portfolio : ขิม ตามติดชีวิตอินเดีย
ทีมงานทรูปลูกปัญญา | 2016-04-01 10:45:51
เรื่องและภาพ: กัลยาณี แนวเล็ก
จากสเตตัสเฟซบุ๊กของตัวเอง ที่เล่าเรื่องราวที่พบเจอทั่วไปและชีวิตนักศึกษาปริญญาโทที่ดูเหมือนธรรมดา แต่พิเศษตรงที่เรื่องราวเหล่านั้นเกิดขึ้นที่ประเทศอินเดีย ด้วยสำนวนการเล่าเรื่องแบบกันเองมีแทรกมุกตลกแบบขำตามได้ไม่ยาก ที่สำคัญเปลี่ยนมุมมองและทัศนคติต่ออินเดียจนกลายเป็นเมืองอารมณ์ดีได้ไม่ยาก ทำให้มีแฟนเพจเกือบสองแสนสำหรับ “ตามติดชีวิตอินเดีย” ของ ขิม-พัทธมญส์ กาญจนพันธุ์ สาวเชียงใหม่อารมณ์ดี ตัวตนจริง ๆ ของเจ้าของเพจนี้ติดตามได้จากบทสัมภาษณ์นี้
ทำไมต้องตามติดชีวิตอินเดีย
เริ่มมาจากตอนแรกไปอินเดียและอัพเรื่องตัวเองลงเฟซบุ๊กค่ะ ว่าเป็นยังไงเจออะไรบ้างอย่างนี้ค่ะ แล้วเพื่อนก็มาอ่านของเราทุกวัน พออยู่ไปสักพักเพื่อนเริ่มเรียกร้องมากขึ้น เล่าอีกสิเป็นยังไง มหา'ลัยเป็นยังไง ที่บ้านเป็นยังไงบ้าง พอขิมเล่าเพื่อนก็มาอ่านเยอะจนเขาบอกว่า ทำเพจเถอะให้มันมีแต่เรื่องเกี่ยวกับอินเดีย เพราะว่าในเฟซบุ๊กเราก็จะพูดเรื่องอื่นด้วย แต่เขาอยากรู้แต่เรื่องอินเดียก็เลยบอกว่าให้ไปทำเพจแบบตามติดชีวิตเลย โอเคได้ เลยทำเป็นตามติดชีวิตอินเดีย ตอนแรกจะบอกว่าตามติดชีวิตขิมมันก็ตลกค่ะ (ฮา)
อินเดียก่อนไป กับไปใช้ชีวิตอยู่ที่อินเดียเหมือนกับที่คิดไว้ไหม
ก่อนไปกับหลังไปมันต่างกันนะคะ คือตอนก่อนไปหนูคิดว่ามันจะกันดารป่าเถื่อน น่ากลัว อันตราย เรียนเสร็จรีบกลับห้อง แต่จริง ๆ มันไม่ใช่ ก็เหมือนไทยแต่แค่ตึก บ้านช่องดูแปลกไปค่ะ นอกนั้นมันก็คล้าย ๆ กันมีห้างมีผับมีร้านอาหารมีพิซซ่ามีทุกอย่างเหมือนที่นี่ แค่อาจจะสกปรกกว่า มลพิษเยอะกว่า รถเยอะกว่าบีบแตรเสียงดังเฉย ๆ ค่ะ รวม ๆ แล้วอยู่ง่ายค่ะเหมือนต่างจังหวัดบ้านเรา
ตอนนั้นทำไมถึงเลือกเรียนปริญญาโท ที่อินเดีย
ตอนแรกทำงานก่อนค่ะ พอเบื่องานก็อยากไปเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มเติมเพราะงานขิมต้องใช้ แต่พอหาตามพวกเมืองฝรั่ง อเมริกา อังกฤษคือมันแพงหมด เลยลองหาพวกฟิลิปปินส์ มาเลเซีย อินเดียแถบนี้ที่พูดภาษาอังกฤษ อินเดียค่าใช้จ่ายถูกสุดแล้ว และขิมอยู่ง่ายด้วย เลยไปอินเดียก็ได้ ตื่นเต้นดีด้วยว่ามันจะมีอะไรบ้าง อยากรู้อยากลองไปดูด้วยค่ะ
มาเรียนภาษาก่อนประมาณ 6 – 7 เดือน แล้วก็พอเรียนเสร็จก็กลับไทย แล้วก็ที่บ้านอยากให้เรียนโท ก็เลยขอมาเรียนอินเดียอีกเพราะชอบค่ะ
คิดว่าระบบการศึกษาของอินเดียดีกว่าจริงไหม
ขิมก็ไม่ทราบว่ามันดีกว่าไหม แต่มันต่างจากไทยตรงที่เขาจะเน้นเป็นระบบท่องจำค่ะ คือเรียนหนักเน้นจำ เวลาสอบคือเน้นเขียนเยอะ ๆ ต้องจำเยอะ ๆ เขียนเป็นสิบ ๆ หน้า เขียนหลาย ๆ หน้าถึงจะได้คะแนน ถึงแม้คำตอบเราถูกเราเขียนหน้าเดียวก็ไม่ได้คะแนน คือคุณต้องจำให้ได้เยอะ ๆ เขานับจากหน้าเลย บนหน้ากระดาษข้อสอบจะมีเขียนเลยว่าคุณเขียนคำตอบไปกี่แผ่นไปกี่หน้าอย่างนี้ คืออย่างน้อยคำถามข้อหนึ่งต้องตอบอย่างน้อยสามแผ่นค่ะ แล้วเรียนวันจันทร์ถึงเสาร์ ของหนูเรียนแปดโมงเช้าถึงสี่โมงเย็นพักวันละชั่วโมงอย่างนี้ค่ะ คือหนักมาก เรียนเยอะท่องเยอะ และด้วยจำนวนคนเยอะก็เหมือนกับแข่งขันกัน
ชีวิตในมหาวิทยาลัย
เหมือนไปเรียนโรงเรียนมัธยมใหม่เลยค่ะ เพื่อน ๆ อายุ 18 – 19 ปี เพราะที่อินเดียมัธยมเขาเรียนน้อยกว่าเรามั้งคะ ไม่แน่ใจ แล้วปริญญาตรีเขาเรียนแป๊ปก็จบแล้ว เพื่อนขิมส่วนใหญ่จบตรีก็ต่อโทเลย
ไม่มีรับน้องค่ะ แต่มี Fresher Dayเป็นงานต้อนรับน้องวันเดียว จัดงานแบบเป็นห้องประชุมมีรุ่นพี่มาพูดแต่เขาไม่ได้ว๊าก แต่เขาก็ทำเป็นขรึมก่อน แล้วก็แจกขนมน้อง เล่นเกมการแสดงค่ะ แค่วันเดียวแล้วก็ไม่มีกิจกรรมอะไรอีกเลย มันจะมีนาน ๆ ทีอย่างเช่น วันวาเลนไทน์ก็จะมีกิจกรรมวาเลนไทน์รุ่นพี่จัดให้ คริสต์มาสรุ่นพี่ก็จัดให้ค่ะ เป็นงาน ๆ ไป
ระบบรุ่นพี่รุ่นน้องที่นี่ เขาไม่มีสิทธิมาว๊ากมาตะโกนใส่เรา รุ่นพี่ก็จะสุภาพกับรุ่นน้อง ช่วยเหลือมากกว่า ไม่เหมือนไทยที่แบบต้องว๊ากก่อนแล้วค่อยมาดีทีหลัง อันนี้คือแบบเขาดีมาตั้งแต่ต้น ก็มีจัดกิจกรรมให้น้อง เขาพยายามทำให้รุ่นน้องรู้สึกว่าเขารักน้องนะน้องรักพี่ด้วยอะไรอย่างนี้ค่ะ
(ถึงขั้นได้เป็นหัวหน้าห้อง?) เพื่อนแกล้ง เขาจะโหวตอะไรก็ตามในห้องต้องเป็นขิมอยู่แล้ว โหวตหัวหน้าห้องโหวตคนออกไปพูดหน้าห้องโหวตใครเป็นหัวหน้ากลุ่ม แค่อาจารย์บอกให้เสนอชื่อเพื่อนคนหนึ่งที่จะทำอะไรสักอย่างทุกคนก็จะต้องตะโกนชื่อขิมเพราะขิมแปลกที่สุดในห้อง เป็นต่างชาติคนเดียวของทั้งรุ่นเลยค่ะ แล้วก็เป็นคนไทยคนเดียวคนไทยคนแรกของมหา'ลัยด้วย ทุกคนเรียกแต่ชื่อขิมโดยไม่ได้คิดเลยว่าเราไม่มีความสามารถในการเป็นหัวหน้าห้อง เพราะพูดกับใครไม่รู้เรื่อง ยังจำชื่อเพื่อนไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ก็เป็นโดยที่ไม่ได้ทำหน้าที่อะไรเลย บางทีก็อยู่เฉย ๆ เวลาเขามีอะไรให้ทำครูก็จะเรียกแต่รองหัวหน้าค่ะ
ดังเพราะมองต่าง
ทำไมคนถึงตามแสนกว่า เป็นความแปลก อาจจะเป็นมุมมองที่มองเหตุการณ์นั้นให้มันตลก พอมาเล่าคนก็เลยเสพเหมือนได้รับรู้อินเดียผ่านความตลก ไม่ได้เครียดไม่ได้อะไร อีกอย่างพอเรามาเล่าเรื่องเหตุการณ์หนึ่งให้ฟัง คนก็มาคอมเม้นท์เหตุการณ์เดียวกันที่เจอที่อินเดีย เหมือนกับในสเตตัสหนึ่งก็จะมีคอมเม้นท์ของคนอื่นมาเล่าต่อด้วย เป็นศูนย์รวมเรื่องเล่า คนอยู่ประเทศอื่นเขาก็มาเล่า เจอคล้าย ๆ กันเขาก็มาเล่า บางทีเรื่องเล่าตลกกว่าในเพจของขิมอีก ก็เลยอาจจะเป็นจุดเด่นของคนที่เข้ามา เหมือนเป็นชุมนุมแลกเปลี่ยนความรู้
สำนวนเราภาษาเพจ
สำนวนทุกอย่างในเพจนั่นคือภาษาของขิม เป็นคนแบบนี้อยู่แล้วคือถ้าเกิดพูดกันขิมก็จะพูดภาษาเหมือนในเพจค่ะ สมมติวันนี้ออกไปเจอคนนั้นคนนี้ ก็ถ่ายรูปมาลงมาพิมพ์แบบไม่ได้คิดอะไรอ่านทีหนึ่งว่ามันมีอะไรตกหล่นแล้วก็กดโพสต์ ตอนแรก ๆ ในเพจจะหยาบคายมากไม่ได้คิดอะไรเลย ส่วนใหญ่มันไม่ได้เหมือนเล่าเรื่องด้วยซ้ำ มันเหมือนระบายอารมณ์ไปเจออะไรอย่างนี้มานะก็เล่าใส่อารมณ์ไป เหมือนเราพยายามเล่าให้เพื่อนฟัง ให้เพื่อนเห็นภาพว่า เราเจออย่างนี้อยากให้เพื่อนรู้สึกเหมือนกัน เซ็งมากเลยอะไรอย่างนี้ แต่เพื่อนกลับตลก คือขิมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามันตลกแต่เขาตลก แต่จริง ๆ เป็นเรื่องที่เจอในชีวิตประจำวัน ถ้ามาอินเดียก็จะเจอแบบขิมนะ
เรื่องสนุก ๆ ที่อินเดีย
สนุกหมด เรื่องขี่มอเตอร์ไซค์แล้วเขาชอบมาแบบโชว์เท่ คือขิมเป็นคนขี่มอเตอร์ไซค์ เขาก็เห็นว่าหนูสวยเท่านั้นแหละ ขี่มอ’ไซค์มาปาดอยู่ข้างหน้าเรา แล้วปล่อยแฮนด์ บิดขี้เกียจโชว์ว่าแบบเห็นไหมไม่จับแฮนด์ด้วย เราก็ขี่ตามก็โอเค ๆ เก่ง ก็โชว์ไป แล้วพอเราขี่แซงออกมาขนานกับเขา เขาก็เอามือจับแฮนด์ประมาณว่าเท่ไหม ขิมก็บอกเก่งมาก ๆ แล้วก็ไป
บางทียืนอยู่ข้างถนนแล้วเขาขับรถผ่าน เขาก็ปล่อยแฮนด์แล้วก็หันมามองจนสุด อึ้งเพราะว่าวันนั้นไปอาทิตย์แรก ๆ อยู่เลย แล้วเจอแบบนี้ หลังจากนั้นก็เจออารมณ์แบบนี้ บิดขี้เกียจ ปล่อยแฮนด์ ยกล้อก็มี เพื่อนเคยเจอยกล้อ ขับโชว์ แล้วชนแบบตายหรือเปล่าไม่รู้
ขิมก็เคยเจอขับแซวแล้วก็บวกกับรถข้างหน้า น่ากลัวแต่ตลก มันคือการอวดว่าฉันเท่ คือคนอินเดียเขาขี่มอเตอร์ไซค์เก่งค่ะ เหมือนแบบเด็กมาก ๆ ขายังไม่ถึงก็เริ่มขี่กันแล้ว เขามีสกิลการขับขี่สูงมาก มอเตอร์ไซค์นะคะไม่ใช่รถยนต์ รถยนต์นี่คือรอยบุบรอบคัน อินเดียเหมือนไม่มีกฎจราจร ชนกันไม่มีใครถูกไม่มีใครผิดเพราะว่าไม่มีกฎ แกมาทางนี้ฉันมาทางนี้ชนกัน ก็มันมาได้สองทางไม่มีว่าทางนี้ทางเอกทางนี้ทางโท เขาก็จะเถียง ๆ กันแล้วก็แยกค่ะ ง่ายดี ต่างคนต่างบุบไปซ่อมกันเอง นอกจากรถใครมีประกัน คนรวย ๆ รถมีประกันถึงจะไปเก็บได้ แต่ส่วนใหญ่ชนกับชาวบ้าน เขาก็ไม่มีเงินจ่ายอยู่ดี รถอินเดียคันไหนไม่มีรอยคือแปลก ขิมเคยรถล้มต่อหน้าตำรวจแต่ไม่มาช่วยด้วย คนที่ชนเราเขาก็ไม่ลงมาช่วย ไม่ลงมาขอโทษ ไม่ลงมาเคลียร์ ไม่ลงมาอะไรสักอย่าง ตำรวจก็ยืนอยู่ตรงนั้น ยืนมอง เราก็ต้องพยายามดึงรถขึ้นมาเอง จนมีรถตุ๊ก ๆ เหมือนรถออโต้ขับผ่านมาเขาก็เข้ามาช่วย ตำรวจก็ยืนมองคือเขาจะเอาแต่เงิน เหมือนต้องให้เงินเขาเขาถึงจะดำเนินเรื่องให้ ถ้าเหมือนบ้านเราขโมยขึ้นไปแจ้ง ถ้าเราให้เงินเขาก็จะตามหาโจรให้เรา ทุอย่างเรื่องต้องดำเนินด้วยเงิน การอยู่รอดของคนมันเยอะ ต้องต่อสู้ แย่งชิง
ไต้ลุง
คิดถึงไต้ลุงไหม
คิดถึงมากตอนเขาไปร้องไห้ตั้งสองวัน ขิมร้องไห้แล้ววิ่งไปหาป้า คิดถึงหมาและก็ขอโทษป้าที่เอามาหมาอยู่ด้วย พอลูกสาวป้ามาเขาก็บอกว่าป้าไม่ได้ว่าอะไร แต่แค่เป็นห่วงว่าต้องเรียนหนังสือด้วยและดูหมาด้วย ทิ้งหมาไว้คนเดียวในห้องตอนเราออกไปเรียน แล้วหมาจะอยู่ยังไง จริง ๆ ป้าเขาห่วงก็เลยมาด่าทุกวัน ตอนแรกขิมก็ไม่ชอบ พอลูกสาวป้าแปลให้ฟังเราก็รู้สึกผิดที่ไปรำคาญเขา เขาไม่ได้ว่าที่เราเอาหมามา เขาว่าเพราะห่วงเรา ว่าเราจะเรียนไหวไหม เรียนก็ต้องดูหมาอีก เขาจิตใจดี คือแค่ฟังเขาไม่รู้เรื่องเฉย ๆ เหมือนหน้าตาเขาดุ เขาตะโกนเสียงดัง เขาตะคอก คำพูดของเขาคือดีทั้งนั้น เคยเอาคลิปหนึ่งลงในเพจ ขิมไม่รู้คำแปลหรอกเป็นคลิปป้าบ่น แต่เหมือนมีลูกเพจเอาไปให้สามีเขาแปลให้ แปลออกมาแล้วขิมรู้สึกผิดมากเลยที่เอาคลิปมาลง แปลได้ประมาณว่าห้องจะสกปรกนะ ห้องจะมีเชื้อโรคอะไรหรือเปล่า แล้วเราต้องไปเรียนกลับมาต้องดูหมาอีกอะไรอย่างนี้ คือป้าเป็นห่วงทั้งหมด ที่แกมาบ่นคือเป็นห่วงหมดเลยค่ะ เสียอย่างเดียวคือแกชอบเงิน แต่จริง ๆ เขาดีมาก
ปรับทัศนคติ
ปรับมาก ๆ คือถ้าไม่ปรับก็อยู่ไม่ได้ค่ะ ตอนแรก ๆ ก็ไปแบบเหมือนคนไทยปกติ คาดหวังว่าทุกอย่างมันต้องเป็นไปตามระบบ อย่างเช่น ขับรถก็ต้องมีกฎจราจร โทรสั่งข้าวเดลิเวอรี่เขาก็ต้องมาส่งถึงบ้าน มันเป็นตรรกะที่ทั้งโลกต้องเป็นเหมือนกัน แต่ที่อินเดียมันไม่ใช่ เดลิเวอรี่มันหาบ้านเราไม่เจอเขาก็โทรเรียกว่า หาไม่เจอแต่ตอนนี้เราอยู่ตรงนี้มาหาเราที่นี่แล้วกันแรก ๆ ขิมก็รู้สึกว่าอ้าวทำไมล่ะ ก็มันเป็นหน้าที่ของคุณที่ต้องมาส่งเรา แล้วเราจ่ายเงินด้วยทำไมต้องเสียค่าน้ำมันออกไปหาอีก เราไม่ยอมก็โทรทะเลาะกัน แล้วกว่าเขาจะมาถึงบ้านเราก็หิวอะไรยังงี้ มันก็ลำบากขิมเองหรือเปล่า เลยรู้สึกว่า ทีหลังพอเขามีอะไรก็ยอมหมด ต้องคิดใหม่ มันต้องช่างมันค่ะ คือเหมือนกับเราไปอยู่ที่นั่น สภาพเมืองเขามันเป็นแบบนั้น เราจะคิดแบบคนไทย ต้องให้เขาทำตามที่เราอยากมันไม่ได้ ต้องปรับไม่อย่างนั้นก็อยู่ไม่ได้ อยู่อินเดียไม่สนุก ต้องคล้อยตามเขาไปแล้วอยู่ไปมันจะตลกค่ะ
คนแบบไหนถึงจะอยู่รอด
ต้องเป็นคนช่างมันค่ะ เราต้องไม่คิดเล็กคิดน้อย บางทีอินเดียเขาจะชอบอยากรู้อยากเห็น บางทีขิมยืนอยู่ในซูเปอร์มาร์เก็ตพิมพ์โทรศัพท์อยู่เขาก็มายืนส่องแล้วก็ภาษาอะไร บอกภาษาไทย แล้วเขาก็ถามเป็นคนที่ไหน ขิมก็ตอบคนไทย คือมายุ่งเรื่องส่วนตัวของเรา ถ้าเป็นคนไทยคนอื่นก็จะรู้สึกว่าทำไมต้องมายุ่งแต่ขิมก็จะมองให้มันว่า เฮ้ย ตลกดีประมาณนั้น คือแบบมองให้มันตลก ไม่อย่างนั้นก็จะกลายเป็นอารมณ์เสียทั้งวันแล้วมันจะอยู่ยากค่ะ
สิ่งที่อยากให้คนอื่นเปลี่ยนทัศนคติต่ออินเดีย
ขิมไม่อยากให้เขามาดูถูกคนอินเดีย ชอบไปดูถูกเขาว่าตัวเหม็น ขี้ขอ คือเป็นแบบนี้ทั้งอินเดีย ต้องเข้าใจเหมือนกับคนเขาเยอะ เมืองเขาอยู่ลำบากกว่าเรามาก อยากให้เห็นใจเขา เขาก็ต่อสู้นะ ดิ้นรน แต่จิตใจเขาดี ไม่อยากให้ไปดูถูกเขาในเพจ บางทีก็จะมีคอมเม้นต์ดูถูก ด่าป้าก็มี คือเขาไม่เข้าใจจุดประสงค์ของขิมว่าต้องการที่จะสื่อความน่ารักของป้าว่าถึงแม้แกขี้บ่นแต่ก็ใจดี บางทีก็ตลก ขอของนู่นนี่เหมือนเด็ก บางคนตีความหมายผิด กลายเป็นแบบว่าป้า มันแรงแล้วเราเสียความรู้สึก เราไม่ได้ตั้งใจจะเอาป้ามาโพสต์เพื่อให้โดนด่า ไม่อยากให้ดูถูกคนอินเดีย ถ้ามาอยู่แล้วจะเข้าใจเขา เขาไม่ได้น่าดูถูกอะไรขนาดนั้น เราก็เหมือนเขาไปดูถูกเขาทำไม แค่หากินเอาชีวิตรอด
คุณป้าเจ้าของบ้าน
ชอบในความแปลกและสนุก
ตอนแรกคิดว่าอินเดียไม่ได้น่าอยู่ แต่รู้สึกว่ามันมีอะไรที่น่าสนุก เราเป็นคนตลกชอบออกไปเจออะไรแปลก ๆ ค่ะ แค่มาช่วงแรก ๆ ก็รู้สึกว่า เฮ้ย อันนู้นก็ตลก อันนี้ก็ตลก คือคนไทยจะไปกลัวกับข่าวพวกข่มขืน ถ้าเราไปทำตัวเสี่ยงเราถึงจะโดนข่มขืน อย่างเช่น ออกไปนอกบ้านตอนกลางคืน นั่งรถไปไหนคนเดียวตอนกลางคืนแบบนี้เสี่ยงค่ะ คนไทยเสพข่าวแต่ด้านไม่ดี และเขาไม่เคยเอาด้านดี ๆ มาออกข่าว ว่าอินเดียมีน้ำใจ อินเดียตลกนะ แล้วส่วนใหญ่ข่าวพวกนั้นจะอยู่ที่เมืองหลวงค่ะ คนมันจะแออัด แต่เมืองขิมมันเป็นเมืองที่เจริญหน่อย ก็ไม่รู้ถ้าไปอยู่เมืองอื่นก็อาจจะเป็นอีกแบบ มันอยู่ที่เมืองที่เราไปด้วยค่ะ
เสน่ห์ของอินเดียสำหรับขิมคือ คนอินเดียค่ะ เพราะคนเป็นล้าน ความแปลกประหลาดก็เป็นล้านอย่าง อย่างป้าเจ้าของบ้านก็จะแปลกไปอีกอย่างเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย แต่จริง ๆ คือเขาดี ใจเขาดี อย่างที่บอกคนอินเดียเขาจิตใจดี แต่แค่ว่าเขาต้องการเงินเพราะว่ามันต้องดิ้นรน ต้องต่อสู้ เราก็เข้าใจจุดนี้เป็นธรรมดาของอินเดีย แล้วเขาก็มีความแปลกแบบอินเดียคือเขาจะไม่มีตรรกะอะไรเลย เหมือนทะเลาะกันแล้วเหนื่อย ขี้เกียจทะเลาะแล้วก็เลิกแยก เราก็รู้สึกว่ามันตลกดีค่ะ