www.trueplookpanya.com
คลังความรู้
แนะแนว
ข่าวรับตรง
ธรรมะ




แนะแนว > คนต้นแบบ

ซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง : ฟุตบอลคือชีวิต
ทีมงานทรูปลูกปัญญา | 2012-06-27 15:54:43

 

กว่า 20 ปีที่แล้ว เด็กชายเกียรติศักดิ์ เสนาเมือง หรือ โก้ เคยมีความฝันว่าจะเป็นนักฟุตบอลทีมชาติไทย และมุ่งมั่นฝึกฝนและฝ่าฟันมาจนสำเร็จ และไปไกลกว่าเป้าหมายนั้นมาก จนถึงวันนี้เป็นอดีตนักฟุตบอลทีมชาติ ผู้เล่นอาชีพในระดับนานาชาติ และผู้ฝึกสอนในสโมสรฟุตบอลชั้นนำของไทย

 

ทุกวันนี้ใครๆ ก็ยกย่องให้พี่ซิโก้เป็นฮีโร่ทีมชาติไทย  รู้สึกอย่างไรบ้างคะ

ดีใจครับ  เพราะเมื่อก่อนไม่ค่อยมีใครอยากให้มาเล่นฟุตบอลเท่าไร เพราะไม่ใช่กีฬาอาชีพ  ไม่มีรายได้  ไส้แห้ง  พ่อแม่ก็อยากให้ลูกเรียนหนังสือมากกว่า แต่ผมก็สามารถใช้ฟุตบอลเป็นเครื่องมือทำมาหากินได้  และพิสูจน์ตัวเองมาประมาณ 20 ปีแล้ว และภูมิใจมาก   เริ่มแรกเลยผมมีคุณพ่อเป็นต้นแบบ เป็นฮีโร่ในการเล่นกีฬา  ท่านซื้อลูกบอลให้ ไม่ว่าจะไปไหนผมก็จะมีฟุตบอลอยู่ติดตัวตลอด  เลยเป็นความชื่นชอบฝังในความรู้สึกมาตั้งแต่เด็กๆ   แต่ถ้าเป็นความชื่นชอบรูปแบบการเล่น จะเป็นสโมสรฟลาเมงโก้ของบราซิลเพราะเป็นสไตล์ที่คลาสสิก

เส้นทางสายฟุตบอลจากขอนแก่นถึงสนามศุภฯ

กว่าที่จะมาเป็นซิโก้ เป็นนักฟุตบอลทีมชาติไทย  ก่อนนั้นก็ไม่เคยคาดคิดว่าจะเป็นไปได้  ไม่คิดว่าฟุตบอลจะสามารถเลี้ยงชีพได้  อันดับแรกเลยผมมีความฝันอยากเป็นนักฟุตบอลทีมชาติ  เพราะส่วนหนึ่งมันดูเท่ห์  และส่วนหนึ่งคือเราได้ตอบแทนคุณแผ่นดิน  ก็เลยเดินตามความฝันของตัวเองว่าขอแค่ติดทีมชาติสักครั้งหนึ่ง แต่มันก็ไปไกลเกินความฝันนั้นมากเพราะได้เล่นให้ทีมชาติถึง 15 ปี  ทำให้ผมรู้ว่าสิ่งต่างๆ ที่ผมได้รับทั้งเกียรติยศ ชื่อเสียง หรือเงินทอง มันมาจากฟุตบอลจริงๆ  คำว่า “ฟุตบอล” กับ “ตัวเรา” ก็เลยแยกจากกันไม่ออก

เส้นทางเริ่มต้นจากเล่นในระดับโรงเรียนประถมที่ขอนแก่น ก็เป็นทีมโรงเรียนตั้งแต่ป.3-ป.4  พอขึ้นมัธยมก็ติดทีมโรงเรียนทั้งม. ต้น ม. ปลาย  และได้เข้าขัดเลือกติดทีมจังหวัดไปแข่งกีฬาเยาวชนแห่งชาติ ตรงนั้นเป็นทางแยกที่เราต้องเลือกเดิน  เพราะเมื่อจบ ม.6  คุณพ่อคุณแม่ท่านเป็นข้าราชการครูและปลูกฝังให้เรียนหนังสือ  ท่านก็อยากให้สอบเอ็นทรานซ์ แต่ผมสอบไม่ติดเพราะเล่นฟุตบอลมากเกินไป  ตอนนั้นก็กลับมาคิดว่าจะทำอย่างไรที่จะยึดฟุตบอลเป็นอาชีพเลี้ยงตัว  จากเด็กเรียนต้องเป็นเด็กเล่นกีฬา  ก็เลยตัดสินใจเข้ามากรุงเทพฯ มีโอกาสคัดเลือกเป็นตัวแทนทีมชาติ และเรียนไปด้วย ซึ่งก็ไม่เสียทั้งการเรียนและการเล่นฟุตบอลครับ

กว่าจะได้เป็น “ตำนาน” ต้องใช้พรสวรรค์หรือพรแสวง

คำว่าตำนานนี่ถือว่าเป็นเกียรติมากๆ เพราะกว่าจะได้เป็นตำนานนี่ต้องมีครบทุกเรื่อง ทั้งฝีเท้า ความประพฤติ นิสัยใจคอ  ทุกวันนี้ทุกคนมองไปที่พรสวรรค์ แต่สำหรับผมไม่ใช่นักเตะพรสวรรค์เป็นนักเตะพรแสวง  เราต้องซ้อมให้หนัก เพื่อให้เกิดความแม่นยำ ให้เฉียบคม  เป็นเพฌฆาตให้ได้  เลยอยากจะบอกเด็กๆ ทุกคนคนว่าไม่มีหรอกนักเตะพรสวรรค์  มันจะต้องซ้อมให้หนักก่อนแล้วพระสวรรค์ถึงจะตามมา  เมื่อเราก้าวเข้ามาแล้วต้องรู้จักแสวงหา ขยันฝึกซ้อมแล้วจะก้าวเดินต่อไปได้

ที่มาของยิงประตูได้แล้วต้องตีลังกา

ทุกๆ ตำแหน่งในทีมมีความสำคัญเท่ากัน แต่ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัว  เมื่อก่อนนี้ผมเองก็ไม่ได้เล่นตำแหน่งกองหน้า แต่เล่นเป็นมิดฟิลด์ เป็นตัวป้อนบอล เวลาที่ไหลบอลให้เพื่อนยิงประตูได้ก็สะใจ และเมื่อได้ขยับไปเล่นเป็นศูนย์หน้าแล้วยิงประตูได้ก็ยิ่งสะใจขึ้นไปอีก แล้วพอสะใจมากขึ้นก็เลยตีลังกา เพราะไม่รู้จะระบายความสะใจอย่างไร  พอตีลังกาไปก็กลายเป็นจุดขาย คนก็รู้จักมากขึ้น 

ลูกทีเด็ดทีขาดของผมมีหลายรูปแบบ คือเป็นทั้งตัวพักบอล ตัวกระชากบอล และตัวป้อนบอล  ในตำแหน่งศูนย์หน้าจริงๆ จะมีตัวเป้าฮอตชอตที่เป็นคนคอยเข้าทำเข้ายิง  แต่ผมจะเป็นคนกระชากลากเลื้อยหรือเข้าทำประตูก็ได้ ลากเลื้อยก็ได้ ยิงเองก็ได้ จ่ายเองก็ได้ 

ความแตกต่างของนักกีฬาทีมชาติกับนักกีฬาอาชีพ

การเป็นนักกีฬาทีมชาติก็เหมือนกับการได้รับใช้ชาติ  ทำงานให้กับแผ่นดิน เป็นเกียรติ  เป็นเป้าหมายสูงสุดของนักกีฬาทุกคน แต่ถ้าเป็นนักกีฬาอาชีพคือทำงานเพื่อหาเงิน  ช่วงหนึ่งที่ผมเป็นนักกีฬ่าทีมชาติจนอิ่มตัว เลยอยากจะเดินตามหาความฝันอีกอย่างหนึ่งคือเป็นนักฟุตบอลอาชีพ มีโอกาสได้ไปโลดแล่นที่ต่างประเทศ 8-9 ปี   การเล่นเป็นอาชีพจะต้องดูแลร่างกายของตัวเองให้ดี ทำอย่างไรให้นอนหลับ  ให้ร่างกายเฟิร์มที่สุด สามารถโชว์ศักยภาพในสนามให้ดีที่สุด  ต้องทำงานหนัก ทำทุกอย่างอย่างมืออาชีพที่สุด จะไม่เหมือนกับตอนเป็นนักฟุตบอลโรงเรียนมีครูมาเคาะประตูห้องเรียกไปซ้อมตอนเช้า   ถ้าเราอยากได้รับค่าเหนื่อยที่สูงขึ้นเราก็ต้องเล่นให้ดีขึ้น รักษามาตรฐานของตัวเองให้ได้ เพราะอาชีพฟุตอลนี่อายุการใช้งานไม่นาน เราต้องดูแลรักษาร่างกายของเราให้ดี ให้แข็งแรง ยืนระยะให้ได้นานที่สุด

ไทยพรีเมียร์ลีก ฟุตบอลอาชีพในบ้านเรากำลังจะไปได้อีกไกลไหม  

สำหรับฟุตบอลอาชีพของบ้านเราหรือไทยพรีเมียร์ลีก  เราเพิ่งเริ่มตั้งไข่  ถ้าจะนับว่าเริ่มจริงๆ  จังๆ ก็ 2-3 ปี  ช่วงก่อนหน้านี้ในยุคที่ฟุตบอลทีมชาติเรารุ่งเรือง นักเตะดังๆ ส่วนใหญ่อย่างตะวัน ศรีปาน  สุรชัย  จตุรภัทรพงศ์ หรือตัวผมเองก็ออกไปค้าแข้งกับทีมในต่างประเทศกันเกือบหมด เพราะตอนนั้นเรื่องค่าตอบแทนของการเป็นนักฟุตบอลอาชีพในบ้านเรายังไม่งดงามเท่ากับสมัยนี้   ผิดกับตอนนี้ที่มูลค่ามันสูงขึ้น เติบโตอย่างรวดเร็ว  แต่บุคคลากรของเราหลาย ๆ ด้านยังไม่พร้อม  เช่นวันนี้เรามี 113 สโมสรที่อยู่ในไทยพรีเมียร์ลีก ดิวิชั่น 1 ดิวิชั่น 2 แต่ตัวผู้เล่นที่จะมาเล่นเรายังมีไม่พอ  ทำให้เราต้องดันตัวเยาวชนขึ้นมาเล่น  ประสบการณ์ก็ยังไม่กล้าแกร่ง การตัดสินใจหรือความผิดพลาดในสนามก็ยังมีค่อนข้างเยอะ โอกาสโดนใบแดงเยอะ  การควบคุมอารมณ์ในสนามยังไม่ดี  มันก็เลยเกิดปัญหาเยอะ  อย่างที่สองคือผู้ตัดสิน  นอกจากผู้เล่นโตไม่ทันแล้ว ผู้ตัดสินก็โตไม่ทัน  เรื่องความยุติธรรมที่อาจจะเกิดจากเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม ลูกปัญหาที่เกิดก็มีผลกระทบต่อลีกของบ้านเรา  อย่างที่สามคือแฟนคลับ หรือแฟนบอล ที่เติบโตมาจากดูฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ  เลยอยากให้ทีมเราเป็นแบบแมยูฯ  ลิเวอร์พูล  เชลซี  แต่องค์ประกอบต่างๆ เรายังไม่พร้อม แฟนบอลก็ขาดการควบคุมอารมณ์ ต้องการจะชนะอย่างเดียว  สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่รอการพัฒนา  ฉะนั้นถ้า 3 ส่วนนี้เดินไปพร้อมๆ กัน มันก็โตได้ครับ

เทียบกับลีกเพื่อนบ้านในอาเซียน  เราสู้ได้ไหม?

ลีกเพื่อนบ้านอย่าง มาเลเซีย อินโดนิเซีย สิงคโปร์ หรือเวียดนาม เขาทำมาก่อนเรา และมีระบบการบริหารจัดการที่ดี  เรื่องค่าเหนื่อยค่าตอบแทนเลยสูงกว่าบ้านเราหลายเท่าตัว แต่ก็มีหลายๆ จุดที่เสี่ยงต่อระบบฟองสบู่แตก เพราะยังมีเรืองมะเร็งร้าย เรื่องล้มบอล และเรื่องคอรัปชั่นเยอะ  ในบ้านเราฟุตบอลเริ่มมีมูลค่าสูงขึ้นก็ต้องตีกรอบ ต้องคอบควบคุมเรื่องการทุจริตให้ดี   ย้อนกลับมามองบอลไทย เราก็มีศักยภาพที่ไม่แพ้ใครในอาเซียน  เรายังเป็นต่อเรายังเหนืออยู่ เพียงแต่ว่าช่วงหลังๆ แมตช์ระดับชาติของเรามีการเตรียมตัวไม่ดีเลยไม่ค่อยประสบความสำเร็จ  เบสิคพื้นฐานการเล่นของเรายังเหนือกว่า แต่เรื่องระบบทีมชาติเราต้องดีด้วย  ลีกแข็งแกร่งทีมชาติก็ต้องแข็งแกร่ง  แต่วันนี้มันเดินสวนทางกัน ลีกแข็งแกร่งแต่ทีมชาติไม่ประสบความสำเร็จ  เราได้เรียนรู้มากมายจากลีกเพื่อนบ้าน เราก็ต้องกลับมาคิดกันเองว่าจะทำอย่างไรให้ลีกบ้านเราพัฒนา

ความเหมือนและแตกต่างระหว่างการเป็นผู้เล่นและผู้ฝึกสอน

สมัยที่พี่โก้เป็นผู้เล่นก็ชอบจดจำเทคนิกต่างๆ ที่เราได้จากโค้ชและครูที่เคยคุมเรามา ประกอบกับเป็นคนชอบขีดเขียน  ครูพักลักจำ พยายามเก็บรายละเอียด จนวันนี้เรามาเป็นโค้ชเราก็ได้ใช้  เราได้เรื่องความคิดมาจากน้าชัช (โค้ช ชัชชัย พหลแพทย์)  เราได้วินัยมาจากโค้ชติ๊ก สมชาติ ยิ้มสิริ ตอนที่เป็นนักเตะเยาวชน  และรวมถึงโค้ชต่างชาติอย่าง ปีเตอร์ วิธ  ความรู้จากหลายๆ คนก็มารวมอยู่ที่ตัวเรา ทำให้เรามีมุมมองที่หลากหลายมากขึ้น  แต่ทั้งนี้เราก็ต้องเข้ารับการอบรมการเป็นโค้ชเพื่อให้ได้ license หรือใบอนุญาตการเป็นผู้ฝึกสอน  ประสบการณ์อาจจะใช้ได้ระดับหนึ่ง แต่เรื่องกระบวนการที่เราจะนำมาถ่ายทอดมันจะได้จากการอบรมในระดับต่างๆ ที่สูงขึ้น   งานเป็นผู้เล่นมันง่ายกว่าตรงที่ซ้อมเสร็จ อาบน้ำ นอน แต่งานการเป็นโค้ชไม่มีวันหยุดคิด ชนะก็ต้องคิดต่อ แพ้ก็ต้องมาแก้ไขปรับปรุง การเป็นโค้ชจึงจะเหนื่อยจิตใจ เหนื่อยมันสมองมากกว่า แต่ร่างกายเราก็ไม่ได้ใช้หนักเหมือนตอนเป็นผู้เล่น

 ฟุตบอลอาชีพของไทยเดินไปไกลถึงไหนแล้ว?

วันนี้เราเพิ่งเริ่มตั้งไข่  เพราะฉะนั้นทุกคนต้องใจเย็นๆ อย่าเพิ่งคาดหวังให้เป็นเหมือนลีกอังกฤษ เพราะว่าอังกฤษเค้าทำลีกมาประมาณ 100 ปี ซึ่งเค้าก็ลองผิดลองถูกมาเยอะกว่าเรา มีทั้งฮูลิแกน และอะไรอีกเยอะแยะมากมาย ฉะนั้นเราที่เพิ่งเริ่มต้องก็ต้องใจเย็นๆ ค่อยเป็นค่อยไป  มันอาจจะช้าแต่เราต้องอดทนรอคอยความสำเร็จบ้าง จะเห็นได้ว่าหลายๆ สโมสรในบ้านเราตอนนี้ไม่ใจเย้นรอความสำเร็จ แต่ปลดโค้ชผู้ฝึกสอน ปลดผู้จัดการทีม ปลดผู้เล่น ปลดกันเป็นว่าเล่น แต่สุดท้ายก็วนๆ เวียน ๆ กันอยู่แถวๆ นี้   เราจึงต้องช่วยกันประคับประคองให้ก้าวไปข้างหน้า  มันจะล้มในตอนนี้หรือ 3-4 ปีข้างหน้าหรือไม่ไม่มีใครรู้ แต่ที่รู้คือหลายๆทีมก็มีการลงทุกันเกิดขึ้น ทุกคนมีส่วนได้ส่วนเสีย ฉันนั้นมันจะล้มยาก  ทางผู้บริหารก็ต้องตีกรอบ สร้างมาตรฐาน และกำหนดกฎเกณฑ์ กติกา มีความยุติธรรม  เพราะฟุตบอลคือเกมกีฬาที่ต้องอาศัยน้ำใจ อาศัยสปิริต ต้องช่วยๆ กัน

 

เอกลักษณ์และเสน่ห์ของบอลไทย

เสน่ห์ ของบอลไทย แฟนบอลมีส่วนสำคัญ  เพราะเรามีพื้ยฐษนมาจากการดูฟุตบอลอังกฤษ เราก็มีความรู้มากขึ้น  มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากขึ้น มีความเป็นผู้รู้มากขึ้น คือแฟนบอลก็ยังรักที่จะเชียร์ทีมชาติไทยอยู่  ฉะนั้นทุกคนก็ทำหน้าที่ให้เต็มตามบทบาทของตัวเอง ผู้เล่นก็เล่นให้เต็มที่ สมัยก่อนนั้นเล่นทีมชาติเงินอัดฉีดก็แทบไม่ค่อยมี ทุกคนเล่นด้วยสปิริต วิ่งสู้ฟัด คนก็มาดูกันเต็มสนาม เพราะเกมมันสนุก  สู้  มัน ถึงตอนนั้นแพ้ก้ไม่เป็นไรแล้ว  อยากฝากถึงน้องๆ นักเตะทุกคนว่าเล่นให้เต็มที่ให้คุมกับค่าเหนื่อย และศรัทธาของแฟนบอล

 กับวลีอมตะ ...  “บอลไทยจะไปบอลโลก (?)”

สมัยที่ติดทีมชาติใหม่ๆ ทุกคนก็ฝันอยากจะไปซีเกมส์  ไปเอเชียนเกมส์ ไปโอลิมปิก  ฝันใหญ่ไปเรื่อยๆ  จนถึงอยากไปฟุตบอลโลก  นักฟุตบอลมีความหวัง ผู้บริหารก็มีความหวัง

แต่กับตัวพี่เอง ทุกวันนี้ฟุตบอลสร้างชีวิตพี่  สร้างอาชีพให้พี่ทั้งเป็นผู้เล่นและเป็นโค้ช  บอลไทยจะไปบอลโลกเมื่อใหร่ไม่รู้ แต่บอลอาชีพต้องเกิดขึ้น นักฟุตบอลที่จะเติบโตต้องมีฟุตบอลอาชีพรองรับ ต้องสามารถเลี้ยงดูแลครอบครัวได้   สมัยที่พี่เล่นฟุตบอลทีมชาติใหม่ๆ อายุ 16-17  ก็ฝันตั้งแต่ตอนนั้น  จนถึงวันนี้มาเป็นโค้ชแล้ว อายุจะ 40 แล้วก็ยังฝันกันอยู่  เส้นทางของความฝันก็ต้องสามารถเลี้ยงดูตัวเองได้   แต่ถ้าไปบอลโลกครั้งเดียวแล้วแพ้ 6-0, 7-0  กลับมา  แต่ความเป็นอาชีพมันยังอยู่กับเรา พี่ต้องการให้เด็กๆ ก้าวเข้ามาเป็นนักฟุตบอลอาชีพ เลี้ยงตัวได้  ดูแลครอบครัวได้  การจะได้ไปบอลโลกมันเป็นแค่กำไรเท่านั้นเอง

 

สานฝันเยาวชนไทย  มุ่งมั่นสู่ทีมชาติ

อยากฝากถึงน้องๆ ครับ เมื่อก่อนเรามีช้างเผือก มีคนเก่งๆ  แต่ตอนนี้ช้างเผือกของเราไปเล่นเกมหมดแล้ว  แต่ถ้าเราอยากมาเล่นฟุตบอล ความสำเร็จมันอยู่ไม่ไกล สมัยก่อนมันยังเป็นฝันลมๆ แล้งๆ พ่อแม่ไม่สนับสนุน  แต่วันนี้ทุกคนได้เห็นแล้วว่าเป็นอาชีพที่สร้างรายได้   ติดทีมชาติก็มีชื่อเสียงและเกียรติยศ  ทุกคนสามารถเลือกอนาคตที่งดงามให้กับตัวเองได้ ถ้าอยากจะเดินเข้ามาเป็นนักฟุตบอลอาชีพจริงๆ ใช้เวลาไม่นาน เริ่มต้นซักอายุ 16 ปี ใช้เวลาอีก 4 -5 ปีก็เริ่มมีรายได้แล้ว  ฟุตบอลเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง  แต่ถ้ามาแล้วต้องมาอย่างจริงจังอย่ามาเล่นแค่สนุกสนาน เล่นโชว์ไปวันๆ  ต้องมาทั้งกายและใจ ต้องมีเกราะกำบังอบายมุข ทั้งเหล้า บุหรี่ ยาเสพติด  และการพนันให้ได้  ต้องกล้าที่จะฝันและจะประสบผลสำเร็จแน่นอนครับ