www.trueplookpanya.com
คลังความรู้
แนะแนว
ข่าวรับตรง
ธรรมะ




คลังความรู้ > สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม > ม.3

บทเรียนออนไลน์ วิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง กฎหมายและสิทธิมนุษยชน
ทีมงานทรูปลูกปัญญา | 2016-09-25 23:03:12

ผังมโนทัศน์สาระการเรียนรู้





1. กฎหมายอาญา




          ลักษณะการกระทำความผิดทางอาญาและโทษ แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ
                    การกระทำความผิดโดยเจตนา
                    การทำผิดโดยไม่เจตนา
                    การกระทำความผิดโดยประมาท
          ผู้กระทำความผิดทางอาญา แบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่
                    ผู้กระทำความผิดด้วยตนเอง
                    ผู้ร่วมกระทำความผิด แยกออกเป็น ตัวการ ผู้ใช้ให้กระทำความผิด และ ผู้สนับสนุนการกระทำความผิด
                    โทษ ตามประมวลกฎหมายอาญาแบ่งโทษตามลำดับความร้ายแรง ไว้ดังนี้
                              ประหารชีวิต
                              จำคุก
                              กักขัง
                              ปรับ
                              ริบทรัพย์สินมาเป็นของแผ่นดิน
          การรับโทษทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญามีหลักเกณฑ์ดังนี้
                    การกระทำที่ไม่เป็นความผิด ไม่ต้องรับโทษ ได้แก่ กรณีการป้องกันตนเองโดยชอบด้วยกฎหมาย
                    การกระทำที่เป็นความผิด แต่ผู้กระทำความผิดไม่ต้องรับโทษ เนื่องจากมีเหตุอันสมควร
                    การกระทำความผิดกรณีได้รับการลดหย่อนผ่อนโทษ ได้แก่ การบันดาลโทสะ เนื่องจากถูกข่มเหงอย่างร้ายแรง มีเหตุอันควรปรานี
          ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ ได้แก่
                    1. ความผิดฐานลักทรัพย์
                    2. ความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์
                    3. ความผิดฐานชิงทรัพย์
                    4. ความผิดฐานกรรโชกทรัพย์
                    5. ความผิดฐานรีดเอาทรัพย์
                    6. ความผิดฐานปล้นทรัพย์
                    7. ความผิดฐานฉ้อโกง
                    8. ความผิดฐานโกงเจ้าหนี้
                    9. ความผิดฐานยักยอก
                    10. ความผิดฐานรับของโจร
                    11. ความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์
                    12. ความผิดฐานบุกรุก

2. กฎหมายแพ่ง




          กฎหมายแพ่ง เป็นกฎหมายที่กำหนดสิทธิและหน้าที่ระหว่างเอกชนกับเอกชนด้วยกัน
          ลักษณะการกระทำผิดทางแพ่งและความรับผิดทางแพ่ง การทำความผิดทางแพ่ง เป็นการทำผิดที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นในเรื่องที่เกี่ยวกับทรัพย์สินของบุคคล ผู้กระทำต้องถูกบังคับให้ชดใช้ค่าเสียหายหรือค่าสินไหมทดแทน ซึ่งความรับผิดทางแพ่งมี 5 ลักษณะ ดังนี้
                    1. ความรับผิดในลักษณะละเมิด
                    2. ความรับผิดในลักษณะสัญญา
                    3. ความรับผิดในลักษณะการจัดการงานนอกสั่ง
                    4. ความรับผิดในลักษณะลาภมิควรได้
                    5. ความรับผิดตามที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะ
          สัญญา เป็นข้อตกลงของคน 2 คนขึ้นไปที่มีความประสงค์ตรงกันที่จะก่อให้เกิดผลผูกพันทางกฎหมาย ซึ่งสัญญาย่อมเป็นนิติกรรมเสมอ
                    1. ลักษณะสำคัญของสัญญา
                              ต้องมีบุคคล 2 ฝ่ายขึ้นไป
                              ต้องมีการตกลงกัน
                              ข้อตกลงดังกล่าวต้องก่อให้เกิดหนี้ตามกฎหมาย คือเป็นข้อตกลงซึ่งมีผลทำให้คู่สัญญาฝ่ายที่เป็นลูกหนี้ต้องชำระหนี้ให้แก่คู่สัญญา
                    2. ประเภทของสัญญา มีดังนี้
                              สัญญามีชื่อและสัญญาไม่มีชื่อ


                   

                              สัญญาต่างตอบแทนและสัญญาไม่ต่างตอบแทน
                              สัญญาซึ่งต้องทำตามแบบและสัญญาซึ่งไม่ต้องทำตามแบบ
                    3. การเกิดสัญญา สัญญาจะเกิดขึ้นเมื่อคำเสนอและคำสนองตรงกัน
                    4. ผลของสัญญา เมื่อสัญญาเกิดขึ้นแล้วคู่สัญญาต้องปฏิบัติตามข้อตกลง
                    5. การเลิกสัญญา คู่สัญญาอาจเลิกสัญญากันได้ตามข้อตกลงที่วางไว้
                    6. การทำผิดสัญญา หากไม่ทำตามสัญญาผู้กระทำต้องรับผิดในความเสียหายต่อคู่สัญญา

          ละเมิด
                    ลักษณะของการทำการละเมิด มีความผิดในลักษณะละเมิด ดังนี้
                              1. การละเมิดต่อบุคคลอื่นโดยตรง
                              2. การละเมิดเนื่องจากการกระทำของบุคคลอื่น ซึ่งเป็นผู้ที่มีความสัมพันธ์กับตน
                              3. การละเมิดเนื่องจากสัตว์ที่อยู่ในความดูแลของตนไปทำความเสียหายแก่บุคคลอื่น
                              4. การละเมิดเนื่องจากทรัพย์สินของตนหรือที่อยู่ในความครอบครองดูแลรักษาของตนก่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคลอื่น

3. ความแตกต่างระหว่างความผิดทางอาญากับความผิดทางแพ่ง มีลักษณะสำคัญดังนี้
 

ความผิดทางอาญา

ความผิดทางแพ่ง

     1. เป็นการกระทำที่มีผลให้เกิดความเสียหายต่อส่วนรวม

     1. เป็นการกระทำที่มีผลให้เกิดความเสียหายแก่เอกชนคนใดคนหนึ่ง ซึ่งได้รับความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือสิทธิอย่างอื่นโดยเฉพาะเจาะจง

     2. ผู้กระทำความผิดจะต้องได้รับโทษจากการกระทำความผิดด้วยตนเอง หากผู้กระทำความผิดตายลงการลงโทษจะระงับไป

     2. ผู้กระทำความผิดต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ความเสียหายที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับทรัพย์สินของบุคคล หากผู้กระทำความผิดตายลง สามารถฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากกองมรดกของผู้ตายได้

     3. เป็นการกระทำที่มีความผิดต่อเมื่อผู้กระทำได้กระทำโดยเจตนา เว้นแต่ในบางกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อกระทำโดยประมาท

     3. ไม่ว่าผู้กระทำจะกระทำโดยเจตนาหรือกระทำโดยประมาท ต้องรับผิดทั้งสิ้น

     4. ต้องตีความตามตัวบทกฎหมายอย่างเคร่งครัดกรณีที่ไม่ได้บัญญัติไว้ ย่อมไม่มีความผิดและไม่มีโทษ

     4. ตีความตามตัวตัวบทกฎหมายหรือตามเจตนารมณ์ของบทบัญญัติของกฎหมายในเรื่องนั้น ๆ

     5. โทษที่ผู้กระทำความผิดจะได้รับ ได้แก่ ประหารชีวิตจำคุก กักขัง ปรับ และริบทรัพย์สิน

     5. โทษที่ผู้กระทำความผิดจะได้รับ คือ การบังคับให้ชำระหนี้หรือชดใช้ค่าสินไหมทดแทน

     6. เป็นความผิดที่ไม่สามารถยอมความได้ยกเว้นเป็นความผิดส่วนตัวหรือที่กฎหมายกำหนดไว้ 

     6. ผู้ที่ได้รับความเสียหายอาจยอมความไม่นำคดีขึ้นสู่ศาล หรือไม่เรียกร้องหนี้สินใด ๆ เลย

     7. ผู้ร่วมกระทำความผิดอาจมีลักษณะความรับผิดมากน้อยแตกต่างกันไปตามลักษณะของการร่วมกระทำตามที่กฎหมายกำหนดไว้

     7. ผู้ที่ร่วมกันกระทำความผิด ต้องร่วมกันรับผิดต่อผู้เสียหายเหมือนกัน

 

     8. มีวัตถุประสงค์ของการลงโทษเพื่อบำบัดความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ส่วนรวม เพื่อให้ผู้กระทำความผิดเกิดความหลาบจำ และกลับตัวกลับใจเป็นคนดี

     8. มีวัตถุประสงค์เพื่อบำบัดความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่เอกชนคนใดคนหนึ่งเป็นการเฉพาะเพื่อให้ผู้เสียหายได้รับความชดเชยในความเสียหายที่เกิดขึ้น

 

4. สิทธิมนุษยชน
          ความหมายและความสำคัญของสิทธิมนุษยชน สิทธิมนุษยชนเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่มนุษย์ทุกคนมีอย่างเสมอภาค เพื่อให้ดำรงชีวิตได้อย่างสันติสุข มีศักดิ์ศรี เสรีภาพ และความมั่นคง
          สิทธิมนุษยชนครอบคลุมเรื่องต่าง ๆ ดังนี้
                    1. สิทธิในชีวิต
                    2. สิทธิในการดำเนินชีวิตและพัฒนาตนเองตามแนวทางที่ถูกต้อง เพื่อให้ดำเนินชีวิตได้ถูกต้องและมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น
                    3. สิทธิในการยอมรับนับถือซึ่งกันและกัน ทำให้ทุกคนเคารพในศักดิ์ศรีและคุณค่าของกัน

          การมีส่วนร่วมคุ้มครองสิทธิมนุษยชนตามรัฐธรรมนูญ จำเป็นที่จะต้องได้รับความร่วมมือจากภาคส่วนต่าง ๆ ดังนี้
                              1. ฝ่ายนิติบัญญัติ
                                        - หากพบกฎหมายฉบับใดขัดหรือแย้งกับข้อตกลงหรือกฎหมายสิทธิมนุษยชน ให้ยกเลิกหรือดำเนินการแก้ไข
                                        - ศึกษาค้นคว้าว่าควรตรากฎหมายฉบับใดเพิ่ม
                                        - ตรวจสอบ เร่งรัดฝ่ายบริหารให้ดำเนินการ
                                        - จัดการศึกษาอบรมเรื่องสิทธิมนุษยชน
                              2. ฝ่ายบริหาร
                                         - ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนทั้งด้านนโยบายและการปฏิบัติ
                                         - ส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายและวางแผนจัดการด้านสิทธิมนุษยชน
                                         - ควรกำหนดให้นโยบายของรัฐบาลและหน่วยงานของรัฐทุกแห่งต้องให้ความเคารพ ส่งเสริม และคุ้มครองสิทธิมนุษยชนอย่างจริงจัง
                                         - ให้ความรู้ด้านสิทธิมนุษยชนแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ และกำหนดในประมวลจริยธรรม
                                         - กำหนดกลไกและมาตรการในการตรวจสอบเจ้าหน้าที่ของรัฐมิให้ละเมิดสิทธิมนุษยชน
                                         ส่งเสริมการปกครองระบอบประชาธิปไตย
                              3. ฝ่ายตุลาการ
                                        - นำบทบัญญัติและเจตนารมณ์เรื่องสิทธิและเสรีภาพปรับให้เข้ากับกระบวนการพิจารณาพิพากษาคดี
                                        - ผู้พิพากษาหรือตุลาการควรสนใจเรื่องสิทธิมนุษยชน
                              4. ประชาชน
                                        - ไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่น
                                         - ร่วมเรียกร้องหรือแสดงความคิดเห็น
                                         - ศึกษาหาความรู้เพื่อพัฒนาตนเอง
                                         - ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหรือค่านิยมที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
                                         - ร่วมกระบวนการพิจารณาของเจ้าหน้าที่ของรัฐในการปฏิบัติราชการทางการปกครองที่กระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของตน
                                         - ควรร้องเรียนต่อองค์กรที่มีหน้าที่คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ หากได้รับความเสียหายจากการกระทำหรือการละเว้นการกระทำของฝ่ายรัฐ
                                         - ร่วมอนุรักษ์และฟื้นฟูจารีตประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่น ศิลปวัฒนธรรม ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
                                         - เข้าชื่อเสนอร่างข้อบัญญัติ
                                         - เมื่อถูกละเมิดหรือพบเห็นการกระทำที่เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนควรร้องเรียนต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
 


 

แหล่งที่มาของเนื้อหา : สำนักพิมพ์วัฒนาพานิช www.wpp.co.th