www.trueplookpanya.com
คลังความรู้
แนะแนว
ข่าวรับตรง
ธรรมะ




คลังความรู้ > ภาษาเพื่อการสื่อสาร > ม.4

ภาษาอังกฤษ ม. 4 Present Continuous Tense
ทีมงานทรูปลูกปัญญา | 2020-07-07 15:25:22

ภาษาอังกฤษ ม. 4 Present Continuous Tense

Present Continuous Tense หรือเป็นที่รู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่า Present Progressive Tense อย่างทราบกันว่า present แปลว่า ปัจจุบัน ส่วน continuous/progressive แปลว่า ดำเนินอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น Tense นี้จึงเป็นการบอกเล่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบัน โดยมีลักษณะการใช้ดังนี้

1. ใช้เพื่อบอกเล่าเหตุการณ์หรือการกระทำในปัจจุบันที่กำลังดำเนินอยู่และยังไม่จบลง (จะจบลงในอนาคต) โดยอาจพบคำบอกเวลา (Adverbs of time) ปรากฏอยู่ในประโยคด้วย เช่น now, at the moment, right now เป็นต้น

ตัวอย่าง

I am studying at Chulalongkorn university.
(ฉันกำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)

Palm is trying to lose weight now.
(ปาล์มกำลังพยายามลดน้ำหนักอยู่ตอนนี้)


2. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่กำลังเป็นกระแสหรือเป็นที่นิยมอยู่ในขณะนั้น

ตัวอย่าง

These day, most people are favoring healthy food.
(ปัจจุบันผู้คนส่วนใหญ่กำลังนิยมอาหารเพื่อสุขภาพ)


3. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต โดยมีการเตรียมและวางแผนไว้ล่วงหน้าอย่างแน่นอนแล้ว และมักพบคำบอกเวลา (Adverbs of time) เช่น tonight, this evening, tomorrow, next week เป็นต้น

ตัวอย่าง

I am meeting my parent tonight.
(ฉันจะพบกับพ่อแม่ในคืนนี้)

Cherprang and Pun are going on holiday next week.
(เฌอปรางและปัญจะไปพักร้อนสัปดาห์หน้า)


4. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นบ่อยจนเกินไป ทำให้ซ้ำซากและน่าเบื่อ

ตัวอย่าง

Suwich is constantly talking. I wish he would shut up.
(สุวิชพูดไม่หยุดเลย ฉันหวังว่าเขาจะหยุดพูดเสียที)
**ผู้พูดแสดงอาการรำคาญจากการพูดไม่หยุดของสุวิช

I don't like gangster near my house because they are always making noisy.
(ฉันไม่ชอบกลุ่มอันธพาลใกล้บ้านของฉัน เพราะพวกเขามักจะทำเสียงดังเสมอ)
**ถึงแม้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นประจำ แต่มันเกินพอดีจึงใช้ในรูปประโยค Present Continuous Tense


รูปประโยคของ Present Continuous Tense

ลักษณะเด่นของรูปประโยค Present Continuous Tense คือ การใช้ V. to be (Is, Am, Are) และตามด้วยคำกริยาที่มีการเติม -ing โดยรูปประโยค Present Continuous Tense มี 3 รูปแบบ ดังนี้

1. ประโยคบอกเล่า

โครงสร้างประโยคบอกเล่า : Subject + V. to be + Verb. เติม ing + Object + (คำบอกเวลา)

สิ่งที่ต้องคำนึงในรูปประโยคของ Present Continuous Tense คือการใช้ V. to be ซึ่งประกอบด้วย is, am, are โดยจะเลือกใช้ V. to be ตัวใดนั้นให้สังเกตที่ประธานของประโยค

ประธานเอกพจน์ He, She, It ให้ใช้ is

ประธาน I ใช้ am

ประธานพหูพจน์ You (ทั้ง you คนเดียวและ you หลายคน), We, They ใช้ are

และเปลี่ยนรูปคำกริยาโดยการเติม ing

ตัวอย่าง

My sister is playing violin.
(น้องสาวของฉันกำลังเล่นไวโอลิน)
** ประโยคนี้ประธานคือ My sister หรือใช้ She แทนได้ จึงต้องตามด้วย V. to be คือ is และเติม ing หลังคำว่า play

We are reading newspaper now.
(พวกเรากำลังอ่านหนังสือพิมพ์ตอนนี้)
** ประโยคนี้ประธานคือ We ซึ่งเป็นพหูพจน์ ต้องตามด้วย V. to be คือ are และเติม ing หลังคำว่า read

I am sleeping under the tree.
(ฉันกำลังนอนอยู่ใต้ต้นไม้)
** ประโยคนี้ประธานคือ I ซึ่งถึงแม้ว่าจะเป็นเอกพจน์ แต่จะต้องตามด้วย V. to be คือ am เท่านั้น และเติม ing หลังคำว่า sleep


ความรู้เพิ่มเติม : หลักการเติม ing ท้ายคำกริยาโดยทั่วไปสามารถเติม ing ได้เลย แต่มีข้อยกเว้นบางกรณี ดังนี้

1. คำกริยาที่มีสระเสียงสั้น (อะ อิ อุ เอะ โอะ ฯลฯ) และโดยมากมักเป็น a, e, i, o, u อยู่หน้าพยัญชนะท้าย หรือคำกริยานั้น ๆ มีตัวสะกดเพียงตัวเดียว ก่อนเติม ing ให้เพิ่มตัวสะกดของคำนั้นซ้ำอีกตัวหนึ่งแล้วจึงเติม ing เช่น

sit   --->   sitting
cut   --->   cutting
get   --->   getting
shop   --->   shopping


2. คำกริยาที่ลงท้ายด้วย e ให้ตัด e ทิ้งแล้วเติม ing เช่น

come   --->   coming
drive   --->   driving
make   --->   making
ride   --->   riding
smoke   --->   smoking


3. คำกริยาที่มีสระ 2 ตัว (A, E, I, O, U) ให้เติม ing ได้เลย เช่น

cook   --->   cooking
keep   --->   keeping
read   --->   reading


4. คำกริยาที่ลงท้ายด้วย ie ให้เปลี่ยน ie เป็น y แล้วจึงเติม ing เช่น

die   --->   dying
lie   --->   lying


5. คำกริยาที่มีสองพยางค์ และออกเสียงหนัก (stress) ที่พยางค์หลัง โดยพยางค์นั้นมีสระและตัวสะกดเพียงตัวเดียว ให้เพิ่มตัวสะกดของคำนั้นซ้ำอีกตัวหนึ่งแล้วจึงเติม ing เช่น

begin   --->   beginning
refer   --->   referring
swim   --->   swimming


2. ประโยคคำถาม

โครงสร้างประโยคคำถาม : V. to be + Subject + Verb. เติม ing + object + (คำบอกเวลา)?

ประโยคคำถามใน Present Continuous Tense ไม่มีกฎอะไรมากมาย เพียงแค่สลับที่ V. to be ขึ้นมาไว้ต้นประโยค โดยต้องพิจารณาการเลือกใช้ V. to be ตามประธานของประโยคด้วย เพียงเท่านี้ก็จะได้ประโยคคำถาม

ตัวอย่าง

Is it raining at the moment ?
(ฝนกำลังตกอยู่ตอนนี้หรือเปล่า?)

Are you lying to me ?
(คุณกำลังโกหกฉันหรือเปล่า?)


3. ประโยคปฏิเสธ

โครงสร้างประโยคปฏิเสธ : Subject + V. to be + not + Verb. เติม ing + object + (คำบอกเวลา)

สำหรับรูปประโยคปฏิเสธคงรูปเดิมคล้ายกับประโยคบอกเล่า แต่เพิ่ม not ขึ้นมาหลัง V. to be เพียงเท่านี้ก็จะเป็นประโยคปฏิเสธใน Present Continuous Tense

ตัวอย่าง

The students are not studying Science.
(นักเรียนไม่ได้กำลังเรียนวิชาวิทยาศาสตร์)

Sunisa is not doing homework.
(สุนิสาไม่ได้กำลังทำการบ้าน)

I am not swimming in the canal.
(ฉันไม่ได้กำลังว่ายน้ำอยู่ในลำคลอง)


ข้อควรจำ : คำกริยาบางตัวไม่สามารถนำมาใช้ในรูปประโยค Present Continuous Tense ได้ ดังนี้

1. กริยาที่แสดงถึงประสาทสัมผัสทั้งห้า เช่น see, hear, feel, taste, smell เป็นต้น

2. กริยาที่แสดงความรู้สึก นึกคิด เช่น believe, know, understand,  forget, remember, recognize, fear เป็นต้น

3. กริยาที่แสดงความชอบและไม่ชอบ เช่น love, like, hate, dislike, desire เป็นต้น

4. กริยาที่แสดงความต้องการ เช่น want, wish, prefer เป็นต้น