๆ ค่อนข้างออกแดง แต่ก็อมออกมาคล้ายๆสีเลือดหมู ก็คงแสดงว่า ในประเทศของท่าน ในศรีลังกา คงจะมีแก่นไม้ประเภทนี้ สีนี้มากในสมัยโบราณ แล้วในปัจจุบันนี้จึงถือเป็นสีนิยมกันไป ก็เป็นได้
พระที่มาจากประเทศพม่า ท่านก็มีสีของท่าน ไม่ค่อยเหมือนกับพระไทยหรอก แต่ก็เป็นสีที่ย้อมมาจากแก่นไม้
ถ้าอยากจะออกเดินธุดงค์ ก็สีมอๆลงมา เอาว่าใช้สีที่ออกไปในลักษณะผสม ก็ให้ใกล้เคียงกับสีของแก่นไม้ตั้งแต่โบราณ
อาตมาว่า อย่างนี้ก็พอสมควรนะ เพราะว่า เมื่อสมัยโน้นก็ไม่ได้กำหนดสีที่ชัดเจนอย่างที่ว่ามาแล้ว เอาพอสมควรก็แล้วกัน แล้วก็จะเป็นเหตุที่จะต้องทะเลาะเบาะแว้งกัน แต่เป็นไปเพื่อความอยู่สุขของสงฆ์ อาตมาว่า เอากันเพียงแค่นี้ แล้วเราก็จะมีสุข
เมื่อได้นุ่งได้ห่มแล้ว จะสีอะไรก็ตามที เมื่อไม่ผิดพระวินัย แล้วรีบไปศึกษาพระธรรมวินัย ตั้งใจประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยให้เคร่งครัด ก็จะได้เป็นเนื้อนาบุญให้กับญาติโยม
เมื่อญาติโยมได้เนื้อนาบุญอย่างท่านแล้ว หมั่นตักบาตรกับท่านด้วยนะ ท่านก็จะได้อยู่กับเรา แล้วมาเทศน์ให้พวกเราฟังต่อไปนานๆ