www.trueplookpanya.com
คลังความรู้
แนะแนว
ข่าวรับตรง
ธรรมะ




คลังความรู้ > ภาษาเพื่อการสื่อสาร > ม.4

(writing) Punctuation (เครื่องหมายวรรคตอน)
ทีมงานทรูปลูกปัญญา | 2024-05-13 22:53:26

Punctuation หรือเครื่องหมายวรรคตอนนั้นมีความสำคัญมากสำหรับการเขียนระดับประโยคในภาษาอังกฤษ เครื่องหมายวรรคตอนจะช่วยให้เราเขียนข้อความได้ชัดเจนขึ้น หากใช้เครื่องหมายวรรคตอนผิดจะทำให้ประโยคนั้นมีความหมายเปลี่ยนไป punctuation ในภาษาอังกฤษนั้นมีทั้งที่อยู่ในประโยคและอยู่นอกประโยค แต่ละตัวมีหลักการใช้ต่างกัน ดังนี้

 

1. Full stop (.)

ทุกประโยคภาษาอังกฤษจะต้องลงท้ายด้วยจุด full stop เสมอ และทุกครั้งที่ขึ้นประโยคภาษาอังกฤษต้องเริ่มต้นด้วยตัวพิมพ์ใหญ่เสมอ เช่น

I like fruit and vegetables.

He wants to go to the bank.

 

2. Comma (,)

ใช้แยกตัวอย่างหรือสิ่งของเมื่อต้องการจะบอกหลายตัวอย่าง จะคั่นกี่ครั้งก็ได้แต่ในกรณีที่มากกว่าหนึ่งครั้ง ก่อนตัวอย่างสุดท้ายให้ใช้ and แทน เช่น

    It was warm, sunny day.

    Please buy bread, milk, butter and cheese.

    หรือใช้คั่นระหว่าง clause ที่เชื่อมด้วย conjunction เช่น

    She was very angry with her son, because he didn’t pass his exams.

    If it keeps raining, we will have to go home.

    นอกจากนี้ยังใช้หลังคำต่างๆ เช่น

    Finally, I would like to talk about the greatest experience.

    Wow, it’s very late! You look beautiful tonight, darling.

 

3. Question mark (?)

    ใช้หลังประโยคคำถามในภาษาอังกฤษ เช่น

    What’s your name?

    Who’s the man over there?

 

4. Exclamation (!)

    ใช้เน้นย้ำข้อความสำคัญหรือแสดงความตื่นเต้น ตกใจ เช่น

    Be careful!

    You came!

 

5. Apostrophe (’)

    ใช้ในการย่อคำ หรือแสดงความเป็นเจ้าของ เช่น

    That’s my sister.

    Simon’s essay was the best in this class.

 

6. Single quotation marks (‘ ’)

    ใช้เน้นคำหรือข้อความในประโยค หรือในบางครั้งเราใช้กับเครื่องหมายคำพูด เช่น

    Try not to use the word ‘and’ too much when you are speaking.

    Shakespeare wrote ‘To be or not to be, that is the question’.

 

7. Double quotation marks (“ ”)

    ใช้กับเครื่องหมายคำพูด หรือในบางครั้งเราใช้เน้นคำหรือข้อความในประโยคอีกทีหนึ่ง เช่น

    “Leave now!” Jessica yelled.

The teacher said ‘Try not to use the word “and” too much when you are speaking.’

 

8. Colon (:)

    ใช้เกริ่นแนะนำสิ่งที่สำคัญหรือตัวอย่างต่างๆ เช่น

    There is only thing I need: pizza!

    Here are some examples of conjunctions: and, but, or, because.

 

9. Semi-colon (;)

    ใช้เชื่อม clause แทน comma หรือ conjunction เช่น

    He knew everything about me; I knew nothing about him.

    นอกจากนี้ยังใช้นำหน้า however ด้วย เช่น

    The rain stopped; however, we still didn’t go out.

 

10. Brackets / parentheses ()

ใช้แยกความสำคัญของคำหรือข้อมูลในประโยค หรือบางครั้งใช้ใส่คำแปลหรือความคิดเห็นเพิ่มเติม เช่น

The film (which was very good) was the best part of the evening.

Maria was very excited about going to Vietnam (he had never been to Asia before).

 

11. Hyphen (-)

    ขีดสั้นใช้กับคำประสมต่างๆ เช่น นามประสม กลุ่มตัวเลข การสะกดคำ เป็นต้น

    I’d like some step-by-step instructions.

    My name is Se-bas-ti-an. S-E-B-A-S-T-I-A-N.

 

12. Dash (—)

    ขีดยาวใช้คั่นหยุดจังหวะของประโยค หรือบางครั้งใช้แทน brackets เช่น

    I won’t eat meat—I never will.

    He ate the cake—every single piece of it—in less than ten minutes.

 

13. Ellipsis (…)

    ใช้หลังประโยคที่กล่าวไม่จบหรือยังมีบางคำอีกต่อจากนี้ เช่น

    I’m not sure what to get Jane for her birthday …

    Let me tell you about …

 

14. Forward slash (/)

ใช้คั่นตัวเลือกสองตัวเลือกหรือมากกว่านั้น มีความหมายเท่ากับ ‘or’ บางครั้งใช้กับคำย่อต่างๆ เช่น

We will serve coffee/tea during the meeting.

w/o = without