www.trueplookpanya.com
คลังความรู้
แนะแนว
ข่าวรับตรง
ธรรมะ




แนะแนว > บทความน่าอ่าน

อนาคตออกแบบได้จริง โดยพี่โหน่ง OnDemand และพี่แท็ป ALevel
ทีมงานทรูปลูกปัญญา | 2014-07-07 14:14:06

เราไม่เห็นคุณค่าของการศึกษา
เพราะเราโชคดีมีโอกาสได้เรียน
ตรงข้ามกับคนที่ไม่มีโอกาสได้เรียน
พี่พบว่าการศึกษามันทำให้ชีวิตของพวกเค้า
เปลี่ยนไป...


ตอนพี่ทำงานอยู่ในโรงงาน แล้วต้องเอามาตรฐานเข้าโรงงาน ทั้งๆ ที่คนในโรงงาน “อ่านหนังสือไม่ออก” สิ่งที่เกิดขึ้นคือ แทนที่พี่จะได้ทำเรื่องมาตรฐานการทำงาน พี่ต้องไปบังคับให้คนในโรงงานเรียนหนังสือก่อน ทั้งๆ ที่พวกเขาไม่ได้อยากเรียนหนังสือเลย

ตอนนั้น สิ่งที่พี่ทำคือต้องสร้างแรงจูงใจให้พวกเขา “อยากเรียน” เพราะถ้าพวกเขาเรียน พวกเขาอ่านหนังสือออก ซึ่งนั้นหมายความว่า พวกเขาก็จะอ่านคู่มือในการทำงานของพี่ออกเช่นกัน พี่ไปติดต่อการศึกษานอกโรงเรียน ให้มาตั้งอยู่ในโรงงาน แล้วพี่ก็บังคับพวกเขาให้ไปเรียน สิ่งที่เจอคือ พนักงานของพี่ “ขอลาออก” เพราะไม่อยากเรียน


พี่เลยเปลี่ยนใหม่ พี่เรียกคนในโรงงานทั้งหมดมารวมกัน แล้วประกาศว่า พี่จะไม่บังคับให้เรียนแล้ว แต่ถ้าใครเรียน ปลายปีพี่จะปรับเงินเดือนให้ ซึ่งถ้าใครไม่เรียน พี่จะไม่ปรับเงินเดือน พวกเขากลับไปคิดวันสองวัน และกลับมา
บอกพี่อีกครั้งว่า เขายอมเรียนก็ได้ เพราะพวกเขาอยากปรับเงินเดือนตอนปลายปี


หลังจากที่พวกเขาเรียนไปได้สักพัก วันหนึ่งก็มีคนในโรงงานพี่คนหนึ่ง วิ่งเข้ามาหาพี่ แล้วบอกว่า “ขอบคุณที่พี่เปลี่ยนชีวิตเขา”ที่เปลี่ยนไป เพราะเขาอ่านป้ายออกว่านี่คือร้านขายยา อ่านฉลากออกว่านี่คือยาอะไร ต้องทานยังไง เขาอ่านป้ายบอกทางข้างถนนออก นี่แหละ คือชีวิตของพวกเขาที่เปลี่ยนไป เพราะหลังจากนี้ พวกเขาจะได้ใช้ชีวิตในวิถีที่พวกเขาสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเองตลอดไป และด้วยเหตุผลนี้ ที่ทำให้พี่ “เปลี่ยนอาชีพ” จากวิศวกร มาเป็นครู เพราะพี่เชื่อว่าอาชีพนี้ มันจะมีคุณค่าให้กับคนในสังคมได้อีกมากมาย


จริงๆแล้วการศึกษาบังคับกันไม่ได้ ถ้าคุณพ่อคุณแม่บังคับให้ลูกเรียนหนังสือ คุณพ่อคุณแม่จะไม่สามารถทำให้น้องได้ดี สิ่งที่เป็นโจทย์สำหรับคุณพ่อคุณแม่คือ อย่าเพิ่งไปคิดว่า ทำอย่างไรถึงจะทำให้ลูกตั้งใจเรียน แต่ควรคิดก่อนว่า ทำอย่างไรถึงจะทำให้ลูกอยากเรียนมากกว่า

"ตั้งโจทย์ได้ถูก ก็เริ่มออกแบบอนาคตลูก แล้วนะครับ"

 

เมื่อก่อนพี่ เป็นเด็กที่ไม่เอาไหน หรือพูดง่ายๆ ก็คือเป็นเด็กเกเร ไม่ตั้งใจเรียน พี่เป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง พี่จะไม่ทำอะไร ถ้าพี่ไม่เห็นด้วย ซึ่งตอนนั้นพี่รู้สึกว่าการเรียนไม่สำคัญ พี่ก็เลยไม่เรียน ทุกครั้งที่คุณครูให้ท่องสูตรคูณ พี่ก็ท่องนะ แต่พี่ก็คิดว่าจะท่องทำไม? ในเมื่อมันก็เหมือนเดิม และก็ไม่รู้ว่าจะเอามันไปใช้ประโยชน์อย่างไร


แต่แล้ว ความคิดทั้งหมดก็เปลี่ยนไป เมื่อพี่จบ ป.6 และกำลังขึ้น ม.1 พ่อของพี่ได้พาพี่ไปที่ตลาดสด ซึ่งในนั้นมีแต่คนงานที่ต้องใช้แรงงาน เพื่อหาเลี้ยงตัวเอง พ่อของพี่พูดกับพี่ว่า “เราอยากที่จะเรียนต่อไหมหรืออยากจะทำงาน ถ้าเราจะเรียนแล้วไม่ตั้งใจ พ่อว่าเราทำงานดีกว่านะ” แล้วพ่อ ก็ทิ้งให้พี่อยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนั้นอยู่ครึ่งวัน เพื่อให้พี่ได้คิด แล้วพ่อก็กลับมารับพี่กลับบ้าน คำถามแรกที่พ่อพี่ถามตอนขึ้นรถคือ “ยังอยากจะเรียนต่อไหม” พี่รีบตอบทันที “อยากเรียน” แต่ในใจพี่ตอนนั้นคิดว่าถ้าไม่ตอบว่าอยากเรียน พี่คงไม่ได้กลับบ้านแน่ๆ


พอพี่กลับบ้านไปทุกอย่างก็เปลี่ยนไปหมด ธรรมดาเวลากินข้าวเสร็จ พ่อพี่จะบังคับให้เอาหนังสือมาอ่าน แต่คือวันนี้พ่อพี่ไม่บังคับแล้ว พ่อบอกพี่กับพี่ชายและน้องสาวพี่ว่า ใครอยากเรียนก็เรียน ใครไม่อยากก็ไม่ต้องเรียน พูดง่ายๆ ตอนนั้นพี่เหมือนเป็นอิสระ พี่ก็ไปเล่นตามประสาคนไม่อยากเรียน ในขณะที่พี่ชายกับน้องสาวของพี่ นั่งอ่านหนังสือเหมือนเดิม


พอพี่เล่นคนเดียว พี่ก็พบว่ามันน่าเบื่อ คำถามคือทำไมพี่ชายกับน้องสาวพี่ถึงอ่านหนังสือ? มันมีอะไร มันสนุกยังไงหรอ พี่ก็เลยอยากจะลองอ่านหนังสือขึ้นมาบ้าง พี่เลือกอ่านหนังสือที่พี่อยากอ่าน สิ่งที่พี่เลือกคือสิ่งที่พี่อยากจะรู้ พี่แอบเอาหนังสือไปอ่านในห้องน้ำ เพื่อไม่ให้พ่อของพี่รู้ พอพี่อ่านพี่ก็เริ่มติดและอ่านไปเรื่อยๆ วันที่ผลสอบออก วิชานี้พี่ได้ TOP! และได้เกรดสี่ สิ่งที่พี่คิดตอนนั้นคือ เฮ้ย! เราก็ทำได้เหมือนกัน เพียงแค่เราต้องรู้สึกว่าเรา “อยากเรียนและอยากอ่านจริงๆ”


พี่เริ่มอ่านวิชาอื่น จนทำให้เกรดพี่ดีขึ้นเรื่อยๆ และก็มาถึงวิชาที่ใครๆ หลายคนไม่ชอบกัน นั่นคือวิชา “เลข” เพราะเป็นวิชาที่ต้องฝึกต้องท่องสูตร พี่เองก็รู้สึกว่าสูตรเลขมันเยอะแยะไปหมด พี่ก็ท่องๆ และจำ แต่พี่ก็ยังทำไม่ได้อยู่ดี จนพี่มาเจออาจารย์ท่านหนึ่ง ซึ่งท่านทำให้พี่เห็นว่า การเรียนเลขมันไม่ใช่อย่างที่พี่คิด แต่มันเป็นทักษะและความเข้าใจ ถ้าพี่เข้าใจถูกต้องมันก็จะทำให้พี่ทำได้ การฝึกทำให้พี่เข้าใจมันมากขึ้น แล้วยิ่งถ้าเราเรียนเลขแล้วเห็นภาพ เราจะสามารถทำได้ หลังจากนั้นมา พี่จึงมีทัศนคติกับวิชาเลขที่เปลี่ยนไป “พี่ไม่เกลียดและไม่กลัววิชาเลขอีกต่อไป”


วิชาเลขเป็นวิชาที่ต้องใช้ความเข้าใจ ไม่ใช่ท่อง น้องส่วนมากชอบคิดว่า เราต้องท่อง ท่อง ท่อง การเรียนเลขครั้งแรกครูก็บอกให้พี่ท่องสูตรคูณ ท่องไปทำไมไม่มีใครบอก พี่ก็ท่องๆ แต่ตอนนี้พี่มาเปลี่ยนว่า “เราเรียนไปเพื่ออะไร?”
เช่นการเรียนเลขเรื่องยกกำลัง เราต้องเข้าใจก่อนว่า มันคือการเอาเลขหลายตัวมาคูณกัน กี่ตัวก็ว่ากันไป แต่จะเขียนยาวๆ มันก็เขียนยาก ก็เลยเขียนในรูปของเลขยกกำลังซะ มันก็จะทำให้เราเข้าใจทั้งความหมายและรู้สมบัติของมันด้วย ถ้าน้องอยากเก่งเลข พี่สรุปได้ง่ายๆ คือ น้องต้องเปลี่ยนทัศนคติของน้องก่อน ว่าน้องอยากทำ และน้องไม่เบื่อมัน ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ถ้าน้องฝืนกับมันเมื่อไหร่ น้องจะทำมันออกมาได้ไม่ดี พอทัศนคติเปลี่ยน น้องก็ควรเริ่มกระบวนการความเข้าใจ และฝึกฝนจนเกิดความชำนาญมากขึ้น และสุดท้าย ใช้เรื่องของเวลาเข้ามาช่วย คือจับเวลาทำข้อสอบ แล้วจะทำให้น้องทำข้อสอบได้ทันเวลา สี่อย่างนี้ จะทำให้น้องประสบความสำเร็จ และเป็นคนที่เก่งเลขได้ครับ


"ไม่มีใครเก่งเลขมาตั้งแต่เกิด
ทุกๆ ความสำเร็จล้วนเกิดจากตัวเราทั้งสิ้น"