อัษฎาวุธ เหลืองสุนทร: ใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์ อย่างมีศิลปะ
ทีมงานทรูปลูกปัญญา | 2011-12-22 11:31:08
ใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์ อย่างมีศิลปะ
อัษฎาวุธ เหลืองสุนทร
- สวัสดีครับ ผมอัษฎาวุธ เหลืองสุนทรครับ
เรียนจบจากคณะครุศาสตร์ ศิลปะศึกษา จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สมัยนั้นกับสมัยนี้รู้สึกว่าหน่วยการเรียน หรือวิธีการเรียนจะแตกต่างไป เมื่อก่อนนี้จะเรียนแค่ 4 ปี ครึ่งปี 4 จะต้องไปฝึกสอน และอีกครึ่งปืจะต้องทำธีสิส หรือ supervise หรืองานศิลปะที่แสดงความเป็นตัวตนของตัวเองออกมา แต่เดี๋ยวนี้ 4 ปีก็จะเรียนวิชาครูและวิชาศิลปะสลับสับเปลี่ยนกันไป และตอนปี 5 ก็จะต้องไปฝึกสอนเต็มๆ 1 ปี เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้คณะครุศาสตร์จะเข้มข้นกว่าเมื่อก่อน
โชคดีที่การเรียนศิลปะที่ครุศาสตร์ได้ฝึกทั้งการพูด การวาดรูป และเขียน เพราฉะนั้นงานที่เราทำจึงมีทั้งพิธีกร และงานแสดง ซึ่งพิธีกรจะใช้การพูด งานแสดงคือต้องท่องสคริปต์ พูดบทในฉากต่างๆ เพราะฉะนั้นทักษะการพูด การจำ และการสื่อสารนั้นจำเป็น ส่วนในงานศิลปะนั้นก็ใช้วาดภาพประกอบบ้าง หรือวาดเพื่อให้องค์กรต่างๆ ไปประมูลเป็นการกุศลสมทบทุนตามมูลนิธิต่างๆ หรือบางครั้งเราก็สกรีนรูปที่เราเขียนบนเสื้อ เพื่อเอาไปขายนำเงินไปบริจาคให้ที่โน่นที่นี่ ตอนนี้เลยได้ใช้ประโยชน์จากที่เรียนมาจากครุ ศิลปะศึกษาจุฬา ตลอดเวลา
*ศิลปะของคุณวุธ ให้ประโยชน์กับสังคมในด้านใดบ้าง
ส่วนใหญ่ก็จะเกิดจากโครงการต่างๆ ที่ให้เกียรติเรา ให้เราเข้าไปร่วมโดยการนำผลงานของเราไปเป็นตัวตั้ง เพื่อประมูล หรือทำเป็นโปสการ์ด ขาย แล้วนำรายได้ไปบริจาค หรือเอารูปเราไปกรีนทำผลิตภัณฑ์ต่างๆ แล้วนำไปขาย เพราะบางทีจะให้คนควักเงินจากกระเป๋าแล้วนำไปหย่อนตู้ ก็อาจจมีคนคิดว่าจะได้อะไรจากการบริจาค แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นซื้อของ เอาของกลับมาใช้ได้ และเงินที่ซื้อของไปก็กลับไปช่วยงานกุศล
แบบอย่างที่ดี เชื่อมโยงกับคำว่า ความแตกต่าง เพราะฉะนั้นของที่จะดีร้อยเปอร์เซนต์ อาจจะมีแต่ยังไม่เจอ อาจจะดีในระยะเวลาหนึ่ง เหมือนของนั้นมีเกิด มีแก่ มีเจ็บ มีตาย นั่นคือสัจจธรรม เช่นเดียวกัน ของชิ้นหนึ่งอาจจะเคยสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่มันก็จะลดทอนความสมบูรณ์ของมันไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น คนที่เคยดีร้อยเปอร์เซนต์ คนที่เคยเก่ง เคยสอบได้ที่ 1 ก็ไม่ได้แปลว่าอนาคตข้างหน้าคุณก็จะได้ที่หนึ่ง หรือมันจะดีแบบนั้น และก็ไม่ได้แปลว่าคุณจะดีแบบนั้นไม่ได้อีก มันเหมือนกับว่าต้องพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ แบบอย่างของเราจะเปลี่ยนไปตามวัย เพราะทัศนคติ หรือประสบการณ์ที่เรามีมากขึ้น แล้วมันทำให้เราเปลี่ยน มองเห็นต้นแบบใหม่ๆ ที่เหมาะกับเราในช่วงเวลานั้น เพราะฉะนั้นแบบอย่างที่ดีของเรามันจึงจะมาพร้อมกาลเวลา พร้อมกับวัย ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เรายึดติดและเปลี่ยนไม่ได้ ในคนหนึ่งคนจึงไม่จำเป็นว่าจะต้องมีไอด้อล หรือแบบอย่างที่ดีเพียงอย่างเดียว เราสามารถเลือกความดีแต่ละมุมจากแต่ละคนเข้ามาเป็นความดีในแบบของเราได้ นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุด แต่ไม่ใช่มองว่าคนอื่นอะไรก็ดีไปหมด ไอ้นั่นก้ดี ไอ้นี่ก้ดี จนลืมมองความดีของตัวเองไป จริงๆ ต้องดูด้วยว่าเราดีตรงไหน และเราขาดตรงไหน ใครจะสามารถมาเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเราได้
เริ่มต้นจากนิตยสารฉบับหนึ่ง ทำโครงการเล็กๆ ช่วงเศรษฐกิจฟองสบู่แตก ก็เลยจัดกิจกรรมเปิดท้ายขายของ เกิดเป็นโครงการ Shopping Bag มาซื้อของมือ 2 กันในราคาถูก เอาเงินไปช่วยทำบุญ แต่สำหรับผมแล้วไม่มีของมือสองจะไปขาย เพราะของที่ใช้จนคุ้มแล้วสภาพคงขายไม่ได้ ก็เลยเช่าบู๊ทและทำของขาย โดยวาดรูปเป็นลายเส้น และสกรีนบนเสื้อแล้วเอาไปขายในงาน ปีแรกเป็นลายตุ๊กตาล้มลุก คือ คนเราล้มได้แต่ก็ต้องลุก ก็ขายได้เงินมาก้อนหนึ่ง เลยตัดสินใจทำบุญกับนักแสดงอาวุโสที่ตอนนี้เจ็บป่วยอยู่
บางสิ่งบางอย่างที่ได้จากการทำงานภายใต้บทพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มันทำให้เราคิดอะไรแบบที่เป็นธรรมะ หรือสิ่งที่เป็นจริง อย่างเรื่องพระมหาชนก สอนให้รู้ว่า เราสามารถปลีกตัวไปมีความสุขของเราเองได้ แต่การอยู่ในสังคมมันไม่ใช่คนหนึ่งคนใด แต่มันเป็นหน้าที่ของทุกๆ คนที่จะต้องช่วยหลือกัน อย่างเช่นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท่านเป็นพระมหากษัตริย์ ท่านสามารถจะมีความสุขอยู่ในสถานภาพของพระองค์ท่าน ไม่ต้องลงมาช่วยเหลือคนก็ได้ เพราะทุกคนมีหน้าที่ต้องดูแลตัวเองอยู่แล้ว แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท่านไม่นิ่งดูดาย ตลอดระยะเวลาที่ทรงครองราชย์ ท่านลงมาช่วยเหลือ มาช่วยคลี่คลายปัญหาของคนไทย ซึ่งสถานภาพของพระองค์มันไม่ใช่แค่คนในปกครองของพระองค์ แต่เราเป็นเหมือนญาติสนิท ขนาดปัจจุบันพระองค์ทรงมีพระชนมายุถึง 84 พรรษา ซึ่งถ้าเป็นคนทั่วไป ลูกหลานก็คงให้พักผ่อนอยู่กับบ้าน แต่พระองค์ยังทรงงานหนักอยู่ อย่างในช่วงน้ำท่วม ท่านก็ลงมาให้ความช่วยเหลือกับทุกคน เราเองคงไม่สามารถทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างพระองค์ท่าน เพราะบารมีท่านไม่ถึง แต่ว่าสิ่งเล็กๆ ที่เราทำอาจจะช่วยแบ่งเบาภาระให้พระองค์ท่านได้บ้าง อย่างน้อยถ้าไม่ทำตัวเองให้เป็นที่เดือดร้อนของสังคมก็ถือว่าเป็นการช่วยแล้ว เราจึงต้องบอกตัวเองอยู่เสมอว่าเราต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด โดยไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ไม่ใช่เพื่อในหลวงอย่างเดียวนะครับ แต่เพื่อสังคม เพื่อโลก สิ่งต่างๆ ที่เรากำลังเผชิญอยู่นี่ สืบค้นกลับไปแล้วก็มาจากพวกเราทั้งนั้น แล้ววันนี้เราจะช่วยแก้หรือบรรเทาตรงนั้นได้อย่างไรบ้าง