www.trueplookpanya.com
คลังความรู้
แนะแนว
ข่าวรับตรง
ธรรมะ




ธรรมะ > บทความธรรมะ

เข้าวัดทำไม ? เพื่ออะไร ?
ทีมงานทรูปลูกปัญญา | 2011-11-02 08:27:05

วันนี้เป็นวันพระ ที่ได้มารวมกัน ต่างคนก็ต่างมา มีกิจวัตรกันเป็นบางอย่างที่มาวัดนี้ บางคนก็มีความสุขใจก็มาวัด บางคนก็มีความทุกข์ใจก็มาวัด เป็นประเพณีของชาวคนไทยเรา ถึงแม้จะจนก็นึกถึงการทำบุญ ถึงแม้จะรวยก็นึกถึงการทำบุญ อะไรๆ ทุกอย่างก็ล้วนแต่การทำบุญทั้งนั้น อันนี้เป็นส่วนมาก ในส่วนจิตคนไทยเราทั้งหลาย ฉะนั้นวันนี้ยิ่งเป็นวันธรรมสวนะ เจ็ดวันครั้งหนึ่ง เจ็ดวันครั้งหนึ่ง เป็นโอกาสของอุบาสกอุบาสิกา ผู้ชายผู้หญิงผู้เข้าใกล้พุทธศาสนานั้น เป็นบัณฑิตที่สำคัญมาก ปกติแล้วก็คือพวกเราทั้งหลายนั้น เป็นผู้สังวรสำรวมรักษาศีลห้าประการ เกือบตลอดทุกคนที่เคยมาวัด เป็นปรกติศีล ปรกติกาย ปรกติวาจา อันนี้คือศีลเป็นพื้นเพตั้งแต่ต้นเดิมมาทีเดียว

ทีนี้ศีลแปดนี้ เป็นศีลพิเศษอันหนึ่ง ของพุทธบริษัททั้งหลายซึ่งเป็นฝ่ายอุบาสกอุบาสิกา เพราะว่าวันนี้เป็นวันอุโบสถศีลที่จะเพิ่มข้อปฏิบัติขึ้นอีก ให้มันยิ่งขึ้นไปกว่าธรรมดา ธรรมดานั้นก็เรียกว่าเป็นปรกติเสมอมา วันนี้เป็นอุโบสถศีล เป็นวันที่สำคัญ เป็นวันที่พวกเราทั้งหลายสมาทานข้อวัตรให้สูงขึ้น คือวันนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้รักษาอุโบสถศีลวันหนึ่งคืนหนึ่งเป็นต้น ก็ไม่ให้ทานข้าวเย็น ให้ทานข้าวแต่เช้าไปถึงเที่ยงก็พอแล้ว ข้าวเย็นไม่ต้องทานกันเหมือนวันธรรมดา แล้วก็เพิ่มข้อปฏิบัติขึ้นอีกหลายๆ อย่าง เช่น ไม่แต่งเนื้อแต่งตัวสดสวย หรือไม่นั่งนอนที่นุ่มที่นวล อันเป็นเหตุให้ใจของพวกเราทั้งหลายเพลิดเพลินไปในทางกามคุณยั่วยวน เป็นต้น หลายประการพร้อมเข้าเป็นศีลอุโบสถศีล

ฉะนั้น วันนี้ปราชญ์ท่านจึงกล่าวว่าเป็นวันอุโบสถศีล อุโบสถศีลนี้เป็นศีลที่พิเศษ เป็นศีลที่มีข้อวัตร เป็นศีลที่มีธุดงควัตร ละเอียดอ่อนขึ้นไป เป็นวันอุโบสถพร้อมด้วยการภาวนา เช่นเราไม่ทานข้าวเย็น ไม่ทานอาหารเย็น มันก็หมดภาระไป การปลิโพธกังวลของพวกเราทั้งหลายนั้นมันก็น้อยลงๆ ข้อวัตรปฏิบัติของพวกเรามันก็ดีขึ้น อันนี้เป็นศีล

แต่ว่าที่จะมีศีลยิ่งหย่อนนั้น ก็เพราะการประพฤติปฏิบัติ ไม่ใช่ว่าเป็นชื่อของอุโบสถศีลแล้ว มันจะเป็นศีลอันยิ่ง ไอ้สิ่งที่มันจะยิ่งนั้นก็คือการเราปฏิบัติให้มันยิ่งขึ้น ให้มันดีขึ้น ให้มันประเสริฐขึ้น ไอ้ชื่อของศีลนั้นจะเป็นศีลห้าก็ตาม ศีลแปดก็ตาม ศีลอะไรๆ ก็ตามทั้งนั้นน่ะ อันนั้นมันเป็นชื่อของมัน ส่วนมันจะยิ่งหรือหย่อนนั้น มันอยู่ที่การพวกเราทั้งหลายปฏิบัติ ให้มันเคร่งครัดขึ้น ให้มันดีขึ้น จะเป็นศีลห้ามันก็ดี จะเป็นศีลแปดมันก็ดี จะเป็นอุโบสถศีลอะไรมันก็ดีทั้งนั้น มันอยู่ที่การปฏิบัติ ไม่ใช่ว่าถึงวันอุโบสถ เราได้มาสมาทานอุโบสถแล้ว อาการกายวาจาของเราก็ปฏิบัติหย่อนอยู่อย่างเก่านั้น ก็จะเห็นว่าเราเป็นบุญอันยิ่ง เป็นบุญอันประเสริฐ แล้วก็เป็นศีลอันยิ่ง อันนั้นหาไม่ได้อย่างนั้น

ฉะนั้น สิ่งใดที่มันจะยิ่งก็คือทำให้มันดีขึ้น ให้มันสูงขึ้น ให้มันยิ่งขึ้น มิใช่ว่าทำให้เสมอตัว หรือทำจนมันหย่อนลงไป ให้มันดีขึ้นไปกว่าเก่า ลักษณะกาย ลักษณะวาจาของเรา ลักษณะจิตของเรานี้ ก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน ฉะนั้นจงพากันมีใจเข้มแข็ง เพราะว่าเจ็ดวันมีทีหนึ่ง

การทำให้ศีลของเราเศร้าหมอง การทำให้การเจริญภาวนาของเราไม่ราบรื่น ไม่สูงขึ้น ก็เพราะการปฏิบัติมีการคุยกัน การคุยกันการพูดกันเรื่องไม่เป็นสารประโยชน์อะไร เช่นว่าทำนา เราไปทำกันแล้วอยู่บ้านเราก็ทำกันแล้ว ขายข้าวกันแล้ว สารพัดอย่าง ก็ควรเอาไว้บ้าน มาถึงวัดแล้วก็ควรทิ้งมัน อย่ามาปลูกข้าวในวัด อย่ามาขายข้าวในวัด อย่ามาทำนาในวัด วันนี้ให้เลิกกิจการบ้านทั้งหลายนั้น เพราะเราได้มาทำงานเช่นนี้ การค้าขายทุกสิ่งทุกประการก็เหมือนกัน ไม่ควรเอามายุ่งในที่นี่ เพราะในที่นี่เราพยายามทำจิตใจให้เป็นอารมณ์อันเดียว

สมาธิคือทำอารมณ์ให้เป็นอันเดียว คือทำจิตให้เป็นหนึ่ง ทำจิตให้เป็นอันเดียว ถ้าเรามาทำหลายอย่างมันยุ่งมันเหยิงไปหมด ไม่รู้จักว่าคนใหม่ ไม่รู้จักว่าคนเก่า คนเก่าก็ทำอย่างนี้ คนใหม่เข้ามาก็ไม่ได้อานิสงส์ เพราะคนเก่าพาทำอย่างนี้ก็ทำไปอย่างนี้ เลยปิดหูปิดตากันไปเรื่อยๆ ไม่รู้เรื่องกันว่าทำอะไรกัน

ฉะนั้น การกระทำของเราทั้งหลายเป็นหมัน เคยได้ทำมาไหม ? เช่นสมัยก่อน พ่อแม่ปู่ย่าตายายของเราน่ะ ตามที่อาตมาดูมานะทำมา เข้ามาวัด มาภาวนาไม่รู้จักการภาวนา ไม่รู้จักไม่เห็น เช่นทุกวันนี้ก็เหมือนกัน ตามที่อาตมาสังเกตนี้ ไอ้คนที่เข้ามาวัดกับเพื่อนเฉยๆ ก็มาเฉยๆ ไอ้ตอนเช้าถวายจังหันพระนะ ควรน่ะจะมากราบพระ มาไหว้พระ มาสวดมนต์กับเพื่อนทั้งหลายนั้น ที่เราไม่เคยกระทำ ไม่เคยกราบ ไม่เคยนบ ไม่เคยไหว้ เราก็ควรพยายามนำลูกนำหลานเข้ามากราบเข้ามาไหว้น่ะมันก็ดีนะ

บางคนเคยบ้างไหมนี่ ไม่เคยเข้ามาในศาลาโรงธรรมเลย เพราะว่ามาวัดนั่งอยู่ข้างนอกน่ะ นั่งคุยกันอันโน้นอันนี้กับลูกกับหลาน ไม่รู้เรื่อง อันนี้ไม่ใช่เป็นคนเข้าวัด เข้าวัดเหมือนไก่ ไก่มีลูกอ่อนมันเข้าวัด มันก็ฝึกเอาลูกเอาหลานมันเข้าวัดนะ มาเขี่ยกินขี้หมูขี้หมาตามนั้นแหละ มันไม่ได้มาหาอะไรหรอก อันนี้ก็เหมือนกันฉันนั้น อันนี้คือเข้าวัดไม่ถูก เราไม่เคยกราบ ไม่เคยไหว้ ไม่เคยได้ยิน ไม่เคยได้ฟัง ก็เข้ามา ลูกหลานได้กราบ ได้ไหว้ ได้ยิน ได้ฟัง เพื่อฝึกหัดดัดสันดานของตนและลูกหลานพี่น้องทุกคน

เมื่อเข้ามาทำวัตรสวดมนต์ ก็เข้ามาเรียน สวดไม่ได้เราก็นั่งฟัง ให้จิตสงบเป็นสมาธิ ให้จิตเยือกเย็น สบาย ฝึกให้สงบอย่างนี้ มันก็ยังเป็นบุญ มันก็ยังเป็นกุศล มันเป็นเครื่องที่นำตนเข้าสู่ธรรมะ นำลูกนำหลานเข้าสู่ธรรมะได้ อันนี้เราเข้าอยู่ในวัด เข้ามาวัดไม่เห็นวัด เข้ามาวัดไม่เห็นพระ ปลามันอยู่ในน้ำมันไม่เห็นน้ำ ไส้เดือนมันอยู่ในดินมันก็กินขี้ดิน แต่ว่ามันไม่เห็นดิน เราทั้งหลายก็เหมือนกันฉันนั้น
เข้ามาวัดไม่รู้จักวัด เข้ามาวัดไม่ถึงวัด ฉะนั้นปัญหาอันนี้มันจึงเกิดขึ้นแก่พวกเราทั้งหลายและลูกหลานตั้งแต่นั้น ไม่รู้เรื่องอะไร ไม่รู้เรื่อง อันนี้เห็นว่าเข้ามาวัดมันเป็นบุญ เป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์ทั้งหลายจะเข้ามาวัด เห็นพ่อแม่เข้ามาวัดก็เข้ากันมาตามๆ กันมาเรื่อยๆ ๆ ผลที่สุดอายุสี่สิบปีห้าสิบปีนะ เมื่อพูดถึงธรรมะธัมโมพูดถึงข้อวัตรปฏิบัติ พูดถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไม่รู้เรื่อง ไม่รู้อะไรเลย อันนี้เรียกว่าปลามันอยู่ในน้ำ มันก็แช่อยู่ในน้ำ ตามันก็เกลือกกลั้วอยู่กับน้ำแต่ว่ามันไม่เห็นน้ำ ไส้เดือนมันอยู่ในดิน มันก็กินขี้ดินเป็นอาหารของมัน แต่ว่ามันก็ไม่เห็นขี้ดิน มันเห็นขี้ดินเป็นอย่างอื่น มันเห็นน้ำเป็นอย่างอื่น เช่นนั้น บุคคลที่เข้ามาวัด ไม่เห็นวัด ก็เหมือนกันกับปลาที่ไม่เห็นน้ำ เหมือนไส้เดือนที่ไม่เห็นขี้ดิน ไม่รู้จักขี้ดิน มิฉะนั้น เราอย่าว่าเลยถึงการฟังธรรม แต่ขนาดนั้นเราก็ยังไม่รู้เรื่องอะไร

ที่นี้ข้ออรรถข้อธรรมนั้นเรียกว่าธรรมะ ธรรมะไม่รู้เรื่องว่าอะไรคือธรรมะ เมื่อโตขึ้นมาใหญ่ขึ้นมาก็นำลูกหลานเข้าไปสู่ที่พึ่งพิงอาศัย ไม่รู้จักธรรมะ ไม่รู้จักพระพุทธ ไม่รู้จักพระธรรม ไม่รู้จักพระสงฆ์ ก็พาลูกพาหลานเข้าไปกราบจอมปลวก จอมปลวกอยู่ตามป่า เอ้อเห็นว่าที่นี่มันไม่เหมือนเพื่อนเขานี่ ดินมันยาวขึ้นมามันพ้นขึ้นมา เห็นจะเป็นของศักดิ์สิทธิ์ล่ะมั้งนี่กราบเสีย พอกราบแล้วก็บ่นอะไรต่ออะไรอยากจะได้โชคลาภอะไรก็ว่ากับไอ้ขี้ปลวกนั่นแหละ ไอ้ความเป็นจริงมันบ้านของปลวกขี้ปลวก นับถือเช่นนั้นขึ้นมา

บางแห่งก็โดยมากพวกจีนเขา ไอ้ปลวกมันขึ้นอยู่ใต้ถุนบ้าน มันเป็นจอมปลวกขึ้นมาสูงๆ ดีใจ รีบหาจีวรพระไปคลุมให้นะ ปลวกมันก็ยิ่งกินเข้าไป หาดอกไม้ไปบูชาเข้า ปลวกมันก็ยิ่งทำบ้านมันขึ้น หาจีวรพระไปคลุม ให้ ปลวกมันก็ยิ่งดีมันขึ้น ใหญ่ขึ้นทุกวันๆ ผลที่สุดตัวเจ้าของเองจะไม่มีที่อยู่บ้าน มีแต่ของศักดิ์สิทธิ์อยู่ในบ้านหมดทีเดียว เจ้าของไม่รู้ว่าจะไปอยู่ที่ไหนกัน ก็ไปกราบไปไหว้อยู่อย่างนั้นแล้ว อันนี้แหละเรียกว่าหลง หลงที่สุดแล้วนี่ หลงจนที่สุดซะแล้วน่ะ

อันนี้แหละหาเหตุผลได้ยาก ไม่มีเหตุผล เพราะเราไม่รู้เรื่องว่าอะไรมันเป็นอะไร ? อะไรเป็นอะไรมันเกิดมาจากอะไร ? ก็เหมือนกับคนที่เราไม่รู้จักทุกข์ ไม่รู้จักทุกข์แล้ วก็ไม่รู้จักเหตุของทุกข์ ไม่รู้จักเหตุของทุกข์ แล้วก็ไม่รู้จักความดับทุกข์ ไม่รู้จักความดับทุกข์ ข้อปฏิบัติที่จะให้ถึงความดับทุกข์ท่านก็ไม่รู้จัก ก็เลยเป็นคนหลง ไอ้พวกนี่เป็นพวกคนหลงอยู่ ไม่ใช่ว่าคนอยู่ข้างนอกน่ะ ไม่ใช่ว่าคนเข้าวัดคนไม่หลงน่ะ คนเข้าวัดยิ่งหลงมากก็มี ยิ่งมากยิ่งไม่รู้เรื่องอะไรต่ออะไร

อาตมาเคยไปพบอุบาสกตามป่าเขา เขาเข้าวัดทุกวันๆ ตามวันพระ สวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ก็พอสมควรแล้ว เขาลุกหนีต่อหน้าเลย เขาว่าผมไม่เข้าใจอย่างนั้น สวดมากมันก็ได้มาก สวดน้อยมันก็ได้น้อย นี้เขาพูดถึงการสวด ไม่พูดถึงการปฏิบัติ

เมื่อพูดถึงการสวดเช่นนี้ ฉะนั้นนักศึกษาที่ลูกศิษย์พระฝรั่งที่มาจากเมืองนอกครั้งแรก มาเห็นอาตมาสวดมนต์ เขาก็มาวิพากษ์วิจารณ์กันไปหลายๆ อย่าง เขาเข้าใจว่าไม่เกิดประโยชน์อะไร สวดมนต์เช่นนี้ก็เหมือนร้องเพลงเท่านั้นแหละ ไม่เห็นจะมีอะไร จริง อาตมาว่าจริงของเขาเหมือนกัน ถ้าสวดไม่มีความหมายก็เหมือนร้องเพลงเล่นไปเช่นนั้นแหละ แต่เมื่อมาย้ำถึงข้อประพฤติมาย้ำถึงข้อปฏิบัติเข้าไปแน่นอนเสียแล้วจริงๆ แล้วเนี่ย เขาก็ดีใจเขาก็เห็นด้วย สวดที่มีความหมาย สวดเพราะการประพฤติ สวดเพราะการปฏิบัติ สวดเพราะการชี้แจงทางผิดทางถูกให้ผู้สวดนั้นเข้าใจ ยิ่งเป็นเครื่องประกอบต่อการปฏิบัติ สวดในการประพฤติในการปฏิบัติ อันนี้เป็นต้น