พิทยากร ลีลาภัทร์ ตอบธรรม ตามจริง
ทีมงานทรูปลูกปัญญา | 2013-09-02 15:51:42
เรื่อง: ศภิสรา เข็มทอง เรียบเรียง: ศรินทร เอี่ยมแฟง ภาพ: วิมล พวงประดับ
"ปัญหาการศึกษา สิ่งแวดล้อม คอร์รัปชั่น ทุกปัญหาแก้ได้ ด้วยอย่างเดียวคือ ทุกคนถือศีล 5 จบ"
หากใครติดตามทวิตเตอร์ส่วนตัวของ “aston27” หรือ เอ็ดดี้-พิทยากร ลีลาภัทร์ บล็อกเกอร์และนักเขียนพ็อคเก็ตบุ๊คเชิงธรรมะอยู่เป็นประจำ ย่อมทราบดีว่านอกเหนือจากการตอบคำถามเกี่ยวกับสาระในชีวิต ที่มีผู้สงสัยหรือกระทั่งขอความช่วยเหลือไม่เว้นแต่ละวัน จนกลายเป็นต้นฉบับชั้นดีของหนังสือธรรมะอ่านง่ายจำนวนแปดเล่ม ผู้ชายคนนี้ยังขยันเล่านิทานธรรมะก่อนนอนซึ่งแฝงด้วยพุทธประวัติและพุทธพจน์ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงหวังให้ชาวพุทธหันมาให้ความสำคัญกับพระธรรมคำสอนมากกว่าพิธีกรรม เมื่อถามถึงคลังความรู้ที่นำมาใช้แนะแนวชีวิตเพื่อนมนุษย์กว่าห้าปีที่ผ่านมา พี่เอ็ดดี้ให้คำตอบสั้นๆ ว่าไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการตอบตาม “ความเป็นจริง”
ความสนใจเรื่องธรรมะเริ่มต้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่
ศึกษาธรรมะโดยไม่รู้ตัวตั้งแต่ตอนเด็กๆ ที่อยู่กับอาม่า อาม่าชอบไปวัดไปโรงเจ เราก็ซึมซับทั้งในเรื่องพิธีกรรม ไหว้พระ สวดมนต์ ทำบุญทำทาน รวมถึงเรื่องปฏิบัติ เพราะอาม่าจะเดินจงกรม นั่งสมาธิ สวดมนต์ทุกวัน ตอนวัยรุ่นก็เริ่มรู้สึกว่าบางทีมีความวุ่นวาย ความไม่สงบ ความเครียดเรื่องเรียนมันเป็นภาระทางใจ ถ้าบางวันไม่ไหวก็เริ่มนั่งสมาธิ เพราะอาม่าเคยสอนไว้ตั้งแต่เด็ก แต่ก็ทิ้งไปนะ ต้องเท้าความว่าพี่ตั้งใจว่าวันหนึ่งคงจะบวช ก็เลยประมาทคิดว่ารอไปก่อนให้ถึงวันที่บวชค่อยเรียนปฏิบัติ ปรากฏว่าเรียนจบ ทำงาน ชีวิตก็ดีมาตลอด เป็นกราฟขาขึ้น เงินเดือนก็ขึ้น ได้งานที่ชอบ มีแฟนสวย ต่างๆ นานาตามสูตร แต่พอถึงจุดหนึ่งมันพลิกผัน มีเหตุต้องเลิกกับแฟน รถคว่ำ ยิ่งตอนรถคว่ำรู้เลยว่าชีวิตที่เรามองเป็นของแน่นอนมันไม่ใช่ เราค้นพบว่าถ้าวันนั้นรถคว่ำแล้วรถตกเหว เราก็ตายนะ เลยรู้สึกว่าชีวิตไม่ใช่เรื่องประมาทได้ ความตายไม่ได้แปลว่าแก่แล้วถึงจะตาย เด็กก็ตายได้นะ ก็เลยคิดว่าต้องเริ่มเรียนหรือสนใจจริงๆ
ตอนนั้นไม่รู้จะเริ่มอย่างไรเพราะไม่รู้จักวัดไหนที่เราศรัทธาเลย ครูบาอาจารย์ที่ศรัทธาอย่างท่านพุทธทาสก็ไม่อยู่แล้ว ที่เคยได้ยินชื่อเสียงท่านป่วยกันหมด สอนไม่ได้ เลยกลับสู่เบสิคคือสวดมนต์ทุกวันก่อนนอน วันละประมาณครึ่งชั่วโมง เราตั้งใจอธิษฐานว่าถ้ามีอานิสงส์อะไรจากการสวดมนต์ ก็ขอให้เราเข้าใจบทสวดที่เป็นภาษาบาลี หลังจากนั้นอีกสักสองสามปีก็ไปเจอพี่คนหนึ่งที่ไปเข้าคอร์สมา เราก็ลองไปเข้าบ้าง เริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงของตัวเอง เริ่มเข้าใจมากขึ้นเวลาที่เราไปเรียนกับครูบาอาจารย์ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช ท่านเมตตาให้หลักมาแล้วไปทำเอา เราก็ใช้หลักนี้ภาวนามาเรื่อยๆ เห็นว่าชีวิตมีพัฒนาการไปในทางที่ดี ความคิดอ่าน ความเข้าใจโลก ความเข้าใจตัวเอง ความเข้าใจคนอื่น เป็นที่มาของการเขียนหนังสือธรรมะด้วย
อยากให้ขยายความที่ว่าชีวิตเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี
เมื่อก่อนเวลาเหงาทำอะไรไม่ถูกเลย ต้องไปหาอะไรมาอุด เหมือนใจมีรูโหว่ที่ต้องหาอะไรมาเติมเต็มตลอดเวลา แต่พอรู้จักธรรมะ การภาวนา การปฏิบัติธรรม รูรั่วก็หายไปและเต็มอิ่มขึ้นมาได้โดยตัวเอง ไม่ต้องมีใครก็ไม่ต้องมีใครเหมือนเดิม ไม่ต้องมีทีวี ไม่ต้องมีเสียงเพลง เราเป็นที่พึ่งของตัวเองได้ เราเข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้าที่บอกว่า “อัตตา หิ อัตตโน นา โถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน”
คิดว่าความเป็นนักการตลาดของเราขัดแย้งกับการปฏิบัติธรรมไหมคะ
อันนี้เป็นความเข้าใจแบบพวกเรา พี่ก็เคยเข้าใจว่ามีเส้นแบ่งทางโลกและทางธรรมอย่างชัดเจน แต่เส้นแบ่งนี้ใช้กับพระเท่านั้นว่าถ้าเป็นพระทำธุรกิจไม่ได้ ในฐานะฆราวาสไม่มีข้อห้ามว่าพอมานับถือศาสนาพุทธแล้วต้องเลิกทำงาน ต้องบวช ถ้าย้อนไปในสมัยพุทธกาล ฆราวาสก็ทำมาหากินทั้งนั้น นางวิสาขาก็ทำงาน อนาถบิณฑิกเศรษฐีก็ทำงาน อำมาตย์ เสนา เจ้าชาย พ่อค้า พระราชินี ทุกคนมีหน้าที่ก็ทำหน้าที่ของตัวเองไป สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่พระพุทธเจ้าสอนคือการรู้จักหน้าที่ รับผิดชอบหน้าที่ตัวเองและรับผิดชอบหน้าที่ต่อผู้อื่น ไม่ได้แปลว่าการทำงานทางโลกจะปฏิบัติธรรมไม่ได้
ทวิตเตอร์ @aston_ed มักจะแนะนำให้ฝึกปฏิบัติในชีวิตประจำวันด้วยซ้ำ
เพิ่งทวีตไปเมื่อตอนกลางวัน มีคนถามว่าหนูทำงานประจำจะทำอย่างไร จะไปภาวนาอยู่วัดสิบวันก็ทำไม่ได้ ก็ยังต้องอธิบายให้ฟังว่าเข้าใจผิด เราชอบนึกว่าการปฏิบัติธรรมต้องไปวัด นุ่งขาวห่มขาว อดข้าวเย็น ไม่แต่งหน้าทาปาก นอนเสื่อ ไม่พูดกัน ถึงจะเรียกว่าปฏิบัติธรรม จริงๆ เป็นแค่การจัดระเบียบคนที่ไปอยู่วัด ให้ถือศีล 8 จะได้ไม่เบียดเบียนกัน ตัดความไม่จำเป็นของการมีชีวิตอยู่ในวัดออกไป ในชีวิตประจำวันการปฏิบัติธรรมไม่ได้มีอะไรต่างไปจากมนุษย์ปกติ เพียงแต่ว่ามีศีล 5 เป็นอย่างน้อย สองก็คือ ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ พูด คิด ทุกอย่างทำด้วยสติ ถ้าทุกก้าวเดินเรามีความรู้สึกตัวอยู่ในนั้น เห็นร่างกายมันเดินอยู่ มีใจเป็นคนดู เห็นว่าแต่ละก้าวเป็นอย่างไร นี่คือเดินจงกรมแล้วนะหรือเรามีความรู้สึกอะไรเกิดขึ้น จิตคิด จิตนึก จิตปรุงแต่ง มีความสุข มีความทุกข์ เราคอยรู้สึกตัว แม้แต่การปฏิบัติธรรมในรูปแบบ สวดมนต์ เดินจงกรม นั่งสมาธิ ก็ทำได้ที่บ้าน ไม่มีหิ้งพระยังไหว้พระได้เลย พระพุทธเจ้าอยู่ทุกที่ เขาเรียกว่าจิตพระอรหันต์เป็นอันเดียวกับจักรวาล ครูบาอาจารย์เคยบอกว่าถ้าเมื่อไหร่ มีการเจริญสติรู้กายรู้ใจ เมื่อนั้นมีการปฏิบัติธรรม ต่อให้ตัวอยู่วัดแต่ใจอยู่ที่ห้างก็ไม่ได้ปฏิบัติ
อะไรคือความสุขของการเป็นผู้รับฟังปัญหาและแนะนำหนทางให้เพื่อนมนุษย์
เพราะการได้เป็นผู้แบ่งปันคือการให้ การให้คือการได้สละออก สมัยก่อนพี่ก็ใช้ชีวิตแบบคนอื่น ว่างก็ไปเที่ยวไปโยนโบว์ลิ่งตีสนุ๊ก ทีนี้แทนที่เราจะเอาเวลาไปหาความสุขส่วนตัว เราก็มาตอบคำถาม แนะนำให้คนเข้าใจตัวเอง เข้าใจปัญหา เข้าใจคนอื่น เข้าใจโลก มีความทุกข์น้อยลง ให้เขาสนใจศึกษาเรื่องธรรมะ ซึ่งอันนี้รู้สึกว่าเราได้ทำหน้าที่ของชาวพุทธที่ดี มีคนพูดเยอะว่าเป็นชาวพุทธมาตั้งนานไม่เห็นประโยชน์เลย เพราะว่าเขารู้จักแต่พิธีกรรม รู้จักแต่ไปวัด ไหว้พระ จุดเทียน จุดธูป ปิดทอง รดน้ำมนต์ เอาเงินหยอดตู้ เสร็จ กลับ เขาไม่รู้จริงๆ ว่าศาสนาพุทธให้อะไรได้มากกว่า พอเราได้ทำให้คนเข้าใจถูกในสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนจริงๆ เราภูมิใจเป็นส่วนหนึ่ง เวลาคนบอกว่าเขาอ่านหนังสือเราลองปฏิบัติแล้วสบายใจ เขารู้สึกขอบคุณเรา อันนี้เรียกว่าความสุขอีกแบบหนึ่ง
ทุกวันนี้สถิติความทุกข์ของคนเราเป็นเรื่องอะไรมากที่สุด
เอาอันเดียวเลยนะ เราทุกข์เพราะ “อยาก” เมื่อไหร่ที่มีความอยาก ความทุกข์จะเกิดทันที อยากได้นั่น อยากได้นี่ ไม่ต้องไปพูดถึงไม่สมอยาก เพราะไม่สมอยากยิ่งทุกข์ใหญ่เลย แต่คนไม่ค่อยเห็นตรงนี้ เขาจะไปรู้สึกทุกข์ตอนเขาอยากแล้วไม่สมอยาก เช่น ไปรักเขาแล้วเขาไม่รักถึงจะทุกข์ จริงๆ แล้วมันทุกข์ตั้งแต่ไปรักเขาแล้ว กระทั่งว่าแฟนทิ้งแล้วทุกข์เพราะอยากให้เขาไม่ทิ้ง มันคือเรื่องธรรมดาของโลก พระพุทธเจ้าบอกมาตั้งสองพันกว่าปี โลกนี้มีของที่เป็นคู่อยู่สี่คู่ ได้ลาภ เสื่อมลาภ ได้ยศ เสื่อมยศ มีสุข มีทุกข์ มีสรรเสริญมีนินทา ถ้าเข้าใจแค่สี่คู่นี้ก็อยู่กับโลกสบายเลย เวลาได้อะไรมาก็รู้ว่าสักวันก็ต้องเสียไป ต่อให้แฟนไม่ทิ้ง ไม่ได้เลิกกัน ไม่ได้มีคนอื่น วันหนึ่งก็ต้องแยกจากกัน ไม่มีใครไม่ตายจากกัน เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจว่าทุกอย่างเกิดแล้วเสื่อม เกิดแล้วดับ ความอยากก็จะไม่เกิด เพราะรู้ว่าอยากไปก็ใช่ที่ อันนี้เขาเรียกว่าตัว “ปัญญา” คนเราพอขาดปัญญาก็จะปรุงความอยากขึ้นเรื่อยๆ
หากมีคนมาบอกว่ากำลังทุกข์อย่างสาหัส จะเริ่มต้นพูดคุยกับเขาอย่างไร
หายใจเข้าแล้วรู้สึกตัวนะ กลั้นลมไว้นิดหนึ่ง แล้วรู้สึกตัว แล้วหายใจออก ทำสามรอบนะ เป็นอย่างไร ยังเหมือนเดิมไหม คนเราทุกข์เพราะอยาก แต่ความอยากเป็นผลจากความคิด ตอนที่เขามีสติรู้อาการหายใจเข้า-ออก หยุดหายใจ ตอนนั้นจิตจะไม่ได้คิด พอไม่ได้คิด ทุกข์มันจะหายไป สิ่งที่เหลืออยู่อาจจะเป็นผลจากความทุกข์ที่ตกตะกอนจากความคิดก่อนหน้านั้น อันนี้คือวิธีหนึ่ง วิธีที่สองคือหลังจากที่ให้ทำอย่างนั้นแล้วก็จะบอกให้เขาคอยรู้สึกตัวนะ หายใจตามปกติ บริกรรมไปด้วยก็ได้ หายใจเข้าพุทธ หายใจออกโธ แล้วคอยดูความคิดตัวเองที่คอยหนีไปจากคำว่าพุทธ โธ และลมหายใจ ทุกคนเป็น ไม่ได้แปลว่าล้มเหลวอะไรนะ เมื่อไหร่หนีไปให้เรารู้ทันว่าจิตหนีออกไปแค่นั้นเอง เมื่อจิตมันคิดและมีจิตอีกตัวหนึ่งมารู้ทัน จิตที่คิดจะดับ พอจิตที่คิดดับ ความทุกข์ก็จะดับไปด้วย ให้ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ และคอยดูว่าความทุกข์มันเที่ยงหรือเปล่า เราก็จะเห็นว่าความคิดเกิดแล้วดับ ความเฉยๆ เกิดแล้วดับ ความสุขก็เหมือนความทุกข์นั่นแหละ เกิดแล้วดับเหมือนกัน คนเราส่วนมากคิดปรุงแต่งให้ทุกข์เกินกว่าที่ควรจะทุกข์ประมาณหลายร้อยเท่า ปัญหามีแค่สิบห้าแต่ทุกข์เสียห้าสิบ ทำไมฉันต้องเจออย่างโน้น ทำไมเขาไม่ทำอย่างนี้ มันดราม่าเสียจนมีแต่ทำไมๆ ไม่มีตัวไหนเลยที่เป็นสติ
ปัญหาในโลกนี้มีอยู่แค่สองแบบ แบบหนึ่งเรียกว่าปัญหาที่แก้ได้ อีกแบบหนึ่งเรียกว่าปัญหาที่แก้ไม่ได้ สองอย่างนี้ไม่มีความจำเป็นต้องทุกข์เลย เพราะปัญหาอะไรที่แก้ได้ เอาเวลาไปแก้เสีย อย่าเอาเวลามาทุกข์ ปัญหาที่แก้ไม่ได้แปลว่าทุกข์ไปมันก็แก้ไม่ได้ แล้วระหว่างมีปัญหากับมีทุกข์ด้วย กับมีปัญหาแบบไม่ทุกข์ เลือกอันไหนล่ะ ถ้าเรายอมรับได้ว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นได้ นี่คือความจริง เมื่อยอมรับได้ใจมันจะวาง พอวางปุ๊บก็ไม่มีอะไรที่เป็นน้ำหนักกับเรา เราก็จะมีสติปัญญาพอที่จะเอาชีวิตที่เหลืออยู่ไปจัดการปัญหาให้ดีที่สุด
ลองจินตนาการว่า ธรรมะเป็นปัจจัยพื้นฐาน ลำดับที่ 5 ของมนุษย์ โลกเราจะเป็นอย่างไร
เป็นคำถามที่ดีมากเลย ตรงกับที่ครูบาอาจารย์หลายๆ ท่านเคยพูด ที่เราพยายามแก้ปัญหาการศึกษา สิ่งแวดล้อม คอร์รัปชั่น ทุกปัญหาแก้ได้ด้วยอย่างเดียวคือทุกคนถือศีล 5 จบ ไม่มีคนทำร้ายกัน เบียดเบียนกันเพราะผิดข้อหนึ่ง ไม่มีคนโกงเพราะผิดข้อสอง ไม่มีเรื่องการละเมิด เป็นชู้ มีกิ๊ก ครอบครัวแตกแยกเพราะผิดข้อสาม ไม่มีเรื่องการโกหกหลอกลวง ไม่มีปัญหามาทะเลาะกันเพราะมันผิดข้อสี่ อุบัติเหตุจะไม่มีหรือน้อยมากเพราะคนไม่กินเหล้าเพราะผิดข้อห้า คนอยู่กันแบบไม่เบียดเบียน ประเทศก็สงบสุข กฎหมายยังไม่จำเป็นเลย ตำรวจก็ไม่ต้องมี ปัญหาจราจรยังแก้ได้เลย เชื่อไหม ถ้าเราไม่เอาเปรียบคนอื่นคือลักขโมยสิทธิของคนอื่น ปัญหารถติดส่วนมากเกิดจากมีรถจอดในที่ไม่ควรจอด
ถึงบอกว่าศีล 5 ช่วยได้เยอะมาก เวลาพี่บอกคนอื่นก็จะบอกว่ารักษาศีล 5 ก่อนนะ คือเราพูดเรื่องภาวนา เรื่องปฏิบัติ แต่ไม่มีศีล 5 ปฏิบัติยาก เพราะคนไม่มีศีลจิตจะฟุ้งซ่านวุ่นวาย การปฏิบัติธรรมจึงต้องอาศัยศีลเป็นพื้นฐาน คนจะพูดว่าก็คนอื่นเขาไม่ถือศีลกัน เราถือแค่คนเดียวจะไปช่วยอะไร จะบอกว่าคุณไม่ใช่คนเดียวหรอก คนถือศีล 5 มีเยอะจะรู้หรือไม่รู้แค่นั้น อย่างน้อยที่สุดถ้าคนทั้งโลกไม่ถือศีล 5 เรานี่แหละจะเป็นคนที่สงบและเย็นด้วยตัวของเราเอง
ฝึกเจริญสติและภาวนาได้ง่ายๆในชีวิตประจำวัน โดย พิทยากร ลีลาภัทร์
http://www.trueplookpanya.com/true/ethic_detail.php?cms_id=16161